ตอนที่แล้วตอนที่ 1095 คุณอู๋ ผมขอถามหน่อยได้ไหมว่า ..ทําไม?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 1097 คุณเพียงแค่รอดูละครดีๆ ก็พอ แล้วผมจะช่วยคุณขจัดอุปสรรคทั้งหมดให้เอง

ตอนที่ 1096 หา เฉิน ซื่อหง คนนี้ให้ฉัน!


เมืองหางโจว, อาคารวั่นกู่

ในวันนี้ เว่ย เจี้ยนเซิง ได้รีบเดินเข้าไปในห้องทํางานของ เว่ย เทียนเฉิง อย่างรีบร้อน

“คุณพ่อครับ กลุ่ม หยงจิ่ว ได้เพิ่งออกประกาศข่าว พวกเขาได้ตัดสินใจเชิญสถาปนิก เฉิน ซื่อหง มาออกแบบอาคารสํานักงานใหญ่ ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้วางแผนที่จะเชิญ อู๋ อีลี่ เลย!”

เว่ย เจี้ยนเซิง ได้พูดออกมาพร้อมกับทําสีหน้าราวกับว่าพวกเขาได้ถูกคนอื่นหลอกเข้าให้แล้ว

เว่ย เทียนเฉิง กล่าวว่า : “มันอะไรกัน.. แล้ว เฉิน ซื่อหง คนนี้คือใคร?”

เว่ย เจี้ยนเซิง กล่าวว่า : “คนๆ นี้ เป็นที่รู้จักในฐานะสถาปนิกสิบอันดับแรกของโลก มีชื่อเสียงมากกว่า อู๋ อีลี่ มาก ตอนที่เราพบกับ อู๋ อีลี่ หลินฟาน ก็ได้กำลังเจรจาความร่วมมือกับ เฉิน ซื่อหง ..คนนี้แล้ว ส่วนข่าวที่คุณป้าให้เรามาในครั้งนี้ ผมกลับคิดว่ามันไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด!”

เว่ย เทียนเฉิง ได้ขมวดคิ้ว และพูดว่า : “นี่มันห่าอะไรกัน! การจัดการของเราในครั้งนี้ มันสูญเปล่า! และการที่เราเอา อู๋ อีลี่ มา มันก็ไม่ได้ทําให้ หลินฟาน ตัวน้อยนี่ เป็นทุกข์!”

เว่ย เจี้ยนเซิง กล่าวว่า : “คุณพ่อ ..เรื่องนี้ ผมนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง ดังนั้นผมเลยได้มาหาคุณพ่อทันที”

เว่ย เทียนเฉิง พูดว่า : “ความเป็นไปได้อะไร?”

เว่ย เจี้ยนเซิง กล่าวว่า : “เป็นไปได้ไหมว่า หลินฟาน ได้รู้ถึงตัวตนของ คุณป้า แล้ว เลยได้จงใจให้ คุณป้า มาบอกข่าวเท็จกับเรา หรือแม้กระทั่ง คุณป้า เองก็อาจจะทรยศเรา และได้ร่วมมือกับ หลินฟาน เพื่อให้มาหลอกเราในเรื่องนี้?”

เว่ย เทียนเฉิง ได้พูดทันทีว่า : “เป็นไปไม่ได้ แกมันคิดมากเกินไปแล้ว ฉันรู้จักป้าของแกดี เธอไม่สามารถทําเรื่องแบบนี้ได้ สําหรับความคิดแรกของแก ที่ว่า.. หลินฟาน ได้จงใจให้เธอบอกข่าวเท็จ ซึ่งมันก็ไม่สมเหตุสมผล นั่นก็เพราะ หลินฟาน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ล่วงหน้าว่าฉันได้คิดที่จะตัดหน้า อู๋ อีลี่ ทั้งเขาเองก็ไม่ได้มีแรงจูงใจในการทําเรื่องนี้..”

เว่ย เจี้ยนเซิง ได้ครุ่นคิด แล้วพูดว่า : “สิ่งที่ คุณพ่อ ..พูด ก็คือเราได้เข้าใจผิด ดังนั้นเรื่องนี้ ก็คือเราได้เข้าใจผิดไปเอง… และได้ทำผิดพลาดในเรื่องนี้ลงไป…”

เว่ย เทียนเฉิง กล่าวว่า : “เยว่เอ๋อร์ ได้พูดกับฉันมาแล้วว่า อู๋ อีลี่ คนนี้เป็น ซ่ง หรงเหมา ที่ได้แนะนําให้กับ หลินฟาน รู้จัก ฉันกลับคิดว่า หลินฟาน ก็เพียงแค่ไว้หน้า ซ่ง หรงเหมา เลยได้คิดจะร่วมมือกับ อู๋ อีลี่ .. แต่ใครมันจะไปรู้ว่า หลินฟาน ตัวน้อยนี่ มันจะมีตัวเลือกที่เป็นเป้าหมายหลักๆ เอาไว้แล้ว! ทั้งเกรงว่ามันจะเป็นกังวลมากว่าจะกําจัด อู๋ อีลี่ คนนี้ได้อย่างไร.. แต่อย่างไรเสีย เขาเองก็ยังต้องให้คําอธิบายในเรื่องนี้กับ ซ่ง หรงเหมา แต่พอผลสุดท้าย…”

เว่ย เจี้ยนเซิง ได้กล่าวขึ้นว่า : “ผลสุดท้าย เขาก็ไม่ต้องเป็นกังวลใดๆ แล้ว นั่นก็เพราะเราได้เป็นคนคว้าคนมาแทน พอพูดแบบนี้ ..เราไม่เพียงแต่ไม่ทําให้เขาสะดุดเท่านั้น แต่เรายังกลับไปช่วยเขา เป็นอย่างมากด้วย!”

นี่มันเหมือนกับโจรคนหนึ่ง ที่กำลังจะไปขโมยเงิน แต่ปรากฏว่าเงินไม่สามารถขโมยได้สําเร็จ แต่กลับต้องสูญเสียเงิน ..ไปอีกก้อนหนึ่ง

และนี่มันก็ไม่ต่างกับ การขโมยไก่ไม่ได้ แต่กลับยังต้องเสียข้าวสารไปอีกกำมือ(1)

สองพ่อลูก เมื่อได้คิดถึงเรื่องนี้ ก็ต่างพากันโกรธจนขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน

“พ่อลูก อย่างเรา.. หรือว่าพวกเรา จะยอมกลายเป็นคนโง่เขลาแบบนี้ จริงๆ นะเหรอ!” เว่ย เจี้ยนเซิง ได้กล่าวอย่างไม่พอใจออกมา แม่มันเถอะ! เดิมที พวกเขาต้องการจะทำให้ หลินฟาน ต้องทนทุกข์ทรมาน และกลายเป็นคนโง่ ที่ไม่สามารถพูดอะไรได้ แต่แล้วพวกเขา.. กลับเป็นมันไปเสียเอง

เว่ย เทียนเฉิง เองก็ไม่พอใจ และเขาก็ได้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า : “หา เฉิน ซื่อหง คนนี้ให้ฉัน!”

เว่ย เจี้ยนเซิง กล่าวว่า : “นี่ คุณพ่อ กำลังหมายถึง?”

เว่ย เทียนเฉิง ได้ยิ้มอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า : “หลินฟาน ตัวน้อย.. แกต้องการร่วมมือกับ เฉิน ซื่อหง คนนี้ไม่ใช่หรือ? งั้นเราก็แค่ตัดหน้ามันอีกครั้ง สถาปนิกหนึ่งในสิบอันดับแรกของโลก.. ไม่เลวเลย และมันก็ต้องดีกว่า อู๋ อีลี่!”

เว่ย เจี้ยนเซิง กล่าวว่า : “แล้ว อู๋ อีลี่ ล่ะ?”

เว่ย เทียนเฉิง กล่าวว่า : “เธอไม่มีประโยชน์อะไรกับพวกเราแล้ว ช่างมันไปเถอะ!”

สำนักงานใหญ่ของ หยงจิ่ว กรุ๊ป

หลินฟาน ได้ออกมาส่ง เฉิน ซื่อหง ที่หน้าประตูของบริษัท ด้วยตัวเขาเอง..

“คุณเฉิน ขอบคุณที่มาในวันนี้ครับ และผมจะตั้งตารอวันที่คุณได้เข้าร่วมกับ หยงจิ่ว กรุ๊ป อย่างเป็นทางการอีกครั้ง ส่วนหลังจากนี้ ทางเราจะรีบร่างสัญญาให้แล้วเสร็จ แล้วจะค่อยนัดติดต่อ คุณเฉิน ให้มาพูดคุยกันถึงรายละเอียดความร่วมมืออีกครั้งหนึ่ง” หลินฟาน ได้พูดออกไปด้วยรอยยิ้ม

เฉิน ซื่อหง ได้ยิ้ม แล้วพูดว่า : “โอเค ฉันจะรอข่าวดีจาก คุณหลิน”

เฉิน ซื่อหง พร้อมกับลูกน้องทั้งสองคนก็ได้ขึ้นรถ และจากไปทันที

หลังจาก หลินฟาน ได้พบกับ อู๋ อีลี่ เขาก็ได้โทรไปหา เฉิน ซื่อหง ทันทีเป็นการส่วนตัว และนัดให้ เฉิน ซื่อหง มาพูดสนทนากันต่อ

หลินฟาน ได้อ้างว่าหลังจากพูดคุยกับ เฉิน ซื่อหง ในตอนเช้า หลินฟาน ก็ได้เปิดการประชุมคณะกรรมการเพื่อหารือเกี่ยวกับการว่าจ้างสถาปนิก ทั้งนี้คณะกรรมการต่างเห็นพ้องกันว่า เฉิน ซื่อหง เป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด

ด้วยเหตุนี้ หลินฟาน จึงตัดสินใจได้ 2 ข้อ โดยข้อแรก เขาได้เลือกเคารพในการออกแบบของ เฉิน ซื่อหง และให้อิสระในการสร้างสรรค์อย่างเต็มที่, ข้อที่สอง เขาได้รับปากตอบตกลงในราคาที่ เฉิน ซื่อหง ได้เสนอ นั่นก็คือค่าออกแบบที่สูงถึง 100 ล้าน..

เฉิน ซื่อหง พอใจมาก และทั้งสองฝ่ายก็ได้บรรลุข้อตกลงในความร่วมมือเบื้องต้น

หลินฟาน ได้สุ่มเปิดเผยข่าวนี้ต่อสาธารณะ และเขาก็แทบรอไม่ไหวที่จะให้โลกภายนอกรู้ว่า หยงจิ่ว กรุ๊ป ได้จ้างสถาปนิกที่ทรงพลัง ที่เก่งกาจเป็นอย่างมาก ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการไว้หน้า เฉิน ซื่อหง พอสมควร

เฉิน ซื่อหง ตอนนี้ ก็ได้รู้สึกตัวลอย แทบจะกระพือปีกเล็กน้อยอยู่แล้ว

กลับไปที่รถ

เฉิน ซื่อหง ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างภูมิใจมาก

ผู้ชายทั้งสองคนนั้นเองก็ได้รู้สึกดีใจมาก และมีความสุขมากที่ในครั้งนี้ เจ้านายของพวกเขาได้เจรจาธุรกิจใหญ่ได้สำเร็จ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ

“บอสก็สมกับเป็นบอส ของพวกเราจริงๆ เช่นนี้ต้องคุกเข่าให้กับบอสแล้ว!”

“นี่แกกำลังพูดบ้าอะไร? ในเรื่องนี้ฉันกลับรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องปกติ! เพราะด้วยความแข็งแกร่งของบอสแล้ว ฉันขอถามหน่อยเถอะว่า นอกจากบอสของพวกเรา พวกเขาจะไปหาใครที่ดีกว่า ได้อีก!?”

ลูกน้องทั้งสองต่างก็แย่งกันประจบสอพลอ..

เฉิน ซื่อหง ได้พูดกล่าวอย่างภาคภูมิใจไปว่า : “คําพูดนี้ไม่เลว.. มีเหตุผลมาก! ฉันเคยพูดไปก่อนหน้านี้แล้วว่า หลินฟาน จะต้องมาขอให้ฉันช่วยออกแบบให้กับเขา ไม่ใช่เขามาสัมภาษณ์ฉัน แต่กลับเป็นฉันที่ต้องสัมภาษณ์เขา!”

ลูกน้องทั้งสองคน ก็ได้รีบเข้าประจบสอพลออีกครั้ง

กริ่ง กริ้งๆ กริ๊งๆ...

ในเวลานี้ก็ได้มีสายแปลกๆ โทรเข้ามา

เฉิน ซื่อหง ก็ได้รีบให้ลูกน้องทั้งสองคนของเขาหุบปาก และเขาก็ได้กดรับโทรศัพท์ในทันที

“สวัสดี ขอถามหน่อยว่า ..นี่ใช่ คุณเฉิน ซื่อหง ใช่ไหม?” อีกฝ่าย ได้ถาม

เฉิน ซื่อหง พูดว่า : “เป็นฉัน แล้วคุณ ..คือใคร?”

อีกฝ่ายก็ได้พูดว่า : “สวัสดี คุณเฉิน ผมชื่อ เว่ย เจี้ยนเซิง มาจาก กลุ่ม วั่นกู่ ในเจียงหนาน และในช่วงนี้เองเรามีโครงการหนึ่ง ที่อยากจะเชิญ คุณเฉิน ให้ได้มาพูดคุยกันกับเราในเรื่องนี้ ไม่ทราบว่า คุณเฉิน พอสะดวกที่จะมาที่หางโจว ไหมครับ?”

ครอบครัวเว่ย ในเจียงหนาน!

เฉิน ซื่อหง กล่าวว่า : “โครงการอะไร?”

เว่ย เจี้ยนเซิง กล่าวว่า : “วั่นกู่ กรุ๊ป ของเรา ต้องการที่จะสร้างอาคารสำนักงานสาขาในเมืองหยุนเฉิง และต้องการขอให้ คุณเฉิน มาเป็นสถาปนิกของเรา”

เฉิน ซื่อหง ก็ได้ยิ้มพร้อมกับหัวเราะ แล้วเขาก็ได้พูดไปว่า : “นั่นมันก็ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ แต่ฉันเองก็ได้ไปพูดคุยกับ หยงจิ่ว กรุ๊ป เกี่ยวกับเรื่องความร่วมมือแล้ว”

เว่ย เจี้ยนเซิง ได้กล่าวว่า : “ไม่เป็นไร คุณเฉิน สามารถมาดูก่อนได้ และผมให้สัญญาเลยว่า คุณเฉิน จะไม่เสียเวลาในการเดินทางมา ..อย่างแน่นอน”

เฉิน ซื่อหง กล่าวว่า : “ฉันจะเก็บไปพิจารณาดูแล้วกัน”

พอพูดจบ เฉิน ซื่อหง ก็ได้วางสายไป พร้อมกับแสดงสีหน้าภาคภูมิใจออกมา

ลูกน้องทั้งสองคนของเขา ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ที่โทรเข้ามา จึงไม่กล้าถามอะไรออกไป

แต่ทาง เฉิน ซื่อหง ก็ได้หัวเราะออกมาทันที แล้วพูดว่า : “พวกแกรู้ไหมว่า ..เมื่อกี้ฉันได้รับโทรศัพท์จากใคร กลุ่ม วั่นกู่ ในเจียงหนาน ..พวกเขาได้ต้องการที่จะเชิญฉันไปเป็นสถาปนิก ฮึ่ม! คนที่ร่ำรวยที่สุดในเจียงหนาน คนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหยุนเฉิง ต่างก็กำลังแย่งชิงฉัน และพวกเขา ..ต่างก็มาร้องขอให้ฉันช่วยพวกเขา!”

ลูกน้องทั้งสองคนก็ได้ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วพากันหัวเราะเสียงดังออกมาพร้อมๆ กัน

“บอสของเราช่างเป็นอัจฉริยะจริงๆ แล้วดูสิ บอสของเราตอนนี้ ยังเป็นที่ต้องการตัวอย่างมาก ฮ่าๆ!”

“ไม่ มันไม่ใช่ ..ในโลกนี้ มันคงมีเพียงบอสของเราเท่านั้น ที่สามารถทําให้สองคนที่ร่ำรวยที่สุดมาต่อสู้กันได้ แต่เราเองก็ได้ตอบตกลงในความร่วมมือกับ หยงจิ่ว กรุ๊ป ไปแล้ว แล้วเช่นนี้ เรายังจะต้องไปคุยกับ วั่นกู่ กรุ๊ป อีกไหม?”

เฉิน ซื่อหง กล่าวว่า : “หากให้ฉันพูดในเรื่องนี้ พวกแกก็คงไม่เข้าใจอะไร ถูกไหม? แต่ถ้าหากฉันถามพวกแกว่า.. พวกแกได้เข้าใจหลักการของการประมูลไหม? ฮ่าๆ.. นั่นก็คือผู้ที่ให้ราคาสูงที่สุดก็จะเป็นผู้ชนะ ตอนนี้เราเองก็แค่ปล่อยให้พวกเขาได้ต่อสู้กัน ..ส่วนคนที่จะได้กําไร ก็คือพวกเรายังไง!”

ลูกน้องสองคนก็ได้เข้าใจในทันควัน จากนั้นพวกเขาก็ได้พากันประจบสอพลออีกครั้ง บอสพูดถูกมาก บอสของเราฉลาดมากๆ!

เฉิน ซื่อหง ได้พูดอย่างภูมิใจไปว่า : “ไป.. ไปหางโจว!”

สำนักงานใหญ่ของ หยงจิ่ว กรุ๊ป

หลินฟาน ได้นั่งอยู่ในห้องทํางานของเขา เมื่อนั้นก็ได้มีโทรศัพท์สายหนึ่งโทรเข้ามา และเป็น หลี่ เจิน ที่โทรเข้ามา..

“พี่ฟาน คุณได้ขอให้ผมติดตามที่อยู่ของ เฉิน ซื่อหง คนของเราเองก็เพิ่งรายงานมาว่า ..พวกเขา ได้ไปที่หางโจว แล้ว” หลี่ เจิน ได้กล่าว

หลินฟาน ยิ้ม : “โอเค ผมรู้แล้ว”

หลังจากวางสายไปแล้ว หลินฟาน ก็ได้ยกยิ้มอย่างเย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย

หลินฟาน ได้รู้จาก อู๋ อีลี่ ว่า อู๋ อีลี่ ได้ไปที่ วั่นกู่ กรุ๊ป ก่อนที่จะมาหาเขา ..และได้ถูกบังคับให้เห็นด้วยกับ เว่ย เทียนเฉิง เพื่อช่วย วั่นกู่ กรุ๊ป ..ออกแบบอาคารสำนักงานสาขาในหยุนเฉิง

และมันก็บังเอิญที่เป็นวันเดียวกัน หลินฟาน ก็รู้ได้ทันทีว่า เว่ย เทียนเฉิง คิดอยากที่จะตัดหน้าเขา!

เว่ย เทียนเฉิง คนนี้ แก่แล้วไม่ตายก็เป็นโจรจริงๆ(2)

ในเมื่อ เว่ย เทียนเฉิง ชอบที่จะตัดหน้าเขามาก.. หลินฟาน จึงได้คิดให้เขาตัดหน้าอีกครั้ง ดังนั้น หลินฟาน จึงได้จงใจที่จะประกาศออกไปต่อสาธารณชนว่าเขาจะร่วมมือกับ เฉิน ซื่อหง เขาเองก็อยากที่จะดูว่า ตระกูลเว่ย ยังคิดต้องการที่จะตัดหน้าเขาอีก ..หรือไม่

ตอนนี้ พอได้ทราบว่า เฉิน ซื่อหง ได้ไปที่เมืองหางโจว และนั่นมันก็แสดงว่า ตระกูลเว่ย ได้ติดเบ็ดแล้ว..

(1)[ขโมยไก่ไม่ได้ แต่ยังต้องเสียข้าวสารไปอีกกำมือ (偷鸡不成反蚀一把米)] - เปรียบเปรยถึงการอยากเอาเปรียบแต่กลับต้องเดือดร้อนเสียเอง

(2)[แก่แล้วไม่ตายก็เป็นโจร (老而不死是为贼)] - เป็นการติเตียนคนแก่ที่ไร้ศีลธรรม อย่างคำกล่าวว่า “ถ้าคุณยังหนุ่ม แต่ไม่มีหลาน โตขึ้นมาแล้ว แต่ไม่มีอะไรจะพูด และถ้าคุณแก่ แต่ยังไม่ตาย คุณก็เป็นขโมย” หรือก็คือ เมื่อโตแล้ว กลับไม่มีบุญ ไม่มีคุณธรรม ไม่เรียนรู้ และไม่ได้ทำประโยชน์ให้กับบ้านเมือง หรือครอบครัวเลย แก่แล้วกลับยังมีชีวิตอยู่ในโลก แก่แล้วไม่ตาย ก็ถือได้ว่าเป็นหายนะ แล้วที่ว่าทำไมถึงเป็น ‘ขโมย’ ในสมัยโบราณ ผลผลิตมีน้อย ผู้คนต้องพึ่งลูกหลานเลี้ยงดูยามแก่เฒ่า ในช่วงปลายราชวงศ์ชิง มีนักวิชาการคนหนึ่งซึ่งได้บังคับให้ชายชราในครอบครัวแขวนคอตาย เพราะขาดความกตัญญู เป็นเหตุให้เกิดความโกลาหลไปทั่วมณฑล ดังนั้นนักวิชาการคนนี้จึงได้ลาออกจากราชสำนัก ผู้พิพากษามณฑล เองก็ได้ไล่ให้เขาออก เมื่อนั้นครอบครัวของเขาเองก็ได้พังพินาศ ขงจื๊อ ก็ได้กล่าวว่า ..คุณเห็นว่า “กตัญญู” มันสำคัญแค่ไหน .. ดังนั้น “แก่แต่ไม่ตาย” ก็ถือได้ว่าเป็นการฉุดคร่าลูกหลาน จึงได้ถูกกล่าวว่า “เป็นโจร”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด