ตอนที่แล้วบทที่ 59 - สถาบันอัศวิน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 61 - ตงรื่อผู้กำพร้า

บทที่ 60 – การฝึกฝนร่างกาย


“มา! ค่อยคุยกันระหว่างกินข้าว” พวกเราเข้าไปถึงห้องอาหารของผู้อำนวยการ ตอนแรกผมรู้สึกเกร็ง เลยค่อย ๆ กินทีละนิด แต่พอผมเห็นว่าวิธีที่อาจารย์เหวินกินข้าวแล้ว ผมเริ่มรู้สึกว่าท่าทางการกินของผมมันดูดีเกินไป!

ขาข้างหนึ่งของอาจารย์เหวินวางอยู่บนเก้าอี้ จ้วงอาหารเข้าปากอย่างบ้าคลั่ง เศษอาหารกระเด็นไปทั่วโต๊ะ ตงรื่อยิ้มให้ผมแต่ไม่ได้พูดอะไร ได้ยินเสียงอาจารย์เหวินดังขึ้น “จางกง! ทำไมไม่กิน เร็ว! กินเยอะ ๆ”

หลังจากได้ยินคำกระตุ้นของอาจารย์เหวิน ผมก็ไม่เกรงใจแล้ว! ผมเริ่มกวาดอาหารเข้าปากเหมือนพายุ ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ ผมเพิ่งได้กินแค่อาหารแห้งไปนิดหน่อย ผมทนหิวเหมือนว่าจะตายมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้! กลายเป็นพวกเขาที่นั่งมองเหมือนคนโง่! แค่ในระยะเวลาสั้น ๆ ที่อาจารย์เหวินไม่ได้มอง ผมจัดการอาหารบนโต๊ะไปมากกว่าครึ่ง

“หวา!! เจ้าหนู นี่เจ้าเหล่าหลุนนั่นปล่อยให้เธออดอยากมากขนาดนั้นเลยเหรอ ที่มาที่นี่เพื่อมาหาอะไรกินชดเชยใช่มั้ย?” อาจารย์เหวินล้อผม

ถ้าผมเริ่มกินแล้ว ไม่มีทางเลยที่ผมจะหยุดได้ จะให้ผมกลับมาทำตัวสุภาพ ฝันไปเถอะ! รอให้ผมอิ่มเต็มที่ก่อน ค่อยมาคิดอีกที ด้วยอาหารที่ยังเต็มปาก ผมตอบด้วยเสียงอู้อี้ “อาจารย์เหวิน ถ้าอาจารย์ไม่รีบกิน เดี๋ยวจะหิวทีหลังนะครับ”

“อา!! ตงรื่อ รีบกิน เขากินเร็วมาก! พวกเราจะไม่เหลืออะไรกินแล้ว”

แล้วพวกเราจะคุยกันระหว่างกินข้าวได้ยังไง? ด้วยสภาพแบบนี้ มันเหมือนกับการแข่งขันมากกว่า ตอนที่อาหารหมดโต๊ะแล้ว ผมสังเกตว่ามีผมเพียงคนเดียวที่กินจนอิ่ม (ผมชนะ ฮ่าฮ่า) จนอาจารย์เหวินต้องเอ่ยปาก “ต่อไปต้องให้ทำกับข้าวเพิ่มแล้ว เหล่าตี้ส่งอะไรมากันแน่ นี่มันถังใส่ข้าวชัด ๆ”

หลังจากกลับมาที่กระท่อมไม้แล้ว อาจารย์เหวินกล่าวว่า “จางกง ต่อไปเธอก็อาศัยอยู่กับตงรื่อก็แล้วกัน ทางด้านซ้ายนั่นมีบ้านอยู่! เหล่าตี้ให้เวลาฉันฝึกเธอครึ่งปี มาดูกันว่าเธอจะทนไหวมั้ย?” จากสายตาเจ้าเล่ห์ที่ส่งมา ผมคิดว่าชีวิตผมช่วงต่อจากนี้ไป คงไม่ง่ายแน่ ๆ แต่ผมต้องไม่ทำให้อาจารย์ตี้เสียหน้า ผมตอบออกไปอย่างแน่วแน่ “ไม่มีปัญหาครับ ผมทนได้อย่างแน่นอน” ด้วยความเชื่อมั่นลึก ๆ ในใจ ผมวางรากฐานตัวเองมากับพี่ใหญ่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการฝึกแบบไหน ผมว่าผมรับมือได้แน่

พวกเราคุยเรื่องสัพเพเหระกันอยู่สักพัก จากบทสนทนา ผมได้รู้ว่าอาจารย์เหวินเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ ส่วนตงรื่อเป็นอัศวินพิภพ ภายใต้ผมสีบลอนด์ของเขา จะมีหูที่แหลมซ่อนอยู่ มันเป็นเอกลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์ลูกครึ่งเอลฟ์ของเขา (ลูกครึ่งเอลฟ์ นั้นหาได้ยากมาก เป็นลูกที่เกิดขึ้นจากการแต่งงานของมนุษย์กับเอลฟ์ พวกเขาจะมีสติปัญญาของมนุษย์ และพรสวรรค์ของเผ่าเอลฟ์ ถ้ายกตงรื่อขึ้นเป็นตัวอย่าง เขามีโครงสร้างของรูปร่างอย่างมนุษย์ แต่มีใบหน้าคล้ายเอลฟ์ เผ่าเอลฟ์เป็นเผ่าที่มีความงดงามมาก ตรงจุดนี้ผมยอมรับว่าด้อยกว่าตงรื่อ เขาหน้าตาดีจริง ๆ ผมไม่แน่ใจเรื่องพรสวรรค์ แต่ผมคิดว่าคงจะไม่ด้อยกว่าผมมากแน่นอน แค่เขาไม่โชคดีเหมือนผมแค่นั้น ฮ่าฮ่า!) อาจารย์เหวินบอกว่า ทักษะการยิงธนูของตงรื่อ เป็นทักษะที่สืบต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ มันแข็งแกร่งและทรงพลังอย่างมาก เขาถึงกับยอมรับว่าถ้าเป็นเรื่องการยิงธนู เขาสู้ลูกศิษย์ของตัวเองไม่ได้

ผมพูดออกไปอย่างไม่ได้ตั้งใจเท่าไรนัก “ทักษะการยิงธนูของตงรื่อยอดเยี่ยมขนาดนั้น ถ้าเขาเรียนเวทย์มนต์ที่สร้างลูกธนูเวทย์ได้ มันน่าจะยิ่งทรงพลังขึ้นไปอีก”

ทั้งคู่เงียบไป แล้วหันมามองผมแบบแปลก ๆ ยิ่งสายตาของตงรื่อนั้น มันแสดงออกถึงความต้องการเป็นอย่างมาก จนผมต้องถาม “อะไร? ผมพูดอะไรผิดไปหรือ?”

เป็นครั้งแรกที่อาจารย์เหวินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขนาดนี้ “ไม่หรอก! สิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นเรื่องจริง ไม่มีอะไรจะจริงไปกว่านั้นอีกแล้ว ถ้าเธอไม่ได้มาที่นี่ ฉันคงส่งตงรื่อไปหาเหล่าตี้เพื่อให้เรียนเวทย์มนต์แล้ว แต่เมื่อเธอมาแล้ว พวกเธอ 2 คนก็แลกเปลี่ยนความรู้กันได้เลย เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ฉันจะช่วยสอนวิชายุทธ์บางอย่างให้เธอด้วย”

ผมพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวลมากหรอกครับ ผมกับตงรื่อย่อมไม่ทำให้อาจารย์ กับอาจารย์ตี้ผิดหวังแน่”

ในวันถัดมา ผมเริ่มฝึกฝนร่างกายไปพร้อมกับตงรื่อ ความเข้มงวดของอาจารย์เหวินนั้นสูงมาก สูงเสียยิ่งกว่าพี่ใหญ่จ้านหู่เสียอีก การฝึกก็เข้มข้นมาก ถ้าผมไม่ได้มีพื้นฐานการฝึกร่างกายมาก่อน ผมน่าจะล้มลงตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของการฝึกแล้ว อาจารย์เหวินถึงกับแปลกใจ ออกปากว่าร่างกายของผมไม่เหมือนกับร่างกายของนักเวทย์ปกติ เขาจะรู้ได้ยังไงว่า ผมได้เริ่มการฝึกฝนมาก่อนแล้วถึง 2 เดือน

ผมมีเวลาพักในตอนบ่าย ตอนแรกอาจารย์เหวินจะเริ่มสอนจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ให้ผม แต่ผมบอกว่าผมได้เรียนรู้มันมาจากเพื่อนของผมแล้ว เขาขอให้ผมแสดงให้เขาดู แต่ผมต้องปฏิเสธไป พร้อมกับบอกเขาว่าเพื่อนของผมไม่อยากให้ผมแสดงให้คนอื่นเห็น อาจารย์ตี้ถึงกับออกอาการโกรธ แล้วบอกว่าไม่เป็นไร เขาจะไม่ยุ่งกับผมอีกในเรื่องนี้ แต่ในวันรุ่งขึ้น ผมเกือบตาย!! เขา! เขาเพิ่มความเข้มข้นของการฝึกฝนร่างกายของผมขึ้นไปอีกระดับ อา!! มันเกือบฆ่าผมได้เลยนะ

แต่ก็ยังมีเรื่องดี การพิพากษาของมังกรทะยานเป็นวิธีฝึกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม ผมเพียงแต่ต้องทำสมาธิเป็นเวลาไม่นานนัก ความแข็งแรงของร่างกายผมก็จะกลับคืนมาสมบูรณ์เหมือนเดิม ส่วนพลังเวทย์ของผมเหมือนจะเข้าสู่สภาวะคอขวดอีกครั้ง ผมไม่สามารถหาวิธีที่จะก้าวหน้าต่อไปได้ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกมีพลังเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว ด้วยพลังของผมตอนนี้ให้ย้ายภูเขาเหรอ ได้! ถมทะเล ก็พอไหวน่า! เพราะพลังเวทย์ของผมมันเหมือนสายน้ำในแม่น้ำใหญ่ หลั่งไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย ส่วนเรื่องการเรียนเวทย์มนต์ของตงรื่อ ผมใช้วิธีเดียวกันกับที่สอนจ้านหู่ให้รับรู้ธาตุแสง  ความสามารถในการรับรู้ธาตุเวทย์มนต์ของเขาเร็วกว่าพี่ใหญ่จ้านหู่อีก ในด้านความสามารถด้านธนูของเขา ผมบอกได้คำเดียวเลย น่ากลัวมาก!! ผมว่าในระยะ 800 เมตร ด้วยสายตาอันยอดเยี่ยมของเขา ธนูของเขาน่าจะตัดปีกซ้ายของแมลงวันได้ โดยที่ปีกขวาไม่เป็นอะไร อาจารย์เหวินพูดสำทับมาอีกด้วยว่า ขอแค่มองแค่แวบเดียว ตงรื่อบอกได้เลยว่าแมลงวันตัวไหน เป็นพ่อ แม่ หรือว่าลูก ขนาดนั้นเลยนะ! ด้วยบุคลิกของตงรื่อที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย แถมยังมีบางอย่างคล้าย ๆ กับผมอีก ดังนั้นถึงแม้ว่าเราจะยังรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ตอนนี้พวกเราก็เข้ากันได้ดี กลายเป็นเพื่อนสนิทกันแล้ว

ตอนค่ำ ๆ ถือว่าเป็นช่วงที่ดีที่สุดของวัน เพราะว่าเราสามารถออกไปเที่ยวเล่นได้

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมอยู่ที่เมืองซิวต้ามาได้เกือบเดือนแล้ว วันนี้ตงรื่อจะพาผมออกไปเที่ยว พวกเราเพิ่งออกมานอกสถาบันตอนที่ได้ยินเสียงเรียก

“พี่ใหญ่ตงรื่อ!” เสียงอันอ่อนหวานลอยมา

ตงรื่อกับผมหันไปมองเกือบจะพร้อมกัน หญิงสาวผมแดงคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาพวกเรา น่าจะอายุน้อยกว่าพวกเรา 1 ปี (ผมแก่กว่าตงรื่อ 2 เดือน) เธอมีตากลมโตสุกใส ผมยาวสลวย ผมหยอกตงรื่อด้วยการกระซิบถามเขา “คนรักของนายเหรอ”

ตงรื่อหน้าแดงกล่ำ รีบอธิบายทันที “ไม่ใช่! พวกเราแค่เป็นเพื่อนกัน” ผมยังไม่หยุด “จริงอ่ะ? ดูแล้วไม่เหมือนเพื่อนธรรมดาเลย ฮ่าฮ่า!”

ถึงตอนนี้ สาวผมแดงก็มาถึงตัวแล้ว เธอยืนอยู่ข้างหน้าพวกเราแล้วพูดกับตงรื่อ “พี่ใหญ่ตงรื่อ ไม่เจอกับพี่ตั้งนาน อาจารย์เหวินเข้มงวดมากเลยใช่มั้ย? พี่ดูเหมือนจะผอมลงไปอีกนะเนี่ย” ว้าว! ว้าว! ว้าวว!! ห่วงกันมากขนาดนี้ นี่เพื่อนกันใช่มั้ย?

ตงรื่อพึมพำ “สวัสดี คุณฮัวหลุน”

คุณฮัวหลุนโกรธแล้ว “ฉันเคยบอกพี่แล้วใช่มั้ยไม่ให้เรียกคุณฮัวหลุน เรียกหงเสวียก็พอ ตกลงมั้ย? อ๋า! นี่ใครล่ะ?” อา! เธอเห็นผมแล้ว ไม่เป็นไร! ไม่ต้องสนใจผมหรอก! ผมมันคนไม่สำคัญ! มองผมเป็นอากาศก็ได้!!

“ฮัวหลุน อ่า! หงเสวีย นี่เพื่อนฉันเอง ลูกศิษย์ของเพื่อนอาจารย์เหวิน เขาเรียนเวทย์มนต์”

ผมยิ้ม แนะนำตัวเอง “สวัสดีครับ คุณฮัวหลุน ผมชื่อเว่ยจางกง”

เธอก็ตอบกลับอย่างอ่อนหวาน “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อฮัวหลุนหงเสวีย ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

ผมรีบบอกตงรื่อ “ตงรื่อ ฉันเพิ่งนึกได้ว่ายังมีธุระที่ต้องทำ นายกับคุณฮัวหลุนคุยกันไปนะ ฉันจะล่วงหน้าไปก่อน” ผมรีบหนีเอาตัวรอดทันที ไม่ได้รอให้ตงรื่อตอบ ใครจะอยู่ดู? ปล่อยให้เจ้าเด็กนี่มีโอกาสดี ๆ ดีกว่า

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด