ตอนที่แล้วบทที่ 265 – ความรักของเค้อหลุนตัว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 267 – เจ้าชายเดินทางกลับอาณาจักร

บทที่ 266 – วีรบุรุษช่วยหญิงงาม


สีหน้าของผมยังยิ้มแย้ม “ที่แท้เจ้าก็มีเจตนาอย่างนี้อยู่เบื้องหลังนี่เอง แต่ข้าก็ขออวยพรให้กับพวกเจ้าทั้งคู่ด้วยก็แล้วกัน ถ้ามันดูท่าว่าจะไม่สำเร็จขึ้นมาจริง ๆ ยังยังมีทางเลือกอื่นอยู่นะ พาอาสุ่ยหนีมาเลยก็ได้ ข้าจะเป็นคนช่วยดูแลพวกเจ้าอย่างดีเลยทีเดียว ที่ทวีปตะวันออกนี้มีสถานที่ให้พวกเจ้าอาศัยอยู่มากมาย อย่างนี้เป็นอย่างไรบ้างล่ะ?”

แววตาของเค้อหลุนตัวเป็นประกาย “เรื่องของข้ากับอาสุ่ยนั้นมีอุปสรรคไม่น้อยเลยจริง ๆ ข้อเสนอของเจ้านั้นฟังดูดีไม่น้อยเลยทีเดียว ถ้าข้าพาอาสุ่ยหนีออกมาอาศัยอยู่กับพวกเจ้าที่ดินแดนของเผ่ามนุษย์ มันก็คงจะยอดเยี่ยมไม่น้อย สภาพแวดล้อมของทวีปตะวันตกนี้ดีกว่าในดินแดนของเผ่าปีศาจไม่น้อย ฮ่า!.... พอเถอะ ตอนนี้ข้านั้นเริ่มเหนื่อยไม่น้อยแล้ว ข้าจะกลับไปพักผ่อนก่อนแล้วกัน ได้พูดคุยกับเจ้า ทำให้ข้าคลายกังวลลงไปได้เยอะทีเดียว คืนนี้ข้าคงจะหลับได้อย่างสบายแน่ ๆ” อาจเป็นเพราะว่าเรื่องราวที่เขาเล่าออกมา มันคล้ายคลึงกับสิ่งที่เกิดกับผมไม่น้อย พวกเราต่างโชคร้ายไม่ต่างกันมาก และไม่ได้รับการสนับสนุนจากคนรอบตัวอย่างสมบูรณ์ นี่ทำให้ผมรู้สึกว่าใกล้ชิดกับเขาได้มากขึ้น

และถึงแม้ว่าผมจะยังไม่สามารถรักษาแผลเป็นให้หายไปได้ แต่ก็รู้สึกดีขึ้นไม่น้อยแล้ว เมื่อคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นที่ตำหนักนี้ได้ ผมเริ่มอยากจะเดินดูรอบ ๆ ภายในป้อมปราการขึ้นมาแล้ว หลังจากหาหมวกคลุมหน้าใบเดิมในกระเป๋ามิติเจอแล้ว ก็ใช้มันปกปิดใบหน้าของตัวเอง นำคทาเวย์ซู่เกอลาใส่ไว้ในถุงผ้าสะพายหลังเอาไว้ ก่อนจะเดินไปแจ้งกับทหารเฝ้าทางเข้าว่าผมจะออกจากตำหนัก

ท้องฟ้าในตอนนี้เป็นสีน้ำเงินเข้มราวกับกำมะหยี่ มีมวลหมู่เมฆสีขาวนวลลอยอยู่เป็นกลุ่ม ๆ แสงอาทิตย์ทอประกายอยู่อย่างสวยงาม มันเป็นบรรยากาศที่งดงามและสร้างความสบายใจให้ผมเป็นอย่างมาก ระหว่างทางที่เดินเที่ยวดูไปทั่ว ๆ จะเจอกับทหารลาดตระเวนอยู่เป็นระยะ

ผมเดินเรื่อยเปื่อยไปยังถนนที่มีพ่อค้าเร่มาตั้งร้านอยู่เป็นจำนวนมาก กวาดสายตาสังเกตมองไปที่สินค้าต่าง ๆ ที่วางขายอยู่ แล้วตอนนั้นเอง ที่ได้ยินเสียงดังเอะอะขึ้นมาด้านหน้าของตัวเอง

“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าไม่ต้องตามมา แล้วทำไมเจ้าถึงไม่เชื่อฟัง? หา!”

“คุณหนู กรุณาอย่าได้พยายามหนีไปทั่วอย่างนี้เลย ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับคุณหนู พวกเราจะกลับไปรายงานได้อย่างไร?”

“พอได้แล้ว! พวกเจ้าไม่รู้สึกรำคาญบ้างหรืออย่างไร? ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ จะเกิดปัญหาอะไรได้อย่างไร? แค่ออกมาเดินเล่นแค่นี้เอง ที่นี่ยังเป็นเขตแดนของพวกเราอยู่ จะมีอันตรายไปได้ยังไง? ข้าขอเตือนพวกเจ้าเอาไว้เลย ต่อไปนี้ห้ามตามข้ามาอีก”

นั่นเป็นเสียงของสตรีอายุน้อยคนหนึ่ง เธอรูปร่างหน้าตาดีทีเดียว แต่งกายอยู่ในชัดคลุมเวทย์สีแดงสดใส กำลังยืนกัดริมฝีปากของตัวเองอยู่อย่างหงุดหงิด ดูเธอจะไม่พอใจกับสถานการณ์ในตอนนี้เลย ข้าง ๆ กันนั้น มีนักรบติดตามอยู่ 4 คนด้วยกัน ท่าทางของพวกเขาเหมือนกำลังจะทำอะไรไม่ถูกแล้ว

แล้วพวกเขาก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด คนที่เป็นหัวหน้าของนักรบทั้ง 4 คนนั้น ได้ก้าวมาขวางทางหญิงสาวคนนั้นไว้ ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความเคารพ “คุณหนู ได้โปรดกลับไปพร้อมพวกเราเถิด ไม่อย่างนั้น นายท่านต้องโกรธมากแน่ ๆ”

แต่หญิงสาวเยาว์วัยคนนั้นกลับผลักนักรบคนนั้นออกไปอย่างแรง ก่อนที่จะตวาดออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “ข้าไม่กลับ! ไม่มีทาง! ข้าจะไม่ยอมกลับไปเด็ดขาด” หัวหน้านักรบคนนั้นมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แรงผลักของเธอไม่สามารถขยับเขาได้เลยแม้แต่นิ้วเดียว นั่นทำให้เธอยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก ใบหน้าอันมีเสน่ห์เริ่มกลายเป็นสีแดงกล่ำแล้ว “ดีมาก! พวกเจ้าบังคับให้ข้าทำอย่างนี้เองนะ โอ้! ธาตุไฟผู้กราดเกรี้ยว ได้โปรดมอบพลังทำลายล้างของท่านให้แก่ข้า กำจัดทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้า!---ระเบิดเพลิง!” ให้ตายสิ แม่หนูคนนี้! ช่างอารมณ์ร้ายเกินไปแล้ว

ธาตุไฟในบริเวณรอบ ๆ เริ่มเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง มันกำลังรวมตัวกันอยู่ที่หญิงสาวคนนั้น ในตอนที่นักรบคนนั้นยังไม่ทันได้ตั้งตัว ลูกไฟขนาดใหญ่สองลูกก็ระเบิดขึ้นต่อหน้าเขาทันที

แม้ว่าจะตกใจ แต่เขาไม่ได้ตื่นตระหนกเกินไปเลย เขาใช้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้สีขาวที่มีสีทองแทรกอยู่บ้างเล็กน้อยออกมาป้องกันตัวเองเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งทีเดียว อย่างน้อยเขาก็ย่างเท้าเข้าสู่ระดับอัศวินศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว เมื่อแรงระเบิดจากลูกไฟนั้นส่งมาปะทะเข้ากับจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ มันผลักเขาให้ถอยออกมาเล็กน้อย นี่เป็นเพราะการโจมตีนี้เกิดขึ้นอย่างกระทันหันเกินไป ชั้นป้องกันของเขานั้นไม่ทรงพลังอย่างที่มันควรจะเป็น หญิงสาวเยาว์วัยคนนั้นหัวเราะเสียงใสออกมา เมื่อเห็นว่าการโจมตีของตัวเองนั้นประสบผลสำเร็จ และรีบเคลื่อนตัวผ่านหัวหน้านักรบคนนั้นมาในทันที

แต่ในเวลาเดียวกันกับที่พวกเขาลงมืออยู่นั้น เสียงฝีเท้าม้าที่ฟังดูเร่งร้อนกำลังดังเข้ามา กลุ่มของทหารม้าเกราะหนักหน่วยหนึ่งกำลังพุ่งมาทางพวกเขา จากท่าทางที่ดูรีบร้อนเป็นอย่างมาก ชัดเจนเลยว่าพวกเขากำลังจะออกไปปฏิบัติภารกิจที่สำคัญ หญิงสาวเยาว์วัยนั่นกำลังดีใจที่ตัวเองหนีพ้นการขัดขวางออกมาได้ ไม่ได้สังเกตเลยว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย นักรบคนที่เคยขวางทางอยู่นั้นหันมองตามเธอมา แล้วตะโกนขึ้นอย่างสุดเสียง “คุณหนู! ระวังอันตราย!!”

ตอนที่หญิงสาวคนนั้นรู้ตัว หน่วยทหารม้าเกราะหนักก็เข้ามาประชิดตัวแล้ว ด้วยความตกใจ เธอลืมที่จะใช้เวทย์มนต์เพื่อปกป้องตัวเองไปเลย ส่วนเหล่าทหารม้านั้นก็พยายามดึงบังเหียนเพื่อหยุดม้าอย่างเต็มที่ พวกเขาก็เห็นเธอโผล่ออกมาขวางทางแล้วเช่นกัน แต่นี่มันค่อนข้างจะช้าเกินไปไม่น้อย ทั้งม้าและทหารที่อยู่บนหลังมันต่างอยู่ในชุดเกราะหนักอย่างเต็มยศ น้ำหนักของพวกมันนั้นทำให้มีแรงส่งตัวอย่างมหาศาล ไม่มีทางที่พวกเขาจะหยุดได้ทันเลย เมื่อเห็นว่าหญิงสาวคนนั้นอาจจะได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ผมจึงเลือกที่จะลงมือช่วย

แล้วการเคลื่อนย้ายระยะสั้นก็ได้แสดงประสิทธิภาพของมันออกมาอย่างเต็มที่ ร่างของผมปรากฏขึ้นข้างสาวน้อยคนนั้น โอบแขนไว้รอบตัวเธอ แล้วใช้เวลาที่เหลือก่อนที่กลุ่มทหารม้าเกราะหนักจะเข้าถึงตัว เคลื่อนย้ายกลับมาอยู่ที่ด้านข้างของถนนทันที สิ่งที่ฝูงชนมองเห็นได้ในตอนนั้น ก็เพียงการที่หญิงสาวเยาว์วัยนั้นหายตัวไปอย่างกระทันหัน โดยมีเงาดำปรากฏแวบขึ้นมาเท่านั้น หน่วยทหารม้านั่นพุ่งผ่านจุดที่หญิงสาวคนนั้นเคยอยู่ไปสิบกว่าเมตร ถึงจะสามารถหยุดม้าลงได้

และเมื่อกลุ่มผู้คุ้มกันทั้ง 4 คนของหญิงสาว เห็นผู้ชายชุดดำใส่หมวกคลุมหน้าอย่างมิดชิด ช่วยคุณหนูของพวกเขาเอาไว้ได้ ก็พากันพุ่งเข้ามาหาทันที เสียงของหัวหน้านักรบตะโกนใส่ทหารม้าหน่วยนั้นอย่างเกรี้ยวกราด “พวกเจ้าตาบอดหรืออย่างไร? ทำไมถึงจะควบม้าในเมืองเร็วถึงขนาดนี้?”

แน่นอนว่าทหารม้ากลุ่มนั้นตะโกนโต้ตอบกลับมา “เจ้าเป็นใครถึงได้กล้ามาตะโกนใส่พวกข้า? ที่นี่เป็นป้อมปราการสำหรับปกป้องดินแดนจากการรุกรานของศัตรู ไม่ใช่สนามเด็กเล่นเสียหน่อย! อย่าได้ปล่อยให้เด็กน้อยออกมาเดินเล่นอย่างไม่ระวังอย่างนี้อีก!”

สีหน้าของหัวหน้านักรบคนนั้นเปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้นมาอย่างทันที พุ่งเข้าไปหากลุ่มทหารม้าเหล่านั้นทันที ก่อนที่จะควักป้ายอะไรบางอย่างออกมาโบกให้พวกนั้นดู นั่นทำให้หัวหน้าของหน่วยทหารทำหน้าเหมือนกับว่าเพิ่งเห็นผีในทันที รีบกระโดดลงจากหลังม้า และกล่าวออกมาอย่างให้ความเคารพ “ต้องขออภัยท่านด้วย ข้าไม่รู้ว่า.....”

นักรบคนนั้นยกมือห้ามไม่ให้เขากล่าวอะไรต่อ “คุณหนูไม่ได้รับอันตรายอะไรในครั้งนี้ ถือว่าเจ้าโชคดีไม่น้อย มิฉะนั้นแล้ว แค่หัวของพวกเจ้าทั้งหมด ก็ไม่พอที่จะทำให้นายท่านพอใจแน่ ๆ”

เสียงของหัวหน้าทหารม้ารีบตอบกลับมาทันที “ใช่! ใช่! ใช่! ต่อไปพวกเราจะระวังให้มากกว่านี้ แต่ครั้งนี้ พวกเรากำลังเร่งรีบจะไปทำภารกิจทางการทหาร ดังนั้น....”

เขาโบกมือห้ามอย่างหมดความอดทนอีกครั้ง “พอแล้ว! มีภารกิจอะไรก็ไปทำต่อได้แล้ว แค่ระวังตัวให้มากกว่าคราวนี้ก็พอแล้ว” ดูเหมือนว่านักรบคนนี้จะมีเหตุผลอยู่พอสมควร ในคราวนี้ไม่สมควรต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไปนัก การรีบปล่อยพวกเขาไปให้เร็วน่าจะเป็นการเหมาะสมที่สุด ผมไม่รู้เบาะแสเลยว่า นักรบผู้คุ้มกันกลุ่มนี้ รับใช้เจ้านายใหญ่โตคนไหน แต่ดูเหมือนว่าจะมีอำนาจมากพอ ที่จะทำให้เหล่าทหารม้าเกราะหนักพวกนี้เชื่อฟังคำสั่งเป็นอย่างมาก

ผมก้มหน้าลง ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่า หญิงสาวเยาว์วัยคนนั้นยังอยู่ในอ้อมแขน จึงได้รีบปล่อยตัวของเธออย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะถอยหลังออกมาสองก้าว “ต้องขออภัยแม่นางด้วย ข้าเสียมารยาทไปแล้ว”

แต่สาวน้อยคนนั้นตอบกลับมาด้วยเสียงหัวเราะ “ข้าต้องขอบคุณท่านอย่างมากที่ช่วยชีวิตเอาไว้”

ผมส่ายหน้าเบา ๆ “ใครที่ผ่านมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ ก็ต้องลงมือช่วยเหลือกันทุกคน ถ้าพวกเขามีความสามารถมากพอ แม่นางควรจะต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย ไม่อย่างนั้น มันจะน่าเสียดายถ้าหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นโดยไม่จำเป็น”

ใบหน้าของสาวน้อยปรากฏรอยขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เหมือนกับว่าเธอใกล้จะระเบิดอารมณ์อันรุนแรงออกมาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะยังจำได้ว่าผมเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตของเธอเอาไว้ ทำให้เพียงแต่กล่าวออกมาเสียงที่แข็งขึ้นเล็กน้อย “ข้าเข้าใจแล้ว”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด