ตอนที่แล้วนักรบพันธุ์ผสม บทที่ 12 - เรือเหาะ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปนักรบพันธุ์ผสม บทที่ 14 - อันตราย

นักรบพันธุ์ผสม บทที่ 13 - สิ่งมีชีวิตกึ่งหุ่นยนต์


ในห้องทำงานแห่งหนึ่งของสถาบัน การตกแต่งภายในห้องทำงานแห่งดีดูเป็นอย่างยิ่ง มันทั้งไม่ได้หรูหราหรือเรียบง่ายจนเกินไป และในห้องแห่งนี้ ชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่หลังโต๊ะทำงาน รูปร่างหน้าตาของเขานั้นอยู่ในระดับปานกลาง อายุอยู่ที่ประมาณ 20 ปลาย ๆ เส้นผมดำยาวของเขามัดเอาไว้เป็นหางม้าอย่างเรียบร้อย บนใบหน้าประดับอยู่ด้วยคิ้วที่หนาดกดำ แต่มันสั้นแบบแปลก ๆ ทำให้ใบหน้านี้ดูน่ากลัวไม่น้อย หรืออาจจะเรียกว่ามีเอกลักษณ์ก็ได้

ชายคนนี้คือมู่เฉินนั่นเอง เขากำลังจัดการกับงานในโฮโลแกรมส่วนตัวอยู่ ถ้ามีคนกำลังมองมาที่เขา จะเห็นแต่มือที่ขยับแตะอยู่บนจุดแสงสีต่าง ๆ ข้างหน้าอย่างรวดเร็วเท่านั้น ไม่มีใครสามารถมองเห็นเนื้อหาบนหน้าจอส่วนตัวของเขาได้เลย ถ้าไม่ได้มีรหัสทางพันธุกรรมและความถี่ของคลื่นสมองแบบเดียวกับเขา ซึ่งโดยปกติแล้ว ไม่มีใครอื่นอย่างแน่นอน

เขากำลังยุ่งอยู่กับการจัดการกระบวนการปลูกถ่ายสำหรับนักเรียนชุดใหม่ ซึ่งมันต้องอาศัยการคำนวนจำนวนมหาศาล และการวางแผนให้เหมาะสมที่สุด เพื่อเพิ่มอัตราของผู้รอดชีวิตจากการปลูกถ่ายครั้งแรกให้สูงขึ้น แม้จะเป็นงานที่หนักและยุ่งยาก แต่มู่เฉินเป็นคนที่ไม่ชอบให้คนอื่นทำงานแทน เขาเชื่อเสมอว่าการจะทำให้งานที่สำคัญสำเร็จได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาต้องเป็นคนลงมือทำด้วยตัวเองเท่านั้น มีแต่งานง่าย ๆ พื้นฐานเท่านั้น ที่จะถูกส่งไปให้ลูกน้องจัดการ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่สำคัญ เขาจะรับจัดการด้วยตัวเองทันที

เสียงเตือนดังขึ้นเบา ๆ ทำให้เขาหยุดมือที่กำลังเคลื่อนไหวลง ก่อนจะขยับมือออกไปรับข้อความที่ส่งมาถึงเขา ถ้ามันไม่มีแสงเรื่อ ๆ เรืองออกมาจากตัวจดหมายฉบับนั้น ทุกคนที่เห็นจะต้องนึกว่ามันเป็นจดหมายกระดาษของจริงอย่างแน่นอน

หลังจากเปิดข้อความนั้นขึ้น สายตาของเขาก็กวาดอ่านทุกรายละเอียดอย่างจริงจัง ราวกับมันเป็นข้อความที่มีผลต่อชีวิตของเขาเองเลยทีเดียว แต่ท่าทางของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นสับสน ใช่! เขาไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก เพราะจากรายละเอียดที่เขียนมาในข้อความนี้บ่งบอกว่า เดวิดเป็นเด็กที่มาจากครอบครัวธรรมดาที่มีสมาชิกทั้งหมด 6 คน เขาเป็นลูกคนที่ 2 มีพี่ชายคนโตชื่อเดเร็ค ตอนนี้มีอายุ 21 ปี ชอบอ่านหนังสือเป็นงานอดิเรก และกำลังทำงานเป็นวิศวกรอยู่ในบริษัทขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเช่นเดียวกันกับพ่อของเขา เป็นความภาคภูมิใจของครอบครัว และเดวิดยังมีน้องสาวอีก 2 คน ทั้งคู่เป็นฝาแฝด ที่ตอนนี้อายุได้ 13 ปีแล้ว คนหนึ่งค่อนข้างจะมีนิสัยรักสงบ ส่วนอีกคนค่อนข้างร่าเริง และมีมนุษย์สัมพันธ์ดี ซึ่งเป็นเรื่องแปลกไม่น้อยสำหรับพี่น้องที่เป็นแฝดแท้

เรื่องพวกนี้ไม่ใช่จุดที่มู่เฉินสนใจมากนัก สิ่งที่กวนใจเขาอยู่ก็คือ เดวิดดูเหมือนจะเป็นแค่เด็กปกติธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ไปเรียนที่โรงเรียนตามปกติทุกวัน เลิกเรียนตอนบ่าย 3 โมง ไปทำงานพิเศษที่ร้านเครื่องกลตอนบ่าย 3 โมงครึ่ง และกลับบ้านตอนทุ่มครึ่งทุกวัน นี่เป็นกิจวัตรประจำวันตอนที่เขาอยู่ในฐานที่มั่น และแม้ว่าจะมีเพื่อนอยู่บ้าง แต่ค่อนข้างจะเก็บตัวอยู่คนเดียวมากกว่า

เป็นแค่คนที่โดดเดี่ยวธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีเหตุการณ์พิเศษอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตที่ผ่านมาของเขาเลย อ้อ! มีอยู่อย่างหนึ่ง เดเร็ค พี่ชายของเขาได้เข้าทำงานในบริษัทใหญ่และได้เงินเดือนก้อนโตไม่น้อย แต่เดวิดกับเดเร็คก็ไม่ได้สนิทกันมากนัก จะบอกว่าเป็นเรื่องพิเศษในชีวิต ก็คงจะมากเกินไปหน่อย

แม่ของเขาชื่ออาลียาห์ ทำงานเป็นผู้ช่วยให้กับตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในเซ็กเตอร์ที่อาศัยอยู่ ไม่ได้มีเวลาให้กับครอบครัวมากนัก แต่ก็เป็นคนที่ทำเพื่อครอบครัวมากที่สุดในหมู่พวกเขาแล้ว

จากมุมมองของมู่เฉิน เรื่องพวกนี้ไม่มีความสำคัญอะไรเลย สิ่งที่เขาสนใจคือความรู้ที่อยู่ในหัวของเดวิดนั่นต่างหาก แต่เดวิดไปได้ความรู้เหล่านั้นมาได้อย่างไร เขารู้เรื่องของกริฟฟินได้ยังไง? นี่คือสิ่งที่มู่เฉินสนใจมากที่สุด

และเมื่ออ่านรายงานทั้งฉบับจนจบแล้ว สรุปได้อย่างรวดเร็วเลยว่า เดวิดไม่ได้เป็นเด็กที่มีอะไรพิเศษเลยแม้แต่น้อย ครอบครัวก็ไม่มีใครโดดเด่น และเขาไปได้ข้อมูลเหล่านั้นมาจากไหน มันน่าสงสัยจริง ๆ และมันเป็นไปไม่ได้ที่ความรู้เหล่านี้จะเกิดขึ้นมาเองกลางอากาศ

‘น่าสนใจ! ฉันชอบความท้าทายแบบนี้แหละ’ มือของมู่เฉินยกขึ้นไปจับอยู่ที่คางของตัวเอง ทำอาการลูบเคราที่ไม่มีอยู่ของตัวเอง พยายามใช้ความคิดเพื่อหาวิธีไขความลึกลับของเดวิด และเหมือนว่าเขาจะคิดออกแล้ว เพราะใบหน้าเริ่มปรากฏออกมาด้วยรอยยิ้ม และถึงกับส่งเสียงหัวเราะตามออกมาด้วย

แม้ว่าเขาอยากจะตรงเข้าไปจับตัวเดวิดมาเดี๋ยวนี้เลย เพื่อที่จะได้รีดข้อมูลออกจากปากของเจ้าเด็กนั่นโดยตรง แต่ก็หยุดตัวเองเอาไว้ การรีบร้อนเกินไปอาจจะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นมาทีหลังได้ และการจัดการเรื่องนี้อย่างช้า ๆ น่าจะดีกว่า ถ้าเขาเร่งลงมือตั้งแต่เดวิดเพิ่งจะลงทะเบียนเข้าสู่สถาบัน อาจจะก่อนให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมาจริง ๆ ก็ได้

เพราะถึงแม้ว่าทางสถาบันจะอนุญาตให้มีการต่อสู้กันระหว่างนักเรียน และยอมรับการเสียชีวิตของนักเรียนได้ แต่พวกเขาจะตรวจสอบสาเหตุการตายอย่างละเอียด ไม่ปล่อยให้ข้อผิดพลาด หรือความผิดปกติใด ๆ หลุดรอดไปได้เลย และการแทรกแซงการสอบสวนนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะมีการใช้คนจำนวนมากจากหลายหน่วยงานเข้ามาร่วมกันทำการสอบสวน คนพวกนั้นจะสรุปผลตามมุมมองของตัวเองขึ้นไปตามความจริง และปล่อยให้สภาเป็นผู้สรุปผลการสอบสวนในท้ายที่สุด

ดังนั้น ถ้ามีนักเรียนถูกรายงานว่าหายตัวไป มันต้องมีการตั้งคณะสอบสวนขึ้นมาอย่างแน่นอน และการค้นหานักเรียนคนหนึ่งอย่างมากก็ใช้เวลาไม่เกิน 5 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะสิ่งมีที่ดูเหมือนกับเป็นแมลงต่าง ๆ ผึ้ง มด หนู และสัตว์อื่น ๆ อีกบางชนิด ที่มีอยู่ทั่วสถาบันไปหมดนั้น เป็นสิ่งมีชีวิตแบบกึ่งหุ่นยนต์ที่ทางสถาบันได้สร้างขึ้นมา

สิ่งมีชีวิตกึ่งหุ่นยนต์สามารถอธิบายได้ง่าย ๆ ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรมมาตั้งแต่แม่ของมันตั้งท้อง เพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่น ไข่ของผีเสื้อจะถูกดัดแปลงด้วยเทคนิคพิเศษ สร้างเป็นยีนที่สามารถสร้างเคลื่อนเสียง หรือบันทึกภาพขึ้นมาได้ เพื่อให้พวกมันเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ช่วยในการเฝ้าสังเกตการณ์ หรืออีกวิธีหนึ่ง คือการฝังกล้องสังเกตการณ์และแผงวงจรขนาดเล็กเข้าไปในไข่ตั้งแต่ต้น และปล่อยให้มันเติบโตขึ้นมาพร้อมกัน จนกลายเป็นผีเสื้อที่มีกล้องติดอยู่ในตัว

หรือจะกล่าวอย่างง่าย ๆ ได้ว่า ไม่มีทางที่จะก่ออาชญากรรมขึ้นในพื้นที่เกาะของสถาบันแห่งนี้ แล้วจะมีโอกาสหนีรอดไปได้เลย

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ มู่เฉินก็ไม่กล้าที่จะลงมืออย่างอุกอาจมากนัก เขาต้องใช้ความระมัดระวังพอสมควร ส่วนความคิดที่จะเข้าไปตีสนิทกับเดวิดนั้นก็ไม่ใช่แผนการที่ดีนัก แค่คิดว่านั่นคือแผนการก็ผิดแล้ว เพราะมันจะก่อให้เกิดความสงสัยขึ้นมาได้ และอาจมีพวกคนโง่บางคนเข้าใจผิดได้ว่า เขามีความสัมพันธ์อะไรเป็นพิเศษกับนักเรียนอีก

มีผู้คนมากมายในสถาบันแห่งนี้ กำลังจ้องจะแย่งตำแหน่งของเขาอยู่ ถ้าเขาขยับตัวผิดแม้แต่นิดเดียว มันจะถูกขยายผลเป็นเรื่องใหญ่โตในทันที อย่างน้อยก็เพื่อทำลายชื่อเสียงของเขา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่มู่เฉินต้องระวังตัวเป็นอย่างมาก

ถ้าอย่างนั้น ทางเลือกที่เหลือก็คือ....

เสียงหัวเราะของเขาเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง มันดังก้องไปทั่วห้องทำงานราวกับเสียงหัวเราะของคนบ้า อากาศที่ด้านหลังของเขาเริ่มสั่นไหว การที่เขาหลุดจากการควบคุมตัวเองไปแบบนี้ มันทำให้จ้าวแห่งสัตว์ร้ายถูกเรียกให้ปรากฏตัวออกมา เขาต้องรีบหยุดหัวเราะ ก่อนที่จะควบคุมสติของตัวเองให้สงบลง

แล้วเขาก็ส่งข้อความไปเรียกผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งให้เข้ามาพบ จากนั่นก็เปิดม่านพลังรักษาความปลอดภัยของห้องทำงานนี้ขึ้น

หลังจากนั้นไม่นานนัก ไอวอร์ก็เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องทำงานของเขาแล้ว

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด