ตอนที่แล้วตอนที่ 3 ลัทธิเต๋า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 5 นักพรตเต๋าคนนั้น

ตอนที่ 4 เลือดที่ปลายลิ้น



ศพชายคนนี้มันหนักจริงๆ … มันยากมากที่จะแบกอยู่แบบนี้

โอ้ยทำไมมันหนักจังว๊ะเนี่ย

กว่าจะแบกไปถึงโลงศพฉันคงขาดใจพอดี ฉันเหนื่อยมาก

ฉันปาดเหงื่อ แล้วโยนศพลงไปในโลง แล้วก็ยกฝาโลงมาปิด

ในที่สุดมันก็เสร็จแล้ว

ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอกโล่งใจ ฉันหันหลังกลับแล้วจะรีบไปจากที่นี่ แต่…ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ฉันมองย้อนกลับไปที่โลงศพที่ฉันเพิ่งปิดไป ใช่แล้ว. ฉันปิดโลงศพ มันก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่

ฉันมองไปที่โลงศพอีกโลงที่อยู่ข้างๆ หัวใจฉันก็หล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกครั้ง ฉันเห็นฝาโลงเปิดอยู่ เอ๊ะ!! ฝาโลงนี้เปิดหรือปิดอยู่ในตอนแรก ฉันครุ่นคิดแล้วก็สงสัย ฉันเลยเดินชะโง๊กหัวไปดู อ่าว!! ไม่มีศพ โลงศพว่างเปล่า

ศพหายไปไหน!!!!!

ฉันขนลุกซู่ไปทั้งตัว ฉันมองไปรอบๆ มันเงียบมาก เงียบจนไม่ได้ยินเสียงแมลงและนกร้อง ความเงียบราวกับว่าถ้าเข็มเย็บผ้าหล่นลงบนพื้นฉันจะได้เสียงนั้นเลยทีเดียว

โลงศพนี้ต้องว่างเปล่ามาก่อนแน่ๆ  ฉันปลอบใจตัวเองแบบนี้และค่อยๆเดินช้าๆ ไปที่ประตู

หลังจากนั้นฉันก็ไม่รอช้ารีบวิ่งอย่างรวดเร็ว ไม่อยู่แล้วโว้ย

ฉันตะโกนเรียกชื่อ “หวังลุ่ย ซู่หยาง พวกนายอยู่ไหนกัน ฉันอยู่นี่ได้ยินเสียงฉันมั้ย” ฉันวิ่งตามหาพวกเขาอยู่ประมาณ 20 นาที

ในที่สุด ฉันก็ได้ยินเสียงตะโกนของหวังลุ่ยในป่าด้านหน้า

ฉันวิ่งไปเห็นหวังลุ่ยกับเล่าจาง ถือไฟฉายส่องมาที่ฉัน กับเพื่อนๆอีกสี่หาคน

นี่ หลิงเฟิง นายหายไปไหนมา นายรู้ว่าไหมว่านายเกือบจะทำให้เล่าจางเป็นบ้า นายไปอึ แล้วอยู่ๆนายก็หายไป นายเป็นบ้าอะไรเนี้ย ซู่หยางดุฉันทันที่ทีเจอ

ฉันหัวเราะแบบแห้งๆ ถ้าฉันบอกไปว่าฉันไปเจอศพมา

แล้วศพนั้นฟื้นคืนชีพ พวกเขาจะเชื่อฉันมั้ย????

พวกเขาไม่เชื่อฉันแน่ๆ ฉันหัวเราะ แล้วพูดว่า ฉันหลงทาง ฉันหาทางกลับมาหาพวกนายไม่เจอ “ไปๆพวกเรากลับกันก่อนดีกว่า”

"ไปกันเถอะ พวกเรากลับกัน ซู่หยางและคนอื่นๆดูเหมือนจะดุฉันแต่จริงๆแล้วพวกเขาเป็นห่วงฉันมาก

ฉันเดินตามพวกเขากลับไปยังค่าย แต่ฉันก็ยังกังวลอยู่ ฉันรู้สึกอึดอัดยังงัยไม่รู้ ฉันมองกลับไปข้างหลัง มันมืดมาก ฉันมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังติดตามฉันอยู่

หลังจากเดินได้ประมาณครึ่งชั่วโมงพวกเราก็กลับไปถึงค่ายพัก

มีการจัดตั้งเต็นท์ในค่ายมากกว่า 20 หลัง มีกองไฟอยู่ตรงกลางเต็นท์

ผู้หญิงจํานวนมากกําลังปอกเมล็ดแตงโมเพื่อหารือว่าเด็กผู้ชายคนไหนหล่อที่สุด พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์คนนู้คนนี้ ซุบซิบเมาท์มอยเรื่องของดารา

ชายผู้มีความรักก็นั่งข้างแฟนสาว และชายที่โสดก็วิ่งไปหาน้ำหาขนมมาให้สาวๆได้ดื่มกิน

“ฉันกลับมาแล้ว ฉันกลับมาแล้ว!” หวังลุ่ยตะโกนเสียงดัง

ทุกคนมองมาที่ฉันแล้ก็หัวเราะ เพราะคิดว่าฉันหลงทางเพราะไปอึ

ฉันอายมากในตอนนั้น….

ฉันวิ่งไปที่หลังกองไฟซึ่งตรงนั้นไม่มีใคร ฉันอายที่เพื่อนๆเหล่านั้นที่ล้อฉัน หลังจากที่ฉันนั่งลง เล่าจางก็วิ่งมาสอนฉันว่าการไม่เชื่อฟังระเบียบวินัยหรืออะไรทํานองนั้น ผลมันก็จะเป็นแบบนี้

แต่ตอนนี้อารมณ์ของฉันไม่ดีฉันไม่มีความคิดใดๆ เลย

สิ่งที่สําคัญที่สุดคือตอนนี้คือฉันรู้สึกไม่สบายใจเลย ฉันไม่สามารถพูดได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน

ฉันรู้สึกอึดอัดมาก เป็นเพราะบางทีฉันอาจจะเจอเรื่องแปลก ๆ ในวันนี้ หัวใจของฉันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนฉันหยิบหนังสือที่คุณปู่ทิ้งไว้ให้มาอ่านเมื่อฉันเบื่อ

อันที่จริง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ และมีเรื่องแปลก ๆ มากมาย เช่น คนที่ถูกวิญญาณชั่วร้ายเล่นงานและกลายเป็นคนโง่ การกดหน้าผากด้วยเหรียญทองแดง แล้วไล่ภูตผีวิญญานที่ชั่วร้ายนั้นออกไป

นอกจากนี้ยังมีวิธีการดังกล่าวอีกมากมาย หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งคือวิธีการจับผีและขับไล่วิญญาณชั่วร้ายซึ่งไม่ใช่เรื่องยากนัก เพียงแค่ใช้วุตถุหรืออุปกรณ์ที่หาได้ง่าย ๆ ในชีวิต ส่วนที่สองคือ ยันต์ อักขระ และคาถามากมายซึ่งมันดูซับซ้อนเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม หนังสือเล่มนี้ค่อนข้างน่าสนใจจริงๆ ฉันอ่านด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก  ฉันอ่านอย่างรวดเร็วภายในหนึ่งชั่วโมง

ทันใดนั้นก็มีคนเดินมาที่ฉันแล้วเขาก็นั่งลงข้างๆ ฉันหันไปดู

อ้าว หลิวฉีฉี (กลิ่นตัวของเธอหอมมากจริงๆ) “เทอมาทำอะไรตรงนี้”

“แล้วเธอละทำอะไรยุ” หลิวฉีฉีถามกลับ

ฉันมองหน้าหลิวฉีฉี ใบหน้าของเธอสวยมากๆ ผู้ชายหลายคนจีบเธออยู่ แต่เทอก็ไม่สนใจใครเลย แต่ก็ยังมีคนนับไม่ถ้วนที่ยังตามจีบเธออยู่

“เธอไม่อยากสอบผ่านเหรอ ?? ฉันเห็นเทอนั้งอ่านหนังสือเก่าๆเล่มนี้อยู่มันจะมีประโยชน์อะไร” หลิวฉีฉี นั่งข้างๆฉัน และมองไปที่หนังสือในมือของฉันด้วยความสงสัย

“มันเรื่องของฉัน ฉันจะอ่านอะไรหรือจะสอบผ่านไม่ผ่านมันเกี่ยวอะไรกับเธอ” ฉันเหลือบมองเธอ “ฉันขี้เกียจจะคุยกับเธอ”หลิวฉีฉีได้ยินแบบนั้นจึงส่ายหัว แล้วก็เดินจากไป แล้วพูดว่า

“แล้วเธออย่ามาขอความช่วยเหลือจากฉันก็แล้วกัน เชอะ”

เฮอะ เฮอะ ผู้หญิงคนนี้นิ ฉันพึ่งเจอผีมา ฉันไม่อยากคุยกับเธอ.

เวลาก็ล่วงเลยมาถึงยามดึก ทุกคนกลับไปที่เต็นท์และเริ่มที่จะนอนกันแล้ว เด็กเนิร์ดๆ ที่ หน่อมแน้มๆ หลายๆคนก็กลับไปที่เต็นท์นอนแล้ว แต่ยังเหลือผู้ชายอีกสิบกว่าคนที่อยู้เฝ้ายามอยู่ด้านนอก

พวกเราที่เฝ้ายามนั่งยองๆอยู่รอบๆกองไฟบางคนก็สูบบุหรี่

หวังลุ่ยก็วิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้น “มาเร็ว มาเร็ว มาดูของดีกัน

เร็วเข้า เต้นท์ตรงนั้นเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้ากันแล้ว”

ทุกคนมองไปที่เต้นท์ของสาวๆที่กำลังจะเปลี่ยนผ้าอยู่

ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกแปลกๆ อยู่ดีดีๆขนฉันก็ลุกฟู่ไปทั้งตัว

ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรกำลังจ้องมองฉันอยู่ ฉันรู้สึกกังวลใจ

“ไปไป พวกเรากลับเต้นท์ไปพักกันดีกว่า นี่ก็ดึกมากแล้ว”

“นายจะรีบไปไหน หลิวฉีฉียังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลยจะรีบไปไหน

พวกเรารอดูของดีกันก่อน” หวังรุ่ยกล่าว…

“พวกนายนี่มันทะลึ่งจริงๆ” ฉันมองไปที่พวกเขาด้วยความสิ้นหวัง

อยู่ดีๆขาของฉันก็สั่นแปลกๆ ฉันไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันสั่นเพราะอะไร หรืออาจจะเป็นเพราะความกลัวที่ฉันรู้สึกว่ามีอะไรกำลังจ้องมองฉันอยู่

ฉันนั่งลง แล้วเอาหนังสือของปู่มาอ่าน เพื่อจะดูว่ามีวิธีที่จะขจัดความกลัวเหล่านี้ได้บ้างมั้ย  ฉันนั่งคิดอยู่ในใจถ้าศพนั้นตามฉันมาละฉันจะทำยังงัย

ทันใดนั้นฉันเห็นบันทึกที่ว่าเลือดที่ปลายลิ้นของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ในรางกายและมีพลัง

เลือดนี้สามารถ ยับยั้งความชั่วร้ายได้ หากเลือดที่ปลายลิ้นถูกนำไปใส่ในปากของศพที่มีพลังอันชั่วร้ายมันสามารถสะกดวิญญาณอันชั่วร้ายไม่ให้ออกมาทำร้ายผู้คนได้ แต่วิธีการนั้นต้องจูบกับศฟเพื่อให้เลือดอันบริสุทธิ์ไหลเข้าไปในปาก เลือดที่ออกจากลิ้นโดยตรงเท่านั้นที่จะมีพลังสะกดพลังชั่วร้ายได้ ……

โปรดติดตามตอนต่อไป….













0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด