บทที่ 29 ที่ท่าเรือเงียบเกินไป
เมื่อรถบรรทุกค่อยๆ หยุดที่ปลายทาง เรื่องเล่าของหยางเซี่ยวเฉินก็กำลังจะจบลง
แน่นอนว่าหยางเซี่ยวเฉินไม่ได้บอกข้อเท็จจริงทั้งหมดกับหวางไห่
มันเป็นเวอร์ชันดัดแปลงที่ประมวลผลออกมาในมุมมองของของหยางเซี่ยวเฉิน
มันเป็นเรื่องยากที่จะพูดทุกๆอย่างให้เรียบง่ายและลงลึกทุกประเด็น ยกเว้นการอธิบายกับพ่อของเขาเอง
เมื่ออธิบายสถานการณ์ให้ผู้อื่นฟังเขาเลือกเพียงเรื่องบางอย่างที่เปิดเผยข้อมูลได้เท่านั้น
ท้ายที่สุดแล้วจุดประสงค์หลักในการพูดคุยกับคนขับรถเหอหยู เจ้าของคาสิโนหวางลี่ และทหารผ่านศึกหวางไห่ ก็เพื่อเก็บพวกเขาไว้ใช้งาน
ดังนั้นเวอร์ชันของเรื่องราวที่เล่าให้พวกเขาฟังจึงแตกต่างกันเล็กน้อย
แตกต่างจากแนวคิดของหยูเชียนเกี่ยวกับการพิชิตด้วยความรุนแรง แนวคิดของหยางเซี่ยวเฉินคือเหตุผลที่ดีที่สุดที่จะให้ผู้อื่นรับใช้ฉัน
ไม่ใช่บังคับด้วยปากกระบอกปืนแต่เพื่อให้เขารู้สึกว่าจะทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อฉันอย่างจริงใจ แบบนั้นเป็นประโยชน์แก่หยางเซี่ยวเฉินเองมากกว่า
ถ้าทำให้พวกเขาเข้าใจว่าการทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อฉันนั้นดีกว่าทั้งในด้านความปลอดภัยและผลประโยชน์ของพวกเขาล่ะ?
พวกเขาจะหาวิธีทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จได้เองโดยที่ฉันไม่ต้องคอยคุมด้วยซ้ำ
"เป็นยังไงบ้าง" หยางเซี่ยวเฉินถามหวางไห่ ด้วยรอยยิ้ม
หวางไห่สูบบุหรี่และพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ว่า "หนังจากอเมริกานี่ถือว่ามองการไกลนะ"
“คุณยังรู้จักคำสมัยใหม่อย่าง 'เห็นด้วยตาตัวเอง' รึเปล่า?”
หวางไห่กลอกตาและพูดอย่างไม่พอใจ "พูดอย่างกับทหารไม่ใช่คนอย่างนั้นแหละ นายจะไม่อนุญาตให้ฉันเข้าTiebaบ้างเลยรึไง”
“ในแง่ของอายุฉันแก่กว่านายแค่ห้าหกปีเอง ฉันไม่ใด้แก่ขนาดนั้น”
“แล้วคิดว่าไงล่ะ” หยางเซี่ยวเฉินมีความมั่นใจอย่างมากในความสามารถในการเล่าเรื่องของเขา รวมถึงคำแนะนำต่างๆ ทั้งข้อดีและข้อเสียของเรื่องราวต่างๆว่าจะเพียงพอที่จะให้หวางไห่อยู่ต่อ
แต่คำตอบของหวางไห่นั้นกลับไม่เป็นเหมือนที่เขาคิด "ฉันเคยเป็นทหารมาก่อน เป็นทหารกำลังพิเศษของกองกำลังพิทักษ์ประชาชนน่ะ"
ข้อความนั้นชัดเจน กองทัพพิทักษ์ประชาชนควรปกป้องประชาชนในช่วงเวลาวิกฤตหวางไห่ ยังคงตัดสินใจเข้าร่วมกองพลที่ 258 เพื่อเข้าร่วมการต่อสู้อยู่
หยางเซี่ยวเฉินไม่ยอมแพ้ในการโน้มน้าวต่อไป "ไม่ว่าคุณจะเป็นทหารกองกำลังพิเศษหรือราชาทหาร”
“การที่คนคนเดียวจะส่งผลต่อสถานการณ์โดยรวมนั้นก็ยังเป็นเรื่องยาก กองพลที่ 258 ขาดคุณไปก็ไม่ได้ทำให้พ่ายแพ้สักหน่อย แต่ถ้าคุณอยู่ในเกาะสวรรค์คุณจะช่วยคนเยอะขึ้น”
หวางไห่ยังคงส่ายหัวและพูดว่า "ตามที่นายพูดเกาะสวรรค์ปลอดภัยมากในตอนนี้ และจะไม่มีปัญหาสำคัญถ้ายังมีนายและหยูเชียนอยู่ มันแตกต่างกันในเมือง”
“บางทีสิ่งที่คุณพูดเกี่ยวกับกองพล 258 อาจเป็นความจริงว่าต่อให้เพิ่มหรือขาดฉันก็ไม่มีผลอะไรมาก แต่ถ้าทุกคนที่มีความสามารถในการเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ได้ เอาแต่คิดอย่างนี้”
“กองพล 258 จะสู้คนเดียวได้นานแค่ไหนกัน ไม่ว่าคนอื่นจะคิดจะพูดอย่างไร ก็ไม่อาจใช้ข้ออ้างนี้เพื่อหลบหนีได้”
หยางเซี่ยวเฉินรู้สึกทึ่งนี่คือฮีโร่ที่แท้จริง พวกเขามีความคิดและความเชื่อของตัวเองที่จะปกป้องและช่วยเหลือผู้อื่น”
“เปรียบเสมือนหิ่งห้อยที่พยายามเปร่งแสงแข่งขันกับดวงจันทร์ นี้คือความงดงามที่ไม่เห็นแก่ตัวของหวางไห่
อย่างไรก็ตามความเคารพก็ส่วนความเคารพ การส่งหวางไห่เข้าร่วมกองทัพอย่างสุภาพเพื่อต่อสู้กับซอมบี้นั้น เห็นได้ชัดว่าไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา
ดังนั้นหยางเซี่ยวเฉินจึงไม่เห็นด้วยทันที แต่ยังคงโน้มน้าวไปในทิศทางอื่น "คุณพูดถูก ฉันหนุนให้กลับไปกอทัพเพื่อป้องกันบ้านและปกป้องประเทศ แต่ไปช้าลงหน่อยได้ไหม”
“อย่างน้อยคุณมาช่วยช่วยผมฝึกทีมหน้าไม้ที่ดีก่อน มิฉะนั้นผมก็ไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของทุกคนบนเกาะสวรรค์ได้อย่างเต็มที่ อีกอย่างมันเป็นเงื่อนไขการค้าที่เราตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ด้วย”
เมื่อเห็นสีหน้าเด็ดเดี่ยวของหวางไห่ คลายลงเล็กน้อย หยางเซี่ยวเฉินก็คิดว่าเขาควรต้องรีบตีเหล็กขณะที่ยังร้อน
"ไม่อย่างนั้น คุณลองไปดูที่เกาะสวรรค์กับฉันดูก่อน เลือกคนที่จะฝึกสอนวิธีใช้ปืนและหน้าไม้ รอจนถึงตอนที่เกาะสวรรค์มีคนป้องกันเพียงพอ”
“คุณจะกลับไปที่เมืองเพื่อเข้าร่วมกองพลที่ 258 ก็ยังได้ ถึงตอนนั้น ถ้ามีใรคอยากจะติดตามคุณไปที่นั่นด้วย คุณก็สามารถพาพวกเขาไปได้ ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งเลย”
“นอกจากนี้ นอกเหนือจากหนึ่งล้านหยวนที่เจรจากันก่อนหน้า ฉันจะเพิ่มให้อีกหนึ่งล้านหยวน ทั้งหมดเป็นเงินสด”
“แม้ว่าเงินในหยวนเจียงจะไร้ประโยชน์ในตอนนี้ แต่สะกวันหนึ่งโดมก็ต้องหายไปใช่ไหม ถ้าทำได้ดีก็ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่อะไรเมื่อถึงเวลากองทัพใหญ่เข้ามาในเมืองเพื่อล้างซอมบี้เพื่อช่วยเรา”
“เงินสองล้านนี้ก็เพียงพอที่จะให้กลับบ้านไปทำธุรกิจบางอย่างได้สบาย จะไปเปิดร้านขายอุปกรณ์กลางแจ้ง อนาคตอุปกรณ์พวกนี้จะเป็นที่นิยามมาก”
“ตอนนี้คุณก็มีทั้งประสบการณ์และความแข็งแกร่ง คุณยังจะต้องกลัวว่าจะไม่มีชีวิตที่ดีในอนาคตอีกเหรอ”
เรื่องโดมจะหายไปเตอนไหน เงินจะยังมีประโยชน์อยู่ไหม พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ แต่ที่หยางเซี่ยวเฉินรู้คือเขาต้องให้หวางไห่มีเหตุผลมากขึ้นในการกล่อมให้เขาอยู่ต่อ
คำพูดนี้กระทบจิตใจของหวางไห่และกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้หลังอูฐหักได้
"ตกลง" ในที่สุดหวางไห่ก็พยักหน้าเห็นด้วย
ในที่สุดก็ตกลงหยางเซี่ยวเฉินก็ถอนหายใจออกด้วยความโล่งอกและยิ้มออกมาได้
"ขอบคุณครับ ลงจากรถและเตรียมขึ้นเรือข้ามฟากไปยังเกาะสวรรค์กันเถอะ"
ก่อนลงจากรถหวางไห่ ถามอีกครั้งว่า "ถ้ามีคนเต็มใจมากับฉัน นายสัญญาจริงๆใช่ไหมว่าจะไม่หยุดฉัน"
"คำพูดที่พูดออกมาแล้วเป็นม้าที่วิ่งตามไม่ทัน" หยางเซี่ยวเฉินเน้นย้ำ แต่เขามีความคิดอื่นในใจบางอย่าง
โดยคิดว่าเมื่อเกาะสวรรค์มีเวลามากพอที่จะส่งอิทธิพลต่อความคิดของผู้คนได้ ไม่เพียงแต่จะไม่มีใครไปกับหวางไห่เท่านั้น แม้แต่หวางไห่ก็ยากที่จะจากไป
หยูเชียนและคนอื่น ๆ ที่ลงจากรถแล้วกำลังสำรวจบริเวณโดยรอบๆ หยางเซี่ยวเฉินและหวางไห่ก็มองไปที่ท่าเรือเฟอร์รี่เช่นเดียวกัน
เรือข้ามฟากสองสามลำจอดอยู่ที่อีกด้านของท่าเรือ มีรถยนต์หลายสิบคัน จอดเป็นระเบียบบนชายฝั่ง
มีบางคันที่หน้าต่างแตกและตัวถังเสียหาย มีรถเข็นขายอาหารล้มลงกับพื้นใกล้ๆกัน ถังบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ถุงใส่ตีนไก่ พริกป่น และน้ำแร่แตกกระจายไปทั่วบริเวณ
มีบางอย่างเกิดขึ้นที่นี้ก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครอยู่เลยสักคน บรรยากาศเงียบงันจนน่าขนลุก มีเพียงเสียงลมพัดแผ่วเบาเท่านั้น
"ปลอดภัยแล้วนะ" หยางหยานพยักหน้าเพื่อปลอบโยนให้กับหมอเหลียงและครอบครัวของเขา
"ไม่!!" หยางเซี่ยวเฉินเป็นคนแรกที่คัดค้านข้อสรุปของพ่อเขา จากนั้นหยูเชียนและหวางไห่ก็พูดตาม "มีบางอย่างเป็นปัญหา"
“มันไม่ถูกต้อง แต่ฉันบอกไม่ได้ว่ามีอะไรผิดปกติ” เจ้าของคาสิโนหวางลี่ตอบสนองไม่ช้า
หยางเซี่ยวเฉินชี้ไปที่รถที่จอดอยู่ จากนั้นชี้ไปที่อาหารที่กระจายอยู่บนพื้นและพูดว่า "เราไม่ใช่คนเดียวที่คิดจะลี้ภัยบนเกาะ”
“มันถึงอธิบายได้ว่าทำไมถึงมีรถอยู่ตรงนั้น แต่ทำไมเรือยังอยู่ที่ท่า บางทีอาจจะมีคำอธิบายเกี่ยวกับมันที่ใช้ได้ แต่ทำไมถึงไม่มีใครเอาอาหารและน้ำดื่มที่นี่ไปด้วยเลย”
“บางทีพวกเขาอาจตื่นตระหนกจนอยากจะวิ่งหนีให้เร็วที่สุด พวกเขาอาจจะจำสิ่งที่นำมาอย่างน้ำดื่มและอาหารไม่ได้ แต่คนที่สามารถหนีมาที่ชายฝั่งในเวลาอันสั้นนี้นั้นไม่โง่อย่างแน่นอน”
“เป็นไปได้ไหมที่ฉันไม่สนใจสัมภาระและเอาแต่อพยพ อีกอย่างที่เบาะหลังรถคันนั้นก็เต็มไปด้วยห่อสัมภาระอีกด้วย มีแต่จุดหน้าสงสัยทั้งนั้น”
หลังจากพูดจบหยางเซี่ยวเฉินก็หันความสนใจไปที่หยูเชียนเพื่อยืนยันสิ่งที่คิด
หยูเชียนส่ายหัวและพูดว่า "ฉันไม่ได้คิดอะไรมาก แค่ที่นี่เงียบเกินไป"
ใช่ มันเงียบเกินไปแม้ว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ภายใต้แรงกดดันจากการขาดอาหารในวันแรกของภัยพิบัติดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะอยู่ในบ้าน
แต่ตอนนี้มันกลับไม่มีเสียงอะไรเลยในท่าเรือแห่งนี้
"ทุกคนขึ้นไปที่รถ" ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็ต้องเกิดจากปีศาจแน่ๆ
เพื่อความปลอดภัยหยางเซี่ยวเฉิน เลือกที่จะกลับไปที่รถอย่างระมัดระวัง แต่ทันทีที่เขาพูดคำนั้น เขามองไปยังรถที่ว่างเปล่าหลายสิบคันและรีบเปลี่ยนคำพูดทันที
"ไม่ อย่าเข้าไปในรถ"
ทุกคนหยุดนิ่งโดยไม่รู้ว่าทำไม