ตอนที่แล้วบทที่ 7
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 9

บทที่ 8


บทที่ 8

“ฉันขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับอัจฉริยะแล้ว! ถึงเวลากลับบ้านซักที!”

ในที่สุด สวี่ล่ายก็ไม่อาจข่มความตื่นเต้นภายในใจไหว ตะโกนขึ้นฟ้าอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง

ยังไงก็ตาม เรื่องนี้เข้าใจได้ เพราะขณะนี้เขากลายเป็นอัจฉริยะแล้ว!

จากลูกเป็ดขี้เหร่กลายเป็นหงส์ขาว!

นี่จึงคู่ควรพอให้คนๆหนึ่งแทบคลั่ง

เมื่อระบายความปิติออกมาจนสาแก่ใจ สวี่ล่ายถอนหายใจยาว “ฟิ้ว~ เซียะเทียน พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”

“เหมียว?” เซียะเทียนเอียงคอ ชำเลืองมองชายผู้หนึ่งที่คล้ายกึ่งบ้ากึ่งเลอะเลือน

“เหมียวๆอะไรของนาย? รีบเก็บข้าวของได้แล้ว พวกเราจะออกเดินทาง วะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ...” สวี่ล่ายยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวเซียะเทียนขนปุกปุยขึ้นกอด แล้วหมุนไปมาอย่างแรง

“เมี๊ยว!?”

...

สวี่ล่ายกลับถ้ำเพื่อจัดระเบียบเล็กน้อย อำลาปรมาจารย์ซือถูเหยาสู่ จากนั้นมองไปทางหลุมศพสัตว์วิญญาณที่ฝังอยู่ข้างเจ้านายของมัน หรือก็คือแม่ของเซียะเทียนนั่นเอง

เขาตัดสินใจใช้ที่นี่เป็นหลุมศพของมัน เพื่อให้เหมาะสมกับสถานะสัตว์วิญญาณผู้ซื่อสัตย์

“ยามเป็นเคียงบ่าเคียงไหล่กันสู้ ยามตายกลบฝังข้างกัน! ท่านปรมาจารย์ ในโลกหน้า หวังว่าท่านจะได้ท่องเที่ยวไปกับสัตว์วิญญาณผู้ภักดีตนนี้อีก”

สวี่ล่ายถอนหายใจเบาๆ โบกมือและตบเซียะเทียนที่อยู่ข้างๆ

“เซียะเทียน ไปกันเถอะ” ว่าจบก็หันหลังและจากไป

สวี่ล่ายเดินออกจากปากถ้ำ หันกลับมามองสถานที่ที่เขาใช้พักอาศัยเป็นเวลานานกว่าสามเดือน ทันใดนั้นปราณบริสุทธิ์ในตัวพุ่งทะยาน

“ฝ่ามือร้อยปะทะท่อนที่ 7!!

ตูม!

กราว กราว ....

เศษหินหล่นลงมาปิดปากถ้ำทั้งหมด แล้วจากนั้น สวี่ล่ายก็พาเซียะเทียนออกจากป่าหมอกแห่งนี้อย่างพึงพอใจ

...

ณ เมืองหรันเถียน หนึ่งในสิบสามเมืองแห่งรัฐต้าหยาน นี่คือเมืองที่มีพื้นที่น้อยที่สุด ประชากรเบาบางมากที่สุด

อย่างไรก็ตาม เมืองนี้กลับมีตระกูลที่เมื่อครั้งอดีตเคยรุ่งโรจน์ที่สุดในรัฐต้าหยาน --ตระกูลสวี่!

อาทิตย์กำลังตกดิน ม้าเร็วควบจากที่ไกลๆ มันบรรทุกชายหนุ่มในสภาพเปื้อนฝุ่นไว้บนหลัง ผมเพ้าของชายหนุ่มคนนี้กระเซิงและเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง กระนั้น บนใบหน้าเขากลับแสดงความตื่นเต้นและปิติยินดีอย่างไม่อาจเก็บงำ

“เซียะเทียน พวกเราเกือบจะถึงบ้านแล้ว”

‘บ้าน’ คำนี้สำหรับสวี่ล่ายแล้วมันคือสถานที่ในฝัน ชาติก่อนเขาเติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ดังนั้นจึงโหยหาคำว่า ‘บ้าน’ ที่มีครอบครัวเฝ้ารออยู่มากกว่าที่หลายคนจะนึกถึง

และโชคดีมากๆ เพราะในโลกใบนี้ --สวี่ล่ายมีบ้านที่แสนอบอุ่น

จากในความทรงจำของสวี่ล่าย ตระกูลสวี่อยู่คู่กับรัฐต้าหยานมาเป็นพันปีแล้ว และกระทั่งในทวีปชางหวู่ พวกเขาก็เคยเป็นที่โจษจันอยู่พักหนึ่ง สามารถสร้างความฮือฮาจนทั้งทวีปสั่นสะเทือน!

แต่กาลเวลาย่อมเปลี่ยนแปลง ตระกูลใหญ่ที่เคยครองอำนาจค้ำฟ้าได้เสื่อมถอยไปนานแล้ว ความรุ่งเรืองในอดีตได้สูญหายไปตามสายน้ำแห่งกาลเวลา

แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ปัจจุบันตระกูลสวี่ก็ยังคงรักษาประเพณีสำคัญเมื่อครั้งที่ยังคงยิ่งใหญ่ไว้ได้เสมอมา นั่นคือ —— ความสามัคคี!

ตระกูลสวี่ ไล่ตั้งแต่ประมุขจนถึงสมาชิกธรรมดา ไล่จากตระกูลสายตรงยันตระกูลสาขา ไล่จากเจ้านายไปบ่าว เกือบจะทุกคนล้วนยินดีเกื้อหนุนตระกูลอย่างจริงใจ

ตระกูลสวี่อาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีมนุษยธรรมมากที่สุด!

ขนาดสวี่ล่ายในฐานะนายน้อยที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในบรรดารุ่นเยาว์ พรสวรรค์ในด้านศิลปะการต่อสู้ของเขาต่ำต้อย แต่ก็ยังเป็นคนดีและได้รับการเคารพอย่างดี มิเช่นนั้นบุตรสาวตระกูลเย่คงไม่ยืนกรานว่าต้องแต่งงานกับสวี่ล่าย

อย่างไรก็ตาม ในโลกนี้ซึ่งผู้แข็งแกร่งมีอำนาจ ‘คนดี’ ไม่เหมาะกับสถานที่อันโหดร้ายเช่นนี้ และการเป็นคนดีไม่ได้หมายความว่าจักต้องได้รับผลตอบแทนที่ดีเสมอไป!

...

ณ หอจูเซียน นี่คือร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหรันเถียน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐี ผู้ทรงอิทธิพล ขุนนาง นักบู๊ที่มีชื่อเสียง หรือกระทั่งประมุขจากตระกูลใหญ่ เกือบทุกคนต่างนิยมเชิญแขกมาเลี้ยงที่นี่ในยามว่าง

ในทำนองเดียวกัน ที่นี่ยังเป็นช่องทางที่ดีที่สุดในการหาข่าวอีกด้วย

วันนี้ ขอทานผู้มั่งคั่งบุกเข้ามาในหอจูเซียน

ทันทีที่ก้าวเข้าประตู เขาโยนหินดวงดาวก้อนหนึ่งออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ พร้อมขอโต๊ะและเหล้าที่ดีที่สุดแล้วเริ่มรับประทาน

เรื่องนี้ทำให้เจ้าของหอที่มีความรู้มากมายประหลาดใจมาก

หินดวงดาว มันคือหินโลหะที่ระยิบระยับเหมือนอัญมณีเจ็ดสี รูปทรงหกเหลี่ยมมีขนาดเท่ากับนิ้วก้อย

เจ้าสิ่งนี้ นอกจากจะสวยงามแล้ว ยังมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นการฝึกตน หลอมอาวุธชุดเกราะ วัสดุในการสร้างค่ายกล หรือกระทั่งการกลั่นโอสถก็มักจะมีการใช้สิ่งนี้อยู่หลายครั้ง

หินดวงดาวจึงกลายเป็นสกุลเงินสำหรับผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่ครั้งโบราณ แต่แน่นอน ว่าทองคำและเงินก็ยังคงสามารถใช้ในโลกนี้ได้เช่นกัน แต่มูลค่าของหินดวงดาวนั้นสูงกว่าทองคำและเงินเป็นร้อยเท่า!

สวี่ล่าดึงขาไก่ข้างหนึ่งแล้วแอบยื่นให้เซียะเทียน

“เป็นยังไงบ้าง รสชาติไม่เลวใช่ไหม ฮี่ ฮี่ ...”

“เหมียว!”

สวี่ล่ายเห็นเซียะเทียนก้มกินอาหารไม่เงยมองหน้าเขา ก็เผยรอยยิ้มบาง

หลังจากกลับมาที่เมืองหรันเถียน สวี่ล่ายพบว่ายิ่งตัวเองเข้าใกล้คฤหาสน์ตระกูลมากเท่าไหร่ เขากลับยิ่งกระสับกระส่ายมากเท่านั้น

อาจเป็นเพราะเขากำลังจะได้เจอกับครอบครัวที่อบอุ่นและงดงาม จึงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย จินตนาการเลยเถิดไปจนยากจะสงบใจ

เอาจริงๆสวี่ล่ายยังไม่มั่นใจ ว่าในตระกูลสวี่ สถานะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนอื่นๆมันดีจริงๆหรือไม่ เป็นที่เคารพรักเหมือนในความทรงจำจริงๆน่ะหรือ? มีบิดาที่ใจดีจริงๆไหม? เขามีคู่หมั้นที่อ่อนโยน มีคุณธรรม งดงามและใจดีรอคอยอยู่ที่บ้านจริงๆรึเปล่า?

ด้วยประการฉะนี้ สวี่ล่ายจึงตัดสินใจทำตัวกลมกลืนพูด ข้า เจ้า เหมือนคนอื่นๆ มาที่นี่เพื่อลอบหาข้อมูลซักนิดหน่อยด้วยตัวเอง และหากทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง เช่นนั้นสวี่ล่ายก็จะจากไปอย่างเงียบๆ ออกจากสถานที่นี้ซึ่งไม่ใช่ที่ของเขาตั้งแต่แรก แล้วเริ่มเดินไปตามทางของตัวเอง

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ พวกเจ้าได้ยินกันไหม? นิกายเทียนเยว่(จันทราสวรรค์)ได้ส่งสาวกสายในมาสามคน ข้าได้ยินว่าทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง”

“แต่ว่านะพี่ใหญ่อวี้ถิง เหตุใดทางนิกายเทียนเยว่ถึงขั้นต้องส่งสาวกสายในมายังเมืองหรันเถียนของเราด้วย? หรือว่าพวกเขาเองก็คิดลงแข่งงานประลองหาคู่ของตระกูลเย่เช่นกัน?”

ทันทีที่ได้ยินคำ ‘งานประลองหาคู่’ สวี่ล่ายหูผึ่งทันที

ในขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าดังขึ้น ชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งหมด 7 คนก้าวขึ้นบันไดมา ทุกคนล้วนเป็นชายหล่อเหลา หญิงมีเสน่ห์ แต่ละคนคาดกระบี่ไว้ที่เอว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหรา และบนอกปักคำว่า ‘อวี้เจี้ยน’ (กระบี่หยก)

“คนของคฤหาสน์กลางหุบเขาอวี้เจี้ยน? --ตระกูลหลี่?” สวี่ล่ายชำเลืองมองเล็กน้อยแล้วหยุดคิด ค้นความทรงจำอย่างรวดเร็ว “อวี้ถิง? หรือว่านั่นคือสมาชิกรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลหลี่ ——กระบี่ลมกรดหลี่อวี้ถิง?”

สวี่ล่ายยังคงตั้งใจฟังอย่างขะมักเขม้น ครั้งนี้เขาถือโอกาสลอบสืบข้อเท็จจริงของกองกำลังหลักต่างๆ

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ยังเหลือเวลาอีกกว่าหนึ่งเดือนก่อนงานประลองหาคู่จะเริ่มขึ้น เขาเชื่อว่าในช่วงนี้ น่าจะเป็นเวลาที่พวกชนชั้นนำของรุ่นเยาว์จากตระกูลใหญ่ออกมาเดินเล่นกัน ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง’

สวี่ล่ายก้มหน้าลง และแกล้งทำเป็นกินปกติ แต่หูของเขาตั้งตรง ตั้งใจฟังอย่างยิ่ง

“ที่นิกายเทียนเยว่สร้างความฮือฮาในครั้งนี้ พวกเขามาเพื่องานประลองหาคู่ของตระกูลเย่จริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว” มุมปากหลี่อวี้ถิงโค้งงอเล็กน้อย เขาพาสมาชิกรุ่นเยาว์ของตระกูลหลี่คนอื่นๆไปนั่งบนที่นั่งส่วนตัวหรูหราบนชั้นสอง

“โห? งานประลองหาคู่เล็กๆของตระกูลเย่ กลับสามารถเชิญสาวกจากนิกายเทียนเยว่มาได้จริงๆ นี่มันมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไรกันแน่?”

หนึ่งในสาวกรุ่นเยาว์ที่อยู่ข้างๆหลี่อวี้ถิงเอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ

“ฮี่ ฮี่ พวกเจ้าไม่เคยได้ยินข่าวลือหรือ?”

“ข่าวลืออะไร?”

“ว่ากันว่าคุณหนูเย่ เย่เสวี่ยหลิงเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งในตระกูลเย่ ถ้าก้าวสู่ขอบเขตรวมวิญญาณเมื่อไหร่ การเปิดใช้งานตราประจำตระกูลได้ก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย แต่ประเด็นก็คือ ... ในตัวนางมีผลึกสตรีหยก!”

หลี่อวี้ถิงหุบพัดกระดาษในมือเบาๆ มุมปากยังคงรักษารอยยิ้มอันสง่างาม

อย่างไรก็ตาม สวี่ล่ายเห็นประกายละโมบในดวงตาของหลี่อวี้ถิง

“ผลึกสตรีหยก? พี่ใหญ่อวี้ถิง ผลึกสตรีหยกคืออะไร? ฟังดูล้ำค่ายิ่งนัก” สตรีรุ่นเยาว์ที่อยู่เคียงข้างหลี่อวี้ถิงเอียงหน้าเข้าไปใกล้ๆเขา ใช้โอกาสนี้เอ่ยถาม

“ผลึกสตรีหยก เกิดขึ้นจากผู้บำเพ็ญเพียรสตรีที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง มันคือผลึกปราณบริสุทธิ์ที่ก่อตัวขึ้นในร่างกายโดยไม่ตั้งใจระหว่างฝึกตน ผลึกนี้เล่อค่ามาก เรียกได้ว่ามีโอกาสพบเจอแค่หนึ่งในล้าน”

“กล่าวกันว่าผลึกสตรีหยกนี้จะถูกถ่ายโอนเข้าสู่ร่างของผู้ชายที่ได้ครองรักครั้งแรกกับนาง และเมื่อฝ่ายชายได้รับสิ่งนี้มา ฐานบำเพ็ญเพียรของเขาไม่เพียงพัฒนาอย่างก้าวกระโดด แต่ยังถึงขั้นทะลวงคอขวดของการบำเพ็ญเพียรได้อีกด้วย”

หลี่อวี้ถิงส่ายหัว เล่าเรื่องที่เคยได้ยินมาแบบเติมน้ำมันใส่น้ำส้มสายชู และสวี่ล่ายที่นั่งอยู่มุมห้องก็ได้ยินชัดทุกถ้อยคำ

“ผลึกสตรีหยก?” สวี่ล่ายอึ้งเล็กน้อย ไม่เคยคิดว่าการประลองหาคู่แท้จริงจะซับซ้อนขนาดนี้

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ถ้าอย่างนั้นไม่หมายความว่าคุณหนูเย่จะกลายเป็นที่แย่งชิงกันของผู้คนมากมายหรอกหรือ?” รุ่นเยาว์อีกคนหนึ่งเรียกเสี่ยวเอ้อ สั่งเหล้ารสเลิศมาที่โต๊ะแล้วหันกลับมาพูดด้วย

“เหอ เหอ เป็นอย่างที่เจ้าว่านั่นแหละ ไม่งั้นตระกูลเย่คงไม่ถือโอกาสนี้สร้างกระแสใหญ่โต ครานี้ข้าว่าเจ้าเด็กน้อยตระกูลสวี่คงได้เห็นคู่หมั้นตัวเองไปร่วมหอลงโลงกับบ้านอื่นแล้ว”หลี่อวี้ถิงยังคงหยอกล้อ

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ถูกต้อง ถูกต้อง ครั้งนี้ตระกูลสวี่คงเสียหน้า ......”

อย่างไรก็ตาม ไม่รอให้รุ่นเยาว์ตระกูลหลี่พูดจบ ไม่ไกลนักมีเสียงตบโต๊ะ ปัง! ดังขึ้นอย่างแรง

“ฮึ่ม!”

เสียงแค่นเย็นชาดังตามมา พร้อมร่างของชายหนุ่มสามคนลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะๆหนึ่ง

“หลี่อวี้ถิง! หากเจ้ายังกล้าพูดมากกว่านี้อีกล่ะก็ ..!”

หลี่อวี้ถิงเหล่ตามอง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มขี้เล่นทันที “เหอ? นึกว่าใคร ที่แท้ก็พวกขี้แพ้ไร้ประโยชน์จากตระกูลสวี่นี่เอง”

ทันทีที่ได้ยินคำ ‘ตระกูลสวี่’ สวี่ล่ายเงยหน้าขึ้น มองไปทางชายหนุ่มสามคนที่ลุกขึ้นมา

มิผิดแล้ว!

จากการแต่งตัวของทั้งสามคนนี้ น่าจะเป็นรุ่นเยาว์ของตระกูลสวี่แน่นอน และในความทรงจำของสวี่ล่าย ยังคุ้นเคยกับทั้งสามเป็นอย่างดี

“หลี่อวี้ถิง เจ้า ...” สวี่หูโกรธจนควันออกหู แต่สวี่เปาที่เป็นน้องชายซึ่งอยู่ข้างๆรั้งตัวไว้

“พี่ใหญ่ ท่านประมุขออกคำสั่งเข้มงวด ห้ามพวกเราสร้างปัญหาก่อนวันประลองหาคู่”

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ! ก็นั่นสินะ ตระกูลสวี่ของพวกเจ้ามันมีแต่คนขี้ขลาด เป็นขยะตั้งแต่หัวหน้ายันขี้ข้า วันนี้ข้ายังอารมณ์ดี จะยอมปล่อยพวกเจ้าไป รีบไสหัวกลับบ้านไปกินนมแม่เถอะ” หลี่เฟิงข้างๆหัวเราะอย่างไร้ยางอาย

“หลี่เฟิง! นี่เจ้ากล้าดียังไง ...” โทสะสวี่หูถูกจุดติดอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ตอนที่เขากำลังจะลงมือ ก็ถูกสวี่เปียว สหายอีกคนลากตัวกลับมา

“พี่หู อย่าสร้างปัญหา พวกเรากลับกันเถิด”

“พวกเจ้า ... เฮ้อ ..​ ก็ได้!” สวี่หูสะบัดแขนเสื้อ กล่าวขุ่นเคืองเตรียมตัวจะจากไป

“ช้าก่อน เมื่อครู่ข้าเอ่ยคำ ‘ไสหัวกลับบ้าน’ ตอนนี้เมื่อพวกเจ้าจะไป ฉะนั้นต้อง ‘ไสหัว’ ไปตามพื้น ให้สมกับความหมายด้วยสิ” มุมปากหลี่อวี้ถิงยกขึ้น ถือจอกเหล้าในมือ เอ่ยโดยไม่แม้แต่จะมองพวกสวี่หู

“หลี่อวี้ถิง เจ้าอย่าได้กดดันผู้อื่นให้มันมากนัก!” ครั้งนี้สวี่เปาอดไม่ไหวอีกแล้ว  เขาชักกระบี่ออกจากฝักเสียงดัง ‘เคร้ง’

“ไอ้โหย๋ นี่มันยังไง? เจ้ากล้าชักกระบี่ต่อหน้าพี่ชายอวี้ถิงของพวกเราได้อย่างไร? พวกเจ้ามั่นในใจวิชากระบี่ทระนงสังหารของตระกูลสวี่ขนาดนี้เชียวหรือ?” หลี่เฟิงเองก็ชักกระบี่ของตัวเองขึ้นบ้างเช่นกัน จ้องไปทางสมาชิกทั้งสามของตระกูลสวี่

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า น้องเฟิง เจ้าพูดจี้ใจดำแบบนี้ มันทำให้พวกตระกูลสวี่ขุ่นเคืองได้เลยนะ รู้หรือไม่?” จู่ๆหลี่อวี้ถิงก็หัวเราะออกมา

“จริงด้วย” หลี่เฟิงเองก็คล้ายนึกอะไรบางอย่างออก เขาประสานกำปั้นไปทางหลี่อวี้ถิงอย่างจริงจัง “ขอบคุณพี่ใหญ่อวี้ถิงที่เตือน มิฉะนั้นน้องเล็กอาจทำให้สาวกตระกูลสวี่ต้องขุ่นเคืองแล้ว ได้ยินว่าเพลงกระบี่ทระนงสังหารเดิมเป็นวิชาเฉพาะของตระกูลเย่ แต่ในอดีตสองตระกูลนี้เคยแต่งงานกัน นั่นเลยเป็นเหตุให้มีการแบ่งปันวิชาบางส่วนกัน แต่ข้าได้ยินมาว่าเพลงกระบี่ทระนงสังหารของตระกูลสวี่ดูเหมือนจะยังขาดหายไปสองสามกระบวนท่า”

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ......”

“ฮี่ ฮี่ ฮี่”

ประโยคนี้ ดึงดูดเสียงหัวเราะจากทุกคนในหอจูเซียนทันที

“หลี่เฟิง นี่เจ้าหาที่ตาย!?”

5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด