ตอนที่แล้วบทที่ 30
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 32

บทที่ 31


วันนี้ลง 31 32 (พรุ่งนี้งดนะครับผมมีธุระ)

บทที่ 31

“งานเลี้ยงร้อยที่นั่ง?” สวี่ล่ายผงะเล็กน้อย

“ขอรับ จากที่คุณหนูบอก ในงานจะมีชนชั้นสูงจากตระกูลใหญ่และนิกายต่างๆเข้าร่วม และข้าหวังว่านายน้อยสวี่จะมาตรงตามเวลานัดหมาย”

สหายแซ่เฉินพูดจบก็โค้งตัว  “ภารกิจของข้าเสร็จสิ้น ได้เวลากลับแล้ว ขอนายน้อยสวี่เชิญพักผ่อนที่ตงฟู่ตามสบาย”

“อืม เข้าใจแล้ว เมื่อกลับไป ฝากบอกคุณหนูของเจ้าด้วย ว่าข้าแซ่สวี่ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ หากมีความจำเป็นใดๆในอนาคตที่ข้าพอทำได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธนางอย่างแน่นอน” สวี่ล่ายประสานสองกำปั้นในลักษณะที่เป็นมิตรเช่นเดียวกัน

“ตกลง ผู้น้อยขอลา”

เมื่อสหายแซ่เฉินจากไป สวี่ล่ายหันกลับมาและมองโรงเตี๊ยม จากนั้นเขาก็ยกตราขึ้นและส่ายเบาๆ

หึ่ง หึ่ง~!

เกิดเสียงค่ายกลทำงาน ในโรงเตี๊ยมหอจูเซียนเกิดระลอกคลื่นสั่นสะเทือนทอแสง ก่อนกางออกเป็นประตูพระจันทร์เสี้ยวขนาดสิบอิงฉื่อ

“เอาล่ะ ลองเข้าไปดูกัน”สวี่ล่ายยิ้ม นำทางเข้าไปในโรงเตี๊ยมหอจูเซียน

หึ่ง หึ่ง~!

เพียงก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยม สวี่ล่ายรู้สึกตรงหน้าพร่ามัว และเพียงไม่กี่ลมหายใจทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไป คฤหาสน์ที่กว้างขวางและสว่างสดใสปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา

เห็นแค่เพียงภายในคฤหาสน์ มีสะพานและธารน้ำไหลเล็กๆ ต้นไม้เขียวร่มรื่น กระต่ายป่าตัวหนึ่งกระโดดไปมา วิ่งผ่านหน้าเขา เหนือศีรษะยังมีลูกนกสองตัวร้องทำนองไพเราะ เป็นสถานที่พักที่มีสภาพแวดล้อมหรูหรา

“ว้าว! สมกับที่เป็นที่พักของชนชั้นสูงจริงๆ!” สวี่เปียวหันมองซ้ายมองขวา อ้าปากกว้าง น้ำลายฟูมปากโดยไม่รู้ตัว

“มันดีมากจริงๆ” สวี่ล่ายก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน

“นี่หัวหน้า ท่านคิดว่าคุณหนูเหยาสนใจนายน้อยของเราหรือไม่? เหตุใดทุกครั้งที่นายน้อยตกที่นั่งลำบาก นางถึงเข้ามาช่วยเหลือตลอด ข้าว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อน--”

ยังไม่รอให้สวี่เปาพูดจบ

ป้าง!

เขาถูกสวี่ล่ายเขกหัว

“โอ๊ย นาย......นายน้อย......”

“สงสัยที่ผ่านๆมาข้าจะหย่อนยานเกินไป มีโอกาสเมื่อไหร่เจ้าเป็นต้องนินทาลับหลัง ระวังข้าใช้เข็มเย็บปิดปากเจ้า” สวี่ล่ายจ้องอย่างดุร้าย

“นายน้อย ข้าไม่กล้าแล้ว!” สวี่เปาตกใจรีบก้มหน้ายอมรับผิด

“เอาเถอะๆ รีบไปส่งจดหมายถึงท่านพ่อ บอกเขาว่าเราได้ที่พักแล้ว พาพวกเขามาที่นี่”สวี่ล่ายโบกมือ บอกสวี่เปาให้กลับไปส่งจดหมาย

“ขอรับนายน้อย” สวี่เปารีบหันกลับมาและ เดินเข้าไปในค่ายกลใหญ่

รัศมีวิญญาณสว่างวาบ สวี่เปาเคลื่อนย้ายออกมา

“เอาล่ะ พวกเจ้าที่เหลือก็หาที่พักผ่อนกันเองแล้วกัน อ้อสวี่หู”

“บริวารอยู่นี่”

“ครั้งก่อนข้าบอกให้เจ้าเลือกคนที่โดดเด่นสามคนจากในหน่วยอารักขา ตอนนี้ได้คนรึยัง?” สวี่ล่ายหันศีรษะถาม

“เรียนนายน้อย ได้ทำการคัดเลือกแล้ว” สวี่หูพูดจบก็รีบไปยังหน่วยอารักขาและตะโกนเสียงดัง “สวี่หวู่ สวี่ซินหยู”

“ข้าอยู่นี่”

“ข้าอยู่นี่”

หลังจากสองเสียงรับคำ รุ่นเยาว์สองคนหนึ่งชายหนึ่งหญิงก็ก้าวออกมา

“คารวะนายน้อย”

“คารวะนายน้อย”

ทั้งสองก้าวมาข้างหน้าสวี่ล่ายและทำความเคารพ

“หือ? เจ้าคือสวี่หวู่งั้นหรือ?”สวี่ล่ายอึ้งเล็กน้อย ย้อนนึกไปถึงการทดสอบครั้งก่อน เป็นเจ้าหมอนี่ที่ทุ่มสุดกำลังทุบตีเขา

“ขอรับนายน้อย” สวี่หวู่เกาหัวด้วยความลำบากใจ

“นายน้อย สวี่หวู่เป็นหลานชายของผู้อาวุโสสามก็จริงแต่เขาเป็นคนง่ายๆ พลังรบก็ไม่เลว ดังนั้น .....” สวี่หูกังวลว่าสวี่ล่ายอาจมีอคติ จึงก้าวเข้ามาคิดช่วยไกล่เกลี่ย

“อืม ไม่มีปัญหา ตราบใดที่ภักดีก็พอ ที่เหลือเป็นอันเลิกแล้วต่อกัน” แม้สวี่ล่ายจะประหลาดใจเล็กน้อย ไม่ได้คาดหวังว่าสวี่หวู่จะเป็นญาติของผู้อาวุโสสามที่น่าชังคนนั้น แต่ในปัจจุบัน เขาต้องการผู้ช่วยเหลือที่แข็งแกร่งอย่างเร่งด่วน ด้วยเหตุนี้จึงไม่สนใจเรื่องเล็กน้อย

“ขอรับ”

สวี่ล่ายหันศีรษะไปตรวจสอบคนต่อไป และดวงตาเขาก็สดใสขึ้นทันที นึกไม่ถึงว่าอีกคนจะที่ได้รับคัดเลือกจะเป็นสาวน้อยหน้าตาน่ารักและดูขี้เล่น

“หืม? เจ้าคือสวี่ซินหยูใช่ไหม ทำไมดูเหมือนว่าข้าเคยเห็นเจ้าที่ไหนสักแห่งมาก่อน?”

“มันแน่อยู่แล้ว เจ้าเคยเจอข้ามาก่อน! เมื่อครั้งเจ้าเพิ่งกลับจากป่าหมอก พ่อทูนหัวข้าจัดงานเลี้ยงพิเศษต้อนรับเจ้า” สวี่ซินหยูสะกิดจมูกเธอ ใช้มืออีกข้างเท้าสะเอวแสดงท่าทีไม่ค่อยพอใจ

“อ๋า?” อย่างไรก็ตาม สวี่ล่ายคิดอยู่ครึ่งวันก็ยังจำไม่ได้

“นายน้อย ซินหยูคือบุตรสาวทูนหัวของผู้อาวุโสสอง” สวี่หู่กระซิบเตือนทันที

“อ้อ—!”สวี่ล่ายจำได้แล้ว ตอนลุงสองชวนตัวเองไปกินเลี้ยง ตอนนั้นเขาได้พบกับสาวน้อยคนนี้จริงๆ

อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นสวี่ล่ายกำลังหมกมุ่นอยู่กับปัญหามากมายเลยใจลอย ด้วยเหตุนี้ เมื่อสวี่เหยาหวู่แนะนำลูกบุญธรรมของตัวเองในงานเลี้ยง ตนเลยไม่ใส่ใจ

ตอนนี้คาดไม่ถึง ว่าสวี่ซินหยูเองก็อยู่ในหน่วยอารักขาของตน

“ไม่เลว ไม่เลว” สวี่ล่ายยิ้มเล็กน้อย มองสวี่ซินหยูอย่างละเอียด

เขาพบว่าสาวน้อยนางนี้มีรูปร่างสันทัดงดงาม ใบหน้ารูปไข่ผิวขาวราวกับหิมะ ดวงตากลมโต มีลักยิ้มเล็กๆบนแก้มทั้งสองข้าง เขี้ยวซี่เล็กโผล่ออกมานอกริมฝีปากชมพู ไม่ว่าจะมองยังไงก็ดูขี้เล่นและน่ารัก

เวลานี้ สวี่หูขยิบตาให้สวี่หวู่อย่างรู้เท่าทัน ทั้งสองขยับเว้นระยะห่างออกไป และเฝ้ารออย่างเงียบๆ

“เฮ้ย เจ้าคนไร้ยางอาย เจ้า ...... เจ้าเหตุใดที่เอาแต่จ้องคนเช่นนี้?” สวี่ซินหยูมองดวงตาที่ร้อนแรงของสวี่ล่าย ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันใด

“อ๋า? เจ้าก็ว่าแรงไป ข้าเป็นคนไร้ยางอายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” สวี่ล่ายยิ้มบาง ยิ่งมองเธอก็ยิ่งน่ารัก ยิ่งดูยิ่งชอบมากขึ้นเรื่อยๆ อยากจะเดินไปหยิกแก้มเธอจริงๆ

“ก็ตอนนั้นเจ้า ... เจ้า ...” สวี่ซินหยูนึกถึงสิ่งที่สวี่ล่ายทำครั้งก่อน แก้มก็ยิ่งแดงด้วยความเอียงอาย

“อ๊ะ? ข้าจำได้แล้ว”

ในที่สุดสวี่ล่ายก็นึกออก ในงานเลี้ยง เพราะเขาเอาแต่หมกมุ่นคิดเรื่องในใจตลอดเวลา เมื่อลุงสองนำสวี่ซินหยูมาชนจอก สวี่ล่ายเลยบังเอิญทำเหล้าหกใส่เธอโดยไม่ตั้งใจ เดิมควรจบลงที่อุบัติเหตุ อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นสวี่ล่ายที่กำลังมึนๆ เลยยื่นมือไปปัดๆเช็ดๆบนเสื้อของสวี่ซินหยู หลายครั้งตามสัญชาตญาณ ...

แน่นอน ว่ามือที่กำลังปัดป่ายนั้นดันไปสัมผัสคู่ที่อวบนุ่มโดยปริยาย

“แหะ แหะ ครั้งนั้นข้าไม่ได้ตั้งใจ”

“ไม่ได้ตั้งใจ? ฮึ่ม! ข้าคิดว่า .... คิดว่าเจ้าวางแผนมาตั้งแต่แรกแล้วมากกว่า!” เมื่อสวี่ซินหยูได้ยินเช่นนั้น ก็มุ่ยปากทันที แก้มพองโตก็ยิ่งดูน่ารัก

“วางแผนมาตั้งแต่แรก? ไม่ถึงขนาดนั้นกระมัง เพราะยังไงซะตอนนั้นพวกเราเพิ่งเจอกันครังแรก แต่เอาเถอะ ข้าจะมอบของขวัญเล็กๆน้อยๆแก่เจ้าเป็นการชดใช้แล้วกัน” สวี่ล่ายยิ้ม หยิบกล่องไม้เล็กๆ ออกมาจากแหวนมิติ และมอบให้สวี่ซินหยู

“หืม? มันคืออะไร? แต่ข้าขอบอกเลยนะ หากเจ้ามอบของขวัญราคาถูกตามท้องถนน ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้เจ้า” สวี่ซินหยูหยิบกล่องไม้ขนาดเล็ก เปิดอย่างระมัดระวัง

ติ๊ง!

รัศมีวิญญาณสว่างวาบ ดวงตาของสวี่ซินหยูเบิกกว้างทันที

“นี่ ...... นี่มัน ...... หินประสานค่ายกล?”

“ถูกต้อง นี่คือหินประสานค่ายกลรวมวิญญาณ ข้าเห็นว่าระดับฐานบำเพ็ญเพียรของเจ้ามาถึงขั้นที่เก้าของขอบเขตรวบรวมลมปราณแล้ว ห่างจากการทะลวงคอขวดเพียงก้าวเดียวเท่านั้น หากมีมัน แล้วเจ้าทุ่มเทพยายามหลังจากนี้ อาจสามารถตัดผ่านสู่ขอบเขตรวมวิญญาณได้ก่อนงานประลองก็ได้”

สวี่ล่ายยิ้มเล็กน้อย อธิบายอย่างอดทน

“โอ้พระเจ้า! นี่ ... นี่คือหินประสานค่ายกลรวมวิญญาณจริงๆหรือ?” สวี่ซินหยูกล่าวอย่างเหลือเชื่อ มองหินประสานค่ายกลในกล่องไม้

“ฮี่ ฮี่ ข้าคือนายน้อยเชียวนะ แล้วจะมอบของปลอมให้ผู้อื่นได้อย่างไร?”

“ข้าไม่ต้องการมัน” สวี่ซินหยูคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็กัดฟัน ยื่นกล่องไม้คืน

“อะไรนะ ไม่ต้องการ? หรือว่าเจ้าไม่ชอบมัน?” สวี่ล่ายอึ้งไปชั่วขณะ ไม่คาดคิดว่าสวี่ซินหยูจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้

“ไม่ใช่ เพียงแต่สิ่งนี้ ... มันล้ำค่าเกินไปสำหรับข้า ... ข้ารับไม่ไหว” สวี่ซินหยูลดศีรษะลงอย่างถ่อมตน มือข้างหนึ่งกุมชายเสื้อไม่ปล่อย

“เอ๋?” สวี่ล่ายผงะเล็กน้อย แต่จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ตามด้วยเสียงกระแอมเบาๆ “อะแฮ่ม ในฐานะคนอารักขาข้าสวี่ล่าย การเพิ่มพูนพลังรบควรเป็นสิ่งจำเป็นอันดับแรก พวกเจ้ามีแต่ต้องแก่กล้าขึ้นเท่านั้น จึงจะปกป้องข้าได้ดียิ่งขึ้น วันนี้ข้ามอบหินประสานค่ายกลรวมวิญญาณแก่เจ้า ก็จงรีบปิดด่านฝึกตนเพื่อทะลวงคอขวด สร้างผลงานที่ดีในงานประลอง”

“นี่ ......” สวี่ซินหยูตกตะลึง ยังไม่เข้าใจเจตนาของสวี่ล่าย

“ข้านายน้อยกำลังสื่อว่า ข้าสั่งให้เจ้ารับก็จงรับมันไว้”

“อื้อ” สวี่ซินหยูพยักหน้าอย่างแรง แล้ววิ่งหนีไปด้วยความดีใจ ไปรวมตัวกับเหล่ารุ่นเยาว์หญิงสองสามคนที่อยู่หน่วยอารักขาเช่นกันแล้วกระซิบกระซาบ

“เสี่ยวหู เสี่ยวหวู่”

“บริวารอยู่ที่นี่”

“บริวารอยู่ที่นี่”

“วันพรุ่งนี้ พวกเจ้าไปร่วมงานคฤหาสน์ไผ่ม่วงกับข้า”

“ขอรับ!”

“ขอรับ!”

...

วันรุ่งขึ้นในยามอู่  สวี่เหยาเหวินนําสวี่เหยาหวู่และคนอื่นๆ มาอย่างเร่งรีบ เมื่อได้พบกับตงฟู่ ทุกคนแสดงสีหน้าตื่นตาตื่นใจ

“เจ้าเห็นไหม ล่ายเอ๋อแข็งแกร่งกว่าพวกเราในตอนนั้นมาก” สวี่เหยาหวู่ทางหนึ่งปิดปาก ทางหนึ่งอุทานแตกตื่น

“จริงของเจ้า ขนาดพวกเรายังไม่เคยได้รับการปรนนิบัติเช่นนี้มาก่อนเลย” มุมปากของสวี่เหยาเหวินโค้งงอเล็กน้อย ยิ่งเชื่อมั่นว่าบุตรชายของตนจะต้องเกิดมาพร้อมพรจากมังกรฟ้า พยัคฆ์ขาว

ไม่รอช้า สวี่เหยาเหวินและสวี่เหยาหวู่ไม่หยุดนิ่ง วิ่งวุ่นไปรอบทิศ เริ่มใช้วิธีทางการทูตต่างๆ หวังว่าจะเพิ่มพันธมิตรให้กับสวี่ล่าย

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ไม่ราบรื่นนัก ...

ช่วงค่ำมาเยือนแล้ว คฤหาสน์ไผ่ม่วงสว่างไสวเหมือนเวลากลางวัน จอแจไปด้วยผู้คนสัญจรไปมาอย่างคึกคัก คลอเคล้าไปด้วยเสียงเพลงอันไพเราะ เวลานี้ ชนชั้นสูงที่ได้รับเชิญทยอยกันมาถึง 7 8 ส่วนแล้ว

“คุณหนู คุณชายสวี่ยังไม่มา” สาวใช้คนหนึ่งเดินมารายงาน กระซิบข้างหูเหยาว่านซิน

“อืม ข้ารู้แล้ว”

เหยาว่านซินพยักหน้าอย่างใจเย็น จากนั้นเหลือบมองหน้าปัดบอกเวลาที่อยู่ไม่ไกล เกิดความคิดในใจตัวเอง “ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเค่อ ไม่รู้ว่าสวี่ล่ายจะมาตามที่นัดหมายหรือไม่?”

“คุณชายฉีจากตระกูลฉีแห่งเมืองเฟิงตูมาถึงแล้ว”

ณ ขณะนี้ ได้ยินเสียงคนรับใช้ชายที่อยู่นอกประตูขานชื่อแขกผู้มีเกียรติอีกคนที่มาถึง

“เอ๊ะ? คุณชายฉี? หรือว่าจะเป็นคุณชายฉีเจี้ยนหมิง?”

“เจ้าหมายถึงคุณชายฉีผู้นั้นที่มีฐานบำเพ็ญเพียรไปถึงขั้น 3 ขอบเขตรวมวิญญาณใช่ไหม?”

“ถูกต้อง ข้าได้ยินมาว่าเมื่อครึ่งปีก่อน เขาเข้าไปในส่วนลึกของป่าหมอกด้วยตัวคนเดียว และฆ่าสัตว์ปีศาจขั้น 2 ได้ตัวหนึ่ง”

“โอ้? นั่นเรื่องจริงหรือ?” คนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์เริ่มพูดคุยกัน

ณ ขณะนี้ เงาร่างแกว่งไกวของชายหนุ่มและหญิงสาวสามคนเดินเข้ามา คนกลางมีรูปร่างปานกลาง หน้าตาหล่อเหลา ทั่วร่างแก่กลิ่นอายของผู้คงแก่เรียน

ชายคนนี้เข้าประตูมาก็ประสานกำปั้นด้วยมือทั้งสองข้าง เอ่ยว่า “ผู้แซ่ฉีมาช้า หวังว่าคุณหนูเหยาและสหายร่วมงานจะให้อภัย”

“ฮ่า ๆ พี่ฉีพูดอะไร นี่ยังไม่ถึงเวลาเริ่มงานเลย”

“ใช่ใช่ใช่ พี่ฉีมาทันเวลาพอดี สักพักต้องดื่มกับพี่ฉีซักจอกแน่นอน”

บางคนที่คุ้นเคยฉีเจี้ยนหมิงเป็นอย่างดี รีบลุกขึ้นมาประสานมือรับคำเคารพ

“คุณชายฉียอมมาถึงที่นี่ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ” ในฐานะเจ้าของงาน เหยาว่านซินเดินลงมาทักทายด้วยตัวเอง

“ไอ้หยา ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณหนูเหยาจะออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ผู้แซ่ฉีทำให้ท่านต้องลำบากแล้ว” ฉีเจี้ยนหมิงรีบประสานสองกำปั้น เอ่ยคำสุภาพ

“พี่ฉีจะเกรงใจกันเกินไปแล้ว เชิญไปนั่งก่อนเถิด”

“ขอบคุณคุณหนูเหยา”

ฉีเจี้ยนหมิงนั่งลงช้าๆโดยมีคนคุ้มกันสองคนอยู่ข้างๆเขา

“คุณหนูเหยา ใกล้ถึงเวลาแล้ว งานเลี้ยงสามารถเริ่มได้เลยหรือไม่?”

ทันใดนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ลุกขึ้นถาม

“ไม่ต้องรีบร้อน ยังเหลือคุณชายอีกคนที่ยังมาไม่ถึง” เหยาหว่านซินยิ้มบาง

“อะไรนะ ยังมีใครมาไม่ถึงอีกรึ?”

“ว้าว คุณชายคนที่ว่าใหญ่โตแค่ไหนกันเชียว ถึงขั้นให้คุณหนูเหยาต้องรอ”

“ใช่ๆ ชายผู้นี้สมควรตายจริงๆ”

เพียงแต่ในตอนนั้นเอง ......

“ตระกูลสวี่แห่งเมืองหรันเถียน คุณชายสวี่มาถึงแล้ว!”

5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด