ตอนที่แล้วตอนที่ 5
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 7

ตอนที่ 6


ภารกิจทำซ้ำได้นั้นสามารถทำได้วันละครั้ง

เทียบกับรางวัลที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่การฝีกฝนนั้นจะเพิ่มจำนวนครั้งขึ้นในทุก ๆ วัน

จาก 100 ครั้งเป็น 200 ครั้ง 300 ครั้ง 400 ครั้ง…

มันพูดง่ายกว่าทำเพราะว่าจะมีแต่การออกท่าที่ถูกเท่านั้นที่จะนับในภารกิจ

ในการทำภารกิจให้เสร็จแต่ละครั้ง ผมต้องเตะหรือต่อยเกือบสองเท่าของจำนวนที่ภารกิจให้ทำ

เทียบกับการเติบโตของพละกำลังแล้ว เพราะจำนวนครั้งที่ต้องฝึกฝนเพิ่มจนเสร็จภารกิจ มักจะมีวันที่ผมเดินตามปกติไม่ได้ด้วยซ้ำ

ถ้าหากนั่งลงเมื่อไหร่ ผมก็อยากจะเอนกายลงไปเลย

และถ้าหากเอนกายเมื่อไหร่ ผมก็จะหลับเป็นตาย

แต่ผมก็ข้ามสิ่งนี้ไปไม่ได้

ทำไมน่ะเหรอ?

ต่อย : 0/1200

เตะ : 0/1200

หมุนเตะ : 0/1200

ถ้าหากมันเปลี่ยนเป็นวันถัดไปโดยไม่ทำภารกิจให้เสร็จ ทุกอย่างที่ผมทำมาจะกลับมาเริ่มใหม่ที่ศูนย์

และก็ตามเคย รางวัลเพิ่มพลังนั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วยเลย

หมายความว่าผมต้องเสียเวลาทั้งวัน

หลังจากรู้เรื่องนี้ผมก็ไม่พลาดที่จะทำภารกิจให้เสร็จเลยแม้แต่วันเดียว

บางทีอาจจะเป็นเรื่องดีอยู่แล้วที่ภารกิจไม่ได้ให้ผมทำถึง 3000 ครั้งล่ะมั้ง?

และแล้วหนึ่งเดือนก็ผ่านพ้นไป

“โฮ่ เลิกช่วงเช้าแค่นี้ดีไหมนะ?”

ทันทีที่ผมตื่นนอน ผมจะไปที่ลานฝึกกลางแจ้งและเตะ

ผมจะทำภารกิจต่อยในตอนที่หาเวลาระหว่างอาหารหรือตอนที่อาบน้ำ

เมื่อผมทำงานอาสาที่เป็นบทลงโทษประจำวันเสร็จจากโรงเรียน ผมจะตรงไปที่ลานฝึกกลางแจ้งอีกครั้งเพื่อที่จะทำภารกิจต่อและจะไม่กลับไปจนกว่าจะทำภารกิจเสร็จ

ต้องขอบคุณทุกสิ่งที่ผมทำ

ได้รับสกิล : ศิลปะร่างกาย

ศิลปะร่างกาย *

ติดตัว

เพิ่มความสามารถทางกาย

ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน การเคลื่อนไหวที่รุนแรงและซับซ้อนจะสามารถทำได้

ผมถึงกับได้สกิลที่เรียกว่าศิลปะร่างกายมาครอง

ทุ่มเทอดทนและสม่ำเสมอ

มันคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับการแข็งแกร่งขึ้น

เพราะเรื่องนี้ ผมก็คุ้นเคยกับการใช้ร่างกายและเตะ 300 ครั้งได้ในรอบเดียวโดยไม่มีเหงื่อตก

ระวังของ ‘ศิลปะร่างกาย’ ของผมก็เพิ่มขึ้นด้วย

การตั้งท่าของผมก็มั่นคงและถูกต้องกว่าเดิม ผมจึงไม่ได้ทำพลาดมากครั้งแบบเมื่อก่อน

ร่างกายในตอนนี้กำลังร่ำร้องอย่างสนุกสนาน(?) ในทุกวัน

“ช่วงนี้รูนดูไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?”

“ใช่ เจ้าคนที่ไม่แม้แต่กระพริบตากลับมาหลับในห้องเรียนเนี่ยนะ”

“มันยิ่งกว่านั้นอีก ไม่เคยเห็นเขาเตะในลานฝึกเหรอ? เขาแทบจะใช้ชีวิตอยู่ในลานฝึกแล้ว เพื่อฝึกเตะน่ะ”

“อืม ช่างเถอะ ให้ตายสิ…อดีต ‘จอมเวทย์อัจฉริยะ’ มาอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง หึหึ”

ผมรู้ดีว่านั่นคือสิ่งที่คนอื่น ๆ พูดถึงผมในโรงเรียน

แต่ผมก็เลือกที่จะเมินมัน

ผมไม่คิดจะลองอธิบายพลังใหม่หรือเอาไปอวดให้ใครเห็น

แน่นอนว่ามันไม่มีเหตุผลที่จะปิดบังอยู่แล้ว แต่ผมอยากจะแข็งแกร่งให้ได้มากที่สุดก่อน

“รูน มาอีกแล้วเหรอ”

“ใช่ สวัสดีครับ”

หลังจากทำภารกิจเสร็จแล้วผมก็มักจะใช้เวลาที่เหลือในห้องสมุด

ผมเคยมาที่ห้องสมุดอยู่บ่อยครั้งเพื่อที่จะหาข้อมูลเรื่อง ‘ภาวะไร้ความสามารถในการปลุกมานา’ จากการค้นหาหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์และหนังสือที่เกี่ยวข้อง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

“หนังสือมารึยังครับ?”

“มาแล้วล่ะ รับไปสิ ชั้นเก็บไว้ให้”

“ขอบคุณครับ”

หนังสือโบราณที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับบันทึกที่เก่าแก่ที่สุดจากอดีตในทวีปฟรีเลีย

มีสิ่งเดียวที่ผมตามหาในหนังสือประวัติศาสตร์เหล่านี้

‘ดราก้า…เขาเป็นใครกันแน่?’

ก็เพื่อตามหาข้อมูลที่เกี่ยวกับจอมเวทย์ดราก้า

ในเดือนที่ผ่านมา ผมจะใช้เวลาระหว่างการทำภารกิจให้เสร็จและมาที่ห้องสมุด ผมไล่ล่าหาเบาะแสเรื่องดราก้าอย่างไม่ลดละ

แต่ถึงอย่างนั้น

‘เล่มนี้ก็ไม่มีงั้นเหรอ’

ไม่มีบันทึกเรื่องจอมเวทย์ ‘ดราก้า’ ในหนังสือประวัติศาสตร์เล่มไหนเลย

ไม่ใช่แค่นั้น

‘ผู้ทำลายล้างโลก’

‘ผู้เล่น’

‘หน้าต่างสถานะ’

‘ภารกิจ’

มันไม่มีเบาะแสถึงคำเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้

ผมไปที่ห้องทำงานของอาจารย์วิชาประวัติศาสตร์โดยหวังว่าจะได้เจอกับคำตอบ

“หืม? ใครนะ?”

“ดราก้า จอมเวทย์ดราก้า”

“อืมม…เป็นครั้งแรกที่ได้ยินชื่อนั้นเลยนะ”

“...บ้าจริง จริงเหรอครับ?”

“แล้วหนังสือที่ชั้นแนะนำไปล่ะ? ไปที่ห้องสมุดแล้วหาอ่านดูสิ ถ้าอ่านแล้วล่ะก็…”

“ผมอ่านหมดแล้วครับ”

“ว่าไงนะ?”

“ผมอ่านหนังสือทุกเล่มในห้องสมุดแล้วครับ”

“โอ๊ะ…เอ่อ อย่างนั้นเหรอ?”

“ขอบคุณที่เสียเวลานะครับอาจารย์”

“อืมม โทษทีนะที่ช่วยไม่ได้”

ไม่มีเลย

ไม่มีอะไรที่ช่วยผมได้เลย

มันมากพอที่จะทำให้ผมคิดว่าเขาอาจจะไม่มีตัวตนอยู่ตั้งแต่แรก

ถ้าหากจอมเวทย์ที่มี ‘ภาวะปลุกมานา’ อย่างผมมีอยู่จริง ผมก็คงจะรู้ตั้งนานแล้ว

แต่บันทึกที่อ่านมาไม่เคยมีคนแบบนั้นอยู่เลย

เพราะมันเป็นคำสาปที่มีแค่ ‘ผม’ ที่เกิดมาแล้วต้องเจอกับมัน

ถ้าหากเรื่องนี้เป็นจริง แล้วดราก้าเป็นใครกันแน่?

“สถานะ”

รูน อาเดล

ดราก้าผู้ทำลายล้างโลกที่กลับมาเกิดใหม่

Strength: 470 +++

Agility: 100

Wisdom: 1550

ใครเป็นคนที่มอบพลังนี้ให้กับผม?

ผมต้องพักความกังวลไปก่อน

“รูน!”

“เจสัน! ชู่ว!”

“อ๊ะ โทษที”

คนที่เรียกชื่อผมเสียงดังก็คือเพื่อนร่วมหอพักเจสันนั่นเอง

หลังจากถูกบรรณารักษ์ดุ เขาก็เรียกผมด้วยเสียงที่เบากว่าเดิม

“รูน! ออกมานี่ซิ!”

“อะไรของนาย? เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึไง?”

ผมปิดหนังสือและเดินออกไปข้างนอก

เจสันมองราวกับตื่นเต้นในเรื่องอะไรบางอย่าง

“นายรู้ไหม?”

“เรื่องอะไรล่ะ?”

“คงไม่รู้ล่ะสิ ไม่งั้นคงไม่มานั่งอ่านหนังสือสบายใจเฉิบอยู่แบบนี้แน่”

“อะไรเล่า?”

“หัวหน้าตระกูลอาเดลมาที่นี่น่ะ!”

.

.

.

“...ใครนะ?”

“พ่อนายไง!”

ผมคิดว่าผมหูฝาดในทีแรก

ถ้าพ่อมาถึงที่นี่…

“ไม่มีทาง”

การเดินทางจากดินแดนอาเดลมาถึงโรงเรียนนั้นต้องใช้เวลาเกินครึ่งเดือนผ่านรถม้า

ไม่เพียงเท่านั้น พ่อของผมยังไม่เคยเข้าร่วมงานอาจารย์พบผู้ปกครองที่โรงเรียนจัดเลยสักครั้ง

ไม่เลยสักครั้ง

เขากังวลว่าการรวมตัวขุนนางนั้นจะแทรกแซงและคุกคามอำนาจของโรงเรียน

“หมายความว่าไงที่ว่า ‘ไม่มีทาง’ น่ะ ดูนี่สิ”

เจสันชี้ไปที่นอกหน้าต่าง

“ชั้นไม่ได้โกหกนะ”

เจสันพูดเรื่องจริง

ที่สวนโรงเรียน มีธงประจำตระกูลอาเดลอยู่บนหลังม้าที่มีตราประจำตระกูลที่เป็นรูปนกฮูก

ไม่เหมือนกับขบวนของขุนนางทั่วไป มันเรียบง่ายที่มีธงเพียงแค่ 2 ชิ้นและมีคนในตระกูลเพียงแค่ 3-4 คน

และคนที่อยู่ตรงกลางของคนกลุ่มนี้

“พะ…พ่อ?”

คือพ่อของผม

‘ทำไมพ่อถึงมาอยู่นี่ล่ะ?’ นั่นคือคำถามแรกที่ผมคิด แต่ผมก็รู้คำตอบอยู่แล้ว

ดูเหมือนว่าเจสันเองก็รู้ตัวด้วยเหมือนกัน

เขามองผมหน้าเจื่อน

“เป็นเพราะเรื่องก่อนหน้านี้ ใช่ไหม?”

ผมพยักหน้าตอบไป

ใช่แล้ว

มีเหตุผลเดียวที่พ่อของผมจะมาถึงโรงเรียน

นั่นก็เพราะลูกชายที่มีเพียงคนเดียวของเขาเกือบตาย

“เดี๋ยวชั้นกลับมา”

ผมเดินลงบันไดตรงไปยังสวนดอกไม้

ผมมาถึงสวน พ่อของผมกำลังคุยอยู่กับคนที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น

‘อาจารย์ไฮเดล?’

เขาคืออาจารย์ไฮเดล

ผมไม่ได้ยินเพราะอยู่ห่างกันเกินไป แต่พวกเขากำลังคุยกันสวนสีหน้าอบอุ่นที่บอกว่าพวกเขารู้จักกันมาเป็นเวลานานแล้ว

แต่ยังไงก็เถอะ

“รูน”

ทันทีที่พ่อเห็นผม เขาก็เลิกทำสีหน้าแบบนั้นและยืดแขน

“ลูกพ่อ มาสิ”

ผมเดินอย่างกระอักกระอ่วนไปกอดพ่อ

ผมคิดว่าเขาเองก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเหมือนกันเมื่อพ่อพูดด้วยเสียงที่เข้าใจได้ยาก

“ลูกยังเหมือนเด็กตัวน้อย 10 ขวบในตอนที่พ่อส่งมาโรงเรียนเลยนะ”

10 ขวบ

อายุที่ดีที่ผมควรจะได้ทำตัวเหมือนกับเด็กที่พึ่งพาผู้เป็นพ่อ ตอนนั้นผมต้องบอกลา

ตลอด 6 ปี

ตลอด 6 ปีที่พ่อของผมไม่ได้มาที่โรงเรียนเลย

ถ้าหากขุนนางเข้าออกโรงเรียนได้ตามใจอยาก มันก็คงไม่ดีต่ออิทธิพลที่ดีของโรงเรียนที่ต้องยึดโยงกับความยุติธรรม

ผมรู้ความจริงข้อนี้ดีกว่าใคร และผมก็นับถือและยอมรับในการตัดสินใจของพ่อ

“รู้สึกแปลก ๆ หน่อยนะ ลูกโตขึ้นขนาดนี้แล้ว”

เป็นเพราะว่าลูกพ่อที่ตัวเล็กอยู่เสมอเติบโตขึ้นขนาดนี้เหรอ?

มีเศษเสี้ยวความเสียใจอยู่บนสีหน้าของพ่อผม

ผมจึงกอดเขาให้แน่นกว่าเดิมและยิ้มให้

“สบายดีไหมพ่อ?”

10 ขวบ

เหมือนกับเวลานั้นที่ผมจะกอดพ่อจนแน่น

แน่นอนว่าผมทำเหมือนกับตอนเป็นเด็กไม่ได้

ผมคิดว่าความตั้งใจของผมส่งไปถึงพ่อ

เขาพูดกับผมด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายกว่าเดิม

“พ่อสบายดี แล้วลูกล่ะ รูน ลูกเป็นยังไง…”

เสียงของพ่อหายไปในคำสุดท้าย

ภาวะปลุกมานา

ความอับอายที่คนอื่นประเคนมอบให้

อุบัติเหตุที่เกือบเอาชีวิตผมไป

พ่อผมรู้ดี ต่อให้เขาจะเป็นคนถาม ว่าชีวิตผมไม่ได้ปกติสุขดี

แต่ผมก็ยิ้มกว้างให้พ่อให้มากที่สุด มากพอที่จะลบความกังวลไปจากพ่อ

“ผมสบายใจ ดีกว่าที่เคยเป็นเลยล่ะ”

“...หืม?”

พ่อมองผมราวกับได้เจอคำที่ไม่คาดคิด

เขาประหลาดใจกับสีหน้าสดใส ตรงกันข้ามกันกับสิ่งที่เขาคิดว่าจะได้เห็น

จากนั้นอาจารย์ไฮเดลก็พูดกับผม

“รูน ชั้นจะบอกอาจารย์โฮมรูมให้ ใช้เวลากับพ่อนายเถอะ”

“อ๊ะ ขอบคุณครับ”

จากนั้นเขาก็ทำหน้าแปลก ๆ ที่ดูมีความหมายและโค้งให้พ่อของผม

“ถ้าอย่างนั้น หวังว่าจะได้พบกันอีก ผู้นำแห่งอาเดล”

“อืม ได้สิ”

พ่อของผมตอบไปด้วยความแปลก ๆ เช่นกัน

พวกเขารู้จักกันงั้นเหรอ?

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้จักกันเป็นส่วนตัว แต่ไม่มีทางที่พ่อของผมจะรู้จักคนในโรงเรียนแน่ ๆ

ช่างเถอะ

ไม่ว่าจะเหตุผลอะไร ทันทีที่อาจารย์ไฮเดลไปแล้วผมก็พาพ่อเดินโดยจับข้อมือ

“ดีจริง ๆ ที่พ่อมา มีเรื่องจะเล่าให้พ่อฟังเต็มไปหมดเลย”

“อื้ม”

“ไปที่ห้องนั่งเล่นกันเถอะพ่อ”

แล้วผมก็พาพ่อเดินไป

“ชุดเกราะนั่น มันไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”

“หืม?”

ชุดเกราะหนังที่พ่อสวมนั้นยังดูเหมือนกับ 6 ปีที่แล้วไม่มีผิด

เขาจะต้องดูแลมันอย่างดี เพราะไม่มีความเสียหายจากเวลานานปีให้เห็นเลย

เมื่อผมถาม เขาก็แตะชุดเกราะของตัวเองด้วยความเขินอายเล็กน้อย

“ไม่มีเหตุผลให้เปลี่ยนนี่”

พ่อของผมที่ไม่ได้เจอมา 6 ปี ยังคงเป็นคนเดิมจาก 6 ปีที่แล้ว

ผมคงไม่ถามคำถามโจ่งแจ้งอย่าง “ทำไมพ่อถึงมานี่?”

ไม่ใช่กับพ่อที่เดินทางไม่หยุดมาตลอดครึ่งเดือนด้วยความกังวลในตัวลูกชาย

เขาพูดออกมาไม่ได้ แต่ผมก็รู้ว่าพ่อกำลังสั่นเพราะความวิตกกังวล

ผมบอกพ่อไป

ว่าอย่ากังวล

ให้เชื่อใจลูกชายของพ่อ

ว่าผมจะปกป้องพ่อและครอบครัว

และในเรื่องที่ผมบอก มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด