ตอนที่ 1371 หอทงเทียนไปทางไหน?
จัตุรัสเวลา
ทางเข้า
เทียนอี้เจ้าตำหนักสูงสุดยืนชูมืออยู่เงียบๆ แต่คนที่อยู่ที่อยู่ข้างหน้าเขาคือนางพญาเฟ่ยเหวินหลี ทั้งสองมีความมั่นใจในตนเองมากพอไม่ว่าสถานการณ์ปัจจุบันของสงครามจะดำเนินไปเช่นไร ก็ไม่ส่งผลต่อความตั้งใจของพวกเขา
การเผชิญหน้าอย่างยาวนานก็เพื่อแสวงหาจุดบกพร่องของศัตรูจากนั้นจึงเปิดฉากโจมตีอย่างรุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมายแห่งชัยชนะครั้งสุดท้าย
แต่ทั้งสองมีความอดทนที่ไม่ธรรมดา
ถ้าจำเป็นบางทีการเผชิญหน้านี้อาจดำเนินไปนานนับพันปีได้
“ข้าทำผิดพลาดครั้งใหญ่” เจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้ถอนหายใจเบาๆทันที “ถ้าข้าลงมือเองในตอนนี้ข้าจะไม่มีศัตรูมาคอยขวางทางให้ข้าต้องปวดหัวเลย”
“ข้าก็ทำผิดพลาดเช่นกัน” นางพญาเฟ่ยเหวินแค่นเสียง “เมื่อหลายพันปีก่อนหากข้าไม่กระตือรือร้นที่จะเอาชนะในทุกการต่อสู้ก่อน ถ้าเพียงแต่ข้าช่วยจักรพรรดิไร้เทียมทานจิ๋วซื่อก่อน เจ้าก็คงไม่มีพลังพอมายืนเสนอหน้าอย่างในวันนี้แน่นอน เทียนอี้! อย่าหาว่าข้าไม่ปล่อยให้เจ้าเข้าจัตุรัสเวลาต่อให้ปล่อยให้เจ้าเข้ามาเจ้าจะอยู่ในนั้นได้จริงหรือ?”
“ข้าไม่จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากจัตุรัสเวลาไม่จำเป็นต้องได้รับมรดกจากภายในเลย” น้ำเสียงของเจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้นั้นเบามากและเขาไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวเลย “ข้าแค่ต้องการเป็นเทพจอมราชันย์แห่งแดนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นเจ้าจะมาที่นี่ทำไม?” นางพญาเฟ่ยเหวินหลีแค่นเสียง
“เพียงเพื่อเติมเต็มความปรารถนาในปีนั้นขึ้นเป็นเทพจอมราชันย์ให้ได้นั่นคือความสมบูรณ์แบบที่ไม่มีใดในโลกต้องเสียใจเลย” เจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้ยิ้ม
“ข้ออ้างเช่นนี้แม้แต่เด็กสามขวบก็ยังไม่เชื่อด้วยซ้ำ! แม้ว่าเจ้าจะเข้าไปได้แต่ความพยายามเจ้าก็เปล่าประโยชน์ แต่การปล่อยให้คนที่น่ารังเกียจบุกรุกเข้ามาในสถานที่เกียรติยศของบรรพบุรุษของหอทงเทียนนั่นเป็นการดูหมิ่นที่ไม่น่าให้อภัยได้”คำพูดของนางพญาเฟ่ยเหวินหลีนั้นแน่นอนที่สุด “เทียนอี้! เว้นแต่ข้าตายในการต่อสู้ในวันนี้มิฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะย่างเท้าเข้ามาในจัตุรัสเวลา ข้ารู้ว่าเจ้าคุ้นเคยกับการเล่นกลและเจ้าต้องการใช้เล่ห์เหลี่ยมมากมาย ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องปกปิดอีกต่อไปใช้มันออกมาได้เลย ข้าไม่หวังว่าเจ้าจะยอมสู้กันตรงๆอยู่แล้ว”
“เจ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่ดีแน่นอน” เจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้ถอนหายใจ “มันยอดเยี่ยมมากที่คนที่รู้จักข้าดีที่สุดในโลกกลับเป็นศัตรูของข้า”
“โลกมักจะขัดแย้งกันอย่างนี้”
ประโยคนี้
นางพญาเฟ่ยเหวินหลีไม่ได้กล่าวแต่เป็นอีกคนหนึ่ง
ชายชรามีผมและเคราสีขาวเหมือนหิมะยาวจนแทบเรี่ยพื้นถือหนังสือโบราณคล้ายคัมภีร์อัญเชิญก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆ
เมื่อนางพญาเฟ่ยเหวินเหลือบมองคราวแรกนางพูดเสียงปนโทสะ “ปีศาจเฒ่า! ไสหัวกลับไปวิหารดวงดาวของเจ้าเลยไม่ต้องมายุ่ง การประลองชะตาครั้งนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า!”
ชายชราท่าทางใจดีส่ายหน้าช้าๆ “สาวน้อย, เราผู้เฒ่าถึงจะไม่ตั้งใจมาควบคุมจัดการแต่ก็คงไม่มีทาง เราผู้เฒ่าขอสารภาพตรงๆ เราแม้ต้องการกลับ แต่ก็กลับไม่ได้... แม่นาง เราผู้เฒ่าอยากทำอะไรให้เจ้าบ้างเป็นการชดเชยความรู้สึกผิดในตอนนั้นแต่โชคชะตาไม่ได้อยู่ในมือข้า จึงได้แต่ปล่อยไปตามกระแส นั่นแหละคือเหตุผล!”
นางพญาเฟ่ยเหวินโมโหจนหัวเราะ “ปล่อยตัวไปตามกระแสก็ดีไม่ใช่หรือ? นั่นเหมาะกับนิสัยเต่าหดหัวในกระดองอย่างเจ้าแล้ว”
ชายชราผู้ใจดีไม่โกรธเมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาได้แต่ถอนหายใจ
เจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้และนางพญาเฟ่ยเหวินหลียังคงเผชิญหน้ากันอยู่
ชายชราเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ
และนั่งขัดสมาธิ
จากนั้นถือหนังสือโบราณและอ่านเงียบๆราวกับไม่รู้ว่าจะเกิดการต่อสู้สะท้านฟ้าสะเทือนดินได้ทุกเมื่อบางทีเขาอาจรู้ทุกอย่าง แต่เขาไม่ใส่ใจความเป็นความตายของเขาเอง
“มีเพียงตาแก่ลึกลับเพียงคนเดียวเท่านั้นหรือ?” นางพญาเฟ่ยเหวินหลีแค่นเสียงเหยียดหยาม “เทียนอี้! เจ้าคิดว่าเขาจะทำให้เจ้าชนะได้อย่างนั้นหรือ?
“ไม่อย่างแน่นอน” เจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้ส่ายหน้าช้าๆ“ผู้อาวุโสเทพลึกลับสมัครใจมาเอง ไม่ใช่เทียนอี้เชิญมา”
ขณะนั้นที่ข้างหน้าทางเข้าจัตุรัสเวลามีเงาร่างสามร่างปรากฏตัวขึ้น การปรากฏตัวของเงาร่างทั้งสามนี้ทำให้นางพญาเฟ่ยเหวินหลีหน้าถอดสี ทั้งที่นางมั่นใจในตนเองมาโดยตลอดนางพยายามระงับความโกรธไม่ให้ต้องกรีดร้องออกมา “โอวดีมาก ขอแสดงความยินดีกับเทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนสวรรค์ เขานั่งอยู่ในคุกด้านล่างด้วยซ้ำ ตอนนี้จะกลับมาฟื้นฟูความมั่นใจในตนเองที่หอทงเทียนนี่เอง บ้านนอกอย่างหอทงเทียนเรายินดีต้อนรับ!”
เงาร่างทั้งสามได้ยินคำพูดก็ชะงักเล็กน้อย
ทันใดนั้นเงาที่อยู่ตรงกลางก้าวยาวก้าวใหญ่และย่ำเท้าหนักๆ กล่าว “ข้าแค่ต้องการอิสรภาพ”
เงาร่างทางขวาก็พูดในทำนองเดียวกัน “เราเสียใจกับเรื่องนี้มานานแล้ว แต่การไม่มีอภัยโทษและจุดสิ้นสุดการลงโทษเป็นการลงโทษที่ไม่ยุติธรรมสำหรับเรา”
เงาร่างทางซ้ายดูเหมือนจะลังเลและถอนหายใจในที่สุด “เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วเราผู้เป็นเทพยินยอมถูกกักตัวอยู่ในที่นี้เป็นเวลาหมื่นปีเพื่อเป็นการขอโทษ เฟ่ยเหวินหลี! ถ้าเจ้ายินดียอมแพ้เราผู้เป็นเทพยินดีจะทำการตัดสินให้เจ้าพาสามเผ่าพันธุ์ของหอทงเทียนออกไปและทำทุกอย่างเพื่อสงบสุขระหว่างดินแดนชั้นล่างและชั้นบน... เจ้ามีสติปัญญามากที่สุดรู้ดีว่าสถานการณ์ปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยทำไมต้องดื้อรั้นทำไมไม่พาสามเผ่าพันธุ์ออกไปไปหาสถานที่อื่นอยู่สร้างเส้นทางสายใหม่ให้หอทงเทียนไม่ดีกว่าหรือ?”
นางพญาเฟ่ยเหวินหลีหัวเราะ
สีหน้าท่าทางภาคภูมิใจไม่มีใดเหมือน
นางชูอาวุธเทพในมือของนางและชี้ไปที่ศัตรูประกาศด้วยเสียงเย็นชา “เส้นทางสู่หอทงเทียนของข้าปูลาดอยู่บนกระดูกของพวกเจ้า”
การต่อสู้ในโลกแกนสมดุลโลกกำลังดำเนินไปเต็มที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสู้รบระหว่างเทพพิทักษ์ภูเขากวงหมิงและเย่ว์ไตตัน
ในโลกกระจกที่แปลกประหลาดนี้
ตั่วตั่วที่ตอนแรกถือมุกแห่งชะตายังสามารถติดตามอยู่ใกล้เย่ว์หยางในตอนแรกแต่ไม่นานจากนั้นมิทราบพลัดหลงไปทางไหน เทพแห่งความสับสนจับเคียวแปลกประหลาดโลกแห่งกระจกเป็นบ้านของเทพแห่งความสับสนและนี่คือไม้ตายของเทพพิทักษ์แห่งเขากวงหมิง ขณะตามหาร่างจริงขนาดแปดเมตรของเขา เย่ว์หยงพลัดกับตั่วตั่วเขาได้แต่ติดตามไปด้วยสัญชาตญาณ
ที่นี่มีช่องว่างทางผ่านมิติหลายพันช่องแม้ว่าเย่ว์หยางจะมีจักษุญาณทิพย์ แต่กลับบอกไม่ได้ว่าตรงที่ใดคือทางออกที่แท้จริง
หรืออาจจะไม่มีทางออกเลยก็ได้
มีเพียงทางเดียว
นั่นคือการเอาชนะเทพแห่งภูเขากวงหมิง
“มาเลย มาเลย มาเถอะ มาต่อสู้ตัดสินกัน! เย่ว์ไตตัน ทำไมเจ้าถึงทำหน้าตาอย่างนั้น ขี้ขลาดจริงๆ!” ร่างจริงแปดเมตรของเทพพิทักษ์ภูเขากวงหมิงกำลังไล่ตามเย่ว์หยางเขาต้องการบีบบังคังเย่ว์หยางให้ต่อสู้กับเขาขั้นเด็ดขาด แต่เย่ว์หยางยังคงวิ่งหนีเขาไม่เต็มใจต่อสู้ในโลกกระจกเงาที่ศัตรูได้เปรียบและตัวเขาเสียเปรียบอย่างเด็ดขาด นี่คือพื้นที่บ้านของศัตรูไม่ใช่ที่ที่เขาได้เปรียบเลยจะให้สู้กับศัตรูที่นี่หรือ? ไม่ต่างกับหาคนมาทำร้ายตนเอง!
เย่ว์หยางไม่พูดอะไรสักคำ
โลกกระจกเงาที่อยู่ข้างหน้าเขาไม่มีที่สิ้นสุดเปลี่ยนแปลงได้แม้ในเสี้ยววินาที
มีการสร้างทางเดินมิติจำนวนมากและมีทางผ่านมิติที่ปรากฏและหายไปอีกนับไม่ถ้วนมีทั้งที่กำลังจะปิดและทั้งที่กำลังจะเปิดลึกลับซับซ้อนไม่มีใครเข้าใจความลึกลับได้
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือทางผ่านมิติเวลาที่เต็มไปด้วยกระจกบานใหญ่บานเล็กและทรงกลมทรงสี่เหลี่ยม ยังมีการเคลื่อนไหว เมื่อเย่ว์หยางก้าวเข้าไปในนั้นมีร่างเย่ว์หยางนับพันสะท้อนอยู่ภายใน บางตัวตนเหมือนหินบางตัวตนเหมือนม้าที่วิ่งควบไม่หยุดหย่อน ไม่เพียงแต่มีแค่เงาร่างเดียวแต่มีทั้งเป็นคู่เป็นกลุ่มโบกมือให้ตัวเย่ว์หยางมีทั้งหัวเราะและหน้าตาเหมือนภูตผีปีศาจ
นอกเหนือจากความแปลกประหลาดและมิอาจคาดเดาได้นั้นเย่ว์หยางยังไม่สามารถบอกได้ว่าภาพเงาสะท้อนนั้นเป็นภาพสะท้อนหรือเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง
อย่างไรก็ตาม ต่อให้เป็นร่างจริงก็ต้องเป็นร่างอวตารหรืออสูรลวงตาของศัตรู
ยังอันตรายยิ่งกว่าที่ละเลยไปชั่วขณะ
“ยินดีต้อนรับ มา..จับมือกันหน่อย!” เย่ว์หยางจำนวนมากในกระจกต้องการจะจับมือกับเย่ว์หยางที่เป็นร่างแท้ดูเหมือนจะมีความเป็นมิตรมาก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นรูปเย่ว์หยางที่ถืออาวุธเทพท่าทางขึงขังดุร้ายตั้งใจจะฆ่าเย่ว์หยางที่กำลังบุกดั้นด้นมาข้างหน้า
“สลายไปให้กับข้า!” เย่ว์หยางผ่านมือทั้งสองที่ตั้งใจจับเขาไปได้เขาผ่านมาแล้วทั้งวิหารเทพสตรีและการทดสอบของประตูเป็นตายภาพภูตผีลวงตาไม่อาจทำให้เขาสับสนได้
เขาเพิกเฉยต่อเทพพิทักษ์เขากวงหมิงที่ไล่ล่าตามเขา
และมักเปิดเส้นทางด้วยพลังเทพเสมอ
เมื่อเห็นสิ่งต่างๆ
เขาจะทำลายทันที
ร่างแท้จริงแปดเมตราของเทพแห่งเขากวงหมิงไล่ล่าตามตามเย่ว์หยางจะฉวยโอกาสใช้หมัดระดมต่อยใส่เขาราวกับสายฝน
ในขณะที่ปากตวาดด่าทอยั่วยุไม่หยุด “เย่ว์ไตตัน เจ้าแมลงที่น่าสมเพช เจ้านึกว่าจะหลบหนีได้พ้นหรือ? ในโลกกระจกภายใต้อำนาจและเจตจำนงมีการเปลี่ยนแปลงหลายร้อยล้านครั้งเจ้าจะสามารถทำลายได้ทีละชิ้นได้หรือ? เจ้ายังไม่เข้าใจหรือ? เจ้ายืนอยู่ในโลกของข้าผู้เป็นเทพนี้ ก็เท่ากับอยู่ในท้องของข้าผู้เป็นเทพ ต่อให้เจ้าหลบหนีไปอีกหมื่นปีนั่นเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ กลับมาสู้แตกหักกับข้า นี่คือโอกาสเดียวของเจ้า
ในมุมมองของมังกรปีศาจและคนอื่นๆเย่ว์หยางตัวเล็กไม่มีความสำคัญอะไร
เล็กพอๆ กับเม็ดถั่วหรือลูกเดือย
ติดอยู่ในมิติขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่มากกว่าหมื่นเมตรและวิ่งพุ่งไปด้านหน้า
แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างหนักเพียงไหน ก็ไม่สามารถบุกไปข้างหน้าเป็นเส้นตรงได้และอิทธิพลของทางเดินและบานกระจกในมิติพื้นที่ แต่การเคลื่อนที่เป็นวงกลมอย่างต่อเนื่องทำให้เขาเข้าใกล้รอบนอบมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่สนามต่อสู้ก็ตามตอนนี้เขาหลบหนีออกมาจากจุดใจกลางได้มากแล้วเมื่อเทียบกับจุดเริ่มต้น
กระจกในมิติพื้นที่หมุนไปเรื่อยๆ ช่องทางและภาพเกิดขึ้นและหายไปภาพมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ต้องพูดถึงเจี้ยนจางเซิงแม้แต่มังกรปีศาจก็ยังปวดหัว
“คาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วโมงจึงจะทะลวงออกมาได้”มังกรปีศาจประเมินอย่างกล้าหาญและมองโลกในแง่ดีที่สุด
ถ้าเย่ว์หยางยังยืนกรานต่อไปเขาจะไม่ทำนายผิด
จากนั้นสองชั่วโมงต่อมา
เขาจะพ้นจากความยุ่งยาก
ปัญหาก็คือหลังจากสองชั่วโมงผ่านไปเกือบสามชั่วโมงเจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้จะรีบมาถึงที่นี่ ถ้าเย่ว์หยางยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้เขาจะต้องสู้หนึ่งต่อสองหรือไม่?
“คิดให้ได้เร็วๆ!” มังกรปีศาจมองดูเจี้ยนจางเซิงและชี่ตันจื้อ
“เอ่อ,เจ้าจะให้เราช่วยแก้ปัญหาให้หรือ?” เจี้ยนจางเซิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นตะลึงทันที นี่เขาพูดเหมือนกับชวนกินข้าวแต่นี่มาใช้ให้พวกเขาหาวิธีแก้ปัญหา? นี่คิดว่าสมองของพวกเขาดีเท่าตงฟางหรือ? นอกจากนี้ในสถานการณ์เช่นนี้ต่อให้ตงฟางมาเองก็เกรงว่าไม่อาจแก้ปัญหาได้ เมื่อมองดูสีหน้าของคนทั้งสองมังกรปีศาจคาดได้เช่นกัน เขาสบถด่าทันที “สมองของพวกเจ้าทำด้วยอะไร? ไร้ประโยชน์จริงๆ!”
“....” เจี้ยนจางเซิงพูดไม่ออก
แม้ว่าเจ้าจะเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแดนสวรรค์เจ้าไม่หลงบ้างหรือ? อย่าเรียกร้องมากเกินไป?เราเป็นนักสู้ผู้น้อย เจ้าจะมาผลักไสภาระให้เราได้อย่างไร
พวกเขาได้แต่บ่นในใจแต่ไม่กล้าพูดออกมา ที่สำคัญมังกรปีศาจเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของแดนสวรรค์ไม่ใช่คนใจดีอยู่แล้ว
อีกด้านหนึ่งจักรพรรดิไร้เทียมทานจิ๋วซื่อพยายามแบกภูเขาเทพศักดิ์สิทธิ์เดินหน้าอย่างมั่นคง
ในแต่ละก้าวของเขา
ต้องดึงเอาพลังเทพและพลังชีวิตออกมาใช้
เส้นทางสู่หอทงเทียนดูเหมือนอยู่ข้างหน้าเขา แต่ทุกคนรู้ว่าเขาไม่สามารถไปถึงที่หมายปลายทางได้
**** *** ****