ตอนที่แล้วตอนที่ 3 ครอบครัวใหม่กับอาหารมื้อแรก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 5 ความทรงจำที่กลับมา

ตอนที่ 4 โต๊ะกินข้าว


ตอนที่ 4 โต๊ะกินข้าว

หลังจากซื้ออาหารแล้ว ชุนหยา ก็กลับไปที่ลานเล็ก ๆ ของบ้านเธอ ซึ่งพ่อแม่ของเธอกำลังหิ้วผักที่เก็บมาจากสวนหลังบ้านที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง ยังมีกระเทียมหนึ่งกำมือและผักกาดขาวหนึ่งหัว

เมื่อเห็น ชุนหยา กลับมา ซือต๋า ก็ถามว่า: “เป็นอย่างไรบ้างลูกสาวซื้อข้าวมาได้ไหม”

ชุนหยา พยักหน้าและพูดว่า: “ไดค่ะ บ้านของหยานซีค่อนข้างเป็นคนดีและพวกเขาแบ่งขายมาให้เยอะมาก และแม่ของเธอ ก็ใช้เครื่องชั่งเงินทอนเหรียญให้ด้วยเธอชำนาญมาก” ทันทีที่ชุนหยากลับถึงบ้าน เธอก็อดใจรอไม่ไหวที่จะเล่าให้พ่อแม่ของเธอรู้

สามีภรรยาพยักหน้าน่าจะเข้าใจ พวกเขาทั้งสามคุยกันและเริ่มลงมือใจหุงข้าวสำหรับมื้อเย็น มีกระเทียมมีไข่สามฟองที่พวกเขาเก็บได้ในเล้าไก่และผักกาดขาวหนึ่งหัว

ซือต๋าเริ่มจุดไฟ ชุนหยา เตรียมจะผัดผักและนางจางจัดการเก็บกวาดข้าวของไว้ในครัว

ชุนหยารู้วิธีทำอาหารดังนั้นจึงไม่มีปัญหาในการทอดไข่กับต้นหอมและผัดผักกาดขาว

และซือต๋าหรือซือต้าเฉินเขาเกิดในชนบทดังนั้นการจุดไฟจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา

อย่างไรก็ตาม ชุนหยา พบปัญหาหนึ่งขึ้นเสียแล้ว

“พ่อคะ เดี๋ยวอย่าเพิ่งจุดไฟเราเจอ... ปัญหาเล็กน้อย” ชุนหยา พูดพร้อมถือไม้พายค้างไว้ในมือ

“มีปัญหาอะไร” ซือต๋า โผล่หน้าออกมาจากหลังเตา

ชุนหยากระพริบตาและมองไปที่พ่อของเธอแล้วพูดว่า : “ไม่มีน้ำมันสำหรับทำอาหารน่พสิคะ ไม่มีเกลือหรือเครื่องปรุงด้วย”

“เอ่อ...นั่นสิแล้วควรทำอย่างไรดี” ซือต๋า เกาหัวของเขา

“ไม่เป็นไร ถ้าไม่มีน้ำมันก็ทำซุปก็ได้ แต่ก็เป็นเรื่องใหญ่ถ้าไม่มีเกลือรสชาติมันจะจืดมาก”

ขณะที่พ่อและลูกสาวกำลังมองหน้ากัน ประตูลานบ้านก็เปิดออก ฉื้อโถว เข้ามาพร้อมชามในมือข้างหนึ่ง และอีกข้างจูงน้องชายของเขา

เมื่อฉื้อโถว เข้าไปในประตู เขาเห็นพ่อและน้องสาวของเขามองมาที่เขาอย่างพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง เป็นความรู้สึกนี้อีกครั้ง ราวกับว่าพวกเขาสองคนไม่รู้จัก ฉื้อโถว มาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าใบหน้าของพ่อแม่และน้องสาวของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปและบ้านก็ยังคงอยู่ แบบทรุดโทรมเพียงหลังเดียวในหมู่บ้านแห่งนี้ เขาคงรู้สึกว่าเข้าบ้านผิดเสียแล้ว

หน้าตาคนในครอบครัวไม่เปลี่ยน สิ่งแวดล้อมก็ไม่เปลี่ยน แต่บรรยากาศผิดกันไปหมด

ในที่สุด ซือต๋า ก็นึกขึ้นได้ว่านั่นคือลูกชายของเขาที่ยืนอยู่ที่ประตู และพูดว่า : "แล้วนั่นอะไรล่ะ... ฉื้อโถวกลับมาแล้วน้องสาวของเจ้ากำลังจะทำกับข้าว เดี๋ยวเราก็จะได้กินมันในอีกไม่ช้า แต่เราไม่มีน้ำมันกับเกลือในบ้ายเลยหรือ?" ซือต๋า เขินรู้สึกแปลกเล็กน้อย จู่ ๆ ก็มีลูกชายที่โตขนาดนี้ และยังมีอีกคนที่แอบอยู่ข้างหลังพี่ชายและแอบดูเขาอีกด้วย

ชุนหยากลอกตาอย่างช่วยไม่ได้ พ่อของเธอเป็นแบบนี้ เวลาเขาทำอะไรไม่ถูก

ฉื้อโถว คิดในใจขณะนี้ : “ทำไมไม่มีน้ำมันหรือเกลือที่บ้านน่ะเหรอ? ถามข้าเหรอ? พ่อน่าจะรู้อยู่แก่ใจไม่ใช่เหรอ? …..แต่เขาไม่กล้าบอกความจริง เขาจึงพูดว่า :”มันหมดไปนานแล้ว อาหารก็หมด ท่านย่าเลยให้ข้าเอาอาหารกลับมาด้วย”

ความจริงแล้วคุณย่าไค่ ไม่เพียงแต่บอกให้หลานนำอาหารกลับมาเท่านั้นแต่ยังแอบยัด ซาลาเปาหยาบ 2 ลูกให้หลานอีกด้วย แม้ฉื้อโถวจะไม่ต้องการ แต่ครอบครัวของย่าที่เป็นครอบครัวใหญ่ มีอาหารเยอะมากในทุก ๆ อยู่แล้ว เขาและน้องชายของเขาได้ทานอาหารเที่ยงไปแล้วและจึงคิดว่าน่าอายที่จะเอาซาลาเปานี้กลับมาอีก

ทันทีที่ ชุนหยา ได้ยินว่ามีอาหารเธอก็พูดว่า : “เยี่ยมมาก ถ้าอย่างนั้นเราหุงข้าวก็พอแล้ว พรุ่งนี้ท่านพ่อค่อยไปซื้อน้ำมันกับเกลือ พ่อก่อไฟเร็ว ๆ เราจะได้หุงข้าว”

“ตกลง” ซือต๋า ยิ้มและพยักหน้า

ฉื้อโถว แปลกใจมากขึ้น : “คน ๆ นี้ไม่ใช่พ่อของข้าแน่นอน พ่อของข้าจะก่อไฟได้อย่างไร? ข้าไม่เคยเห็นเขาจุดไฟมาตลอดชีวิต! บ้าไปแล้ว มันต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ กลับห้อง!ข้าต้องรีบกลับห้อง บ้านนี้มีแต่คนแปลก ๆ หุงข้าวเหรอ? ล้อเล่นน่ะ น้องสาวของข้าต้องพูดเรื่องไร้สาระแน่ ๆ นางไม่เคยทำมัน”

ซือต๋าและชุนหยาไม่รู้ความคิดในใจของ ของฉื้อโถวขณะนี้ พวกเขาเห็น ฉื้อโถววางชามลงและจุงน้องชายของเขากลับไปที่ห้องอย่างรวดเร็ว

พ่อและลูกสาวมองหน้ากันแล้วยักไหล่ แม้ว่าพวกเขาฉื้อโถว คิดอะไร แต่พวกเขาก็ไม่อยากรู้ซักเท่าไหร่ และยังคงรีบหุงข้าวและหลังจากที่ตั้งใจจะทำกับข้าวมามาหลายชั่วโมงพวกเขาก็หิวมาก

อันที่จริง บ้านหลังนี้ไม่มีอะไรต้องทำความสะอาด ผนังทั้งสี่ด้านที่เปลือยเปล่า นางจาง กำลังสำรวจบ้านของพวกเขา อันที่จริงนางจาง ได้ค้นหาข้าวของและต้องการจัดการมันให้ดูน่าอยู่อาศัยกว่านี้ เธอจึงไม่ได้ออกไปเมื่อได้ยินว่า ฉื้อโถว กลับมาเพราะเธอไม่ต้องการพูดอะไรมากเกินไปในเวลานี้

พวกเขาทั้งสามเพิ่งมาที่นี่ และเมื่อพวกเขาได้ยินสำเนียงของผู้คนที่นี่ พวกเขาคิดว่านี่อาจเป็นยุคของมณฑลอานฮุยหรือมณฑลเจียงซูตอนเหนือ แม่ของซื่อต้าเฉินก็เป็นคนทางตอนเหนือของเจียงซูเช่นกันแม้ว่าเขาจะเคยอยู่เจียงซูเมื่อเขายังเด็กแต่เขาก็พูดภาษาซูเป่ยได้บ้างและสำเนียงการพูดของฉื้อโถวก็ใกล้เคียงมาก อาจเป็นไปได้ที่บรรพบุรุษของพวกเขาจะมีเกี่ยวเนื่องกัน แต่นี่ก็เป็นเพียงการคิดของซือต๋าเท่านั้น

เมื่อซือเสี่ยวหยุนยังเด็ก คุณย่าของเธอก็เคยพาเธอไปอยู่ด้วยช่วงปิดเทอมทุกปีเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงสามารถพูดภาษาถิ่นได้บ้าง มีเพียงนางจาง เท่านั้นที่กำเนิดจากเมืองเจียง และสามารถเข้าใจภาษาถิ่นเหล่านี้ได้เพียง 70% ถึง 80% และยังเข้าใจแค่ประโยคง่าย ๆ ไม่กี่ประโยค เพื่อไม่ให้ความจริงเปิดเผย เธอพูดกับคนที่นี่ให้น้อยลงก่อนดีกว่า

เมื่อตอนที่นางจางได้ยินเสียง ฉื้อโถว เข้าประตูห้องของเขาไปแล้ว เธอจึงเดินออกและเดินออกมาที่ห้องครัวพูดกับพ่อและลูกสาวว่า : “คุณควรสอนภาษาและสำเนียงของที่นี่ให้ฉันมากกว่านี้ในอนาคต ฉันต้องเรียนรู้คำศัพท์ของที่นี่ให้เร็วที่สุด เพราะฉันกลัวว่าจะเปิดเผยความลับของเราเมื่อฉันพูดอะไรผิดไป”

ซือต๋า พูดอย่างไม่ใส่ใจ: “ไม่มีใครสงสัยอะไรหรอก!”

ตอนนี้นางจาง กล่าวว่า : "ฉันคิดว่าฉื้อโถว ดูเหมือนจะสังเกตุเห็นอะไรบางอย่างนะ”

ชุนหยา ก็พยักหน้าและพูดว่า: “หนูก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่หนูคิดว่าเขาไม่รู้จะพูดยังไงเพราะไม่อย่างนั้นเขาจะต้องพาคนจากบ้านย่ากลับมาด้วยแน่ ๆ เพราะเขาเพิ่งกลับไปที่นั่นมา หนูเดาว่าเขายังไม่ได้พูดอะไรกับคนที่บ้านย่าและคงพูดอะไรไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้ว เขาคงมีความรู้สึกคุ้นเคยและแปลกประหลาดในเวลาเดียวกัน”

ซือต๋าพยักหน้าและพูดว่า: “อืม สิ่งที่ลูกสาวพูดก็สมเหตุสมผลมาก เขาคงตัดสินใจเลี้ยงแม่และลูกสาวแล้ว ในที่สุดดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้รับผิดชอบมากที่สุดสำหรับสถานการณ์ที่น่าสังเวชในครอบครัว”

ทั้งสามคนกระซิบกันเสียงต่ำ และตอนนี้ ฉื้อโถว ก็มองพวกเขาผ่านหน้าต่างห้อง พ่อของเขาดูเหมือนจะพยักหน้าและโค้งคำนับแม่และน้องสาวของเขา มันเป็นวันที่ไม่มีเสียงดังโวยวายใด ๆ ที่บ้าน และทั้งสามคนยังคงหุงข้าวด้วยกัน เขาหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นจริง  เด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความคิดที่สับสนในเวลานี้

และเมื่อข้าวสุกอาหารก็พร้อมแล้วชุนหยาเรียกฉื้อโถวและเถี่ยโถวให้ออกมากินข้าวด้วยกัน

ฉื้อโถวพูดว่า: “ปกติเรากินข้าวในห้องข้าไม่ใช่เหรอ?โต๊ะกินข้าวอยู่ในนี้”

ชุนหยา: “อ่า….ใช่ ใช่ ข้ารู้ ข้าแค่ขอให้ท่านมาช่วยยกอาหาร อย่าทำหน้างงเหมือนไม่เชื่อข้าแบบนี้”

ฉื้อโถว: “ไม่..ข้าเชื่อเจ้าอยู่แล้ว”

บ้านหลังนี้ของพวกเขาประกอบด้วยกระท่อมมุงจาก 2 ส่วน โดยส่วนหนึ่งเป็นที่พักของซือต๋าภรรยาและชุนหยาจึงมีเตียง 2 เตียงและตู้เสื้อผ้า ดังนั้นจึงไม่มีโต๊ะ อีกห้องเป็นที่ฉื้อโถวกับเถี่ยโถว สองพี่น้องอยู่นั้นพวกเขานอนเตียงเดียวกัน ดังนั้นจึงมีพื้นที่ให้วางโต๊ะกินข้าวในห้องนี้ได้

ไม่ต้องพูดถึงห้องครัว ห้องครัวไม่เพียงแต่มีขนาดเล็กเท่านั้น แต่ยังเป็นแค่โรงเก็บฟางที่มีการระบายอากาศทั้งสามด้าน และไม่มีที่สำหรับวางโต๊ะอาหารเลย

ฉื้อโถวบอกให้น้องชายรออยู่ในบ้านและเขาก็ออกมาช่วยยกข้าวเมื่อมองข้าวในหม้อเขาก็ถอนหายใจ ทั้งสามคนนี้กระโดดลงไปในบ่อน้ำและตอนนี้หลังจากฟื้นขึ้นมาพวกเขาก็กำลังหุงข้าวหม้อใหญ่อีกด้วย มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

อีกด้านหนึ่งเถี่ยโถวซึ่งยังเด็กและไม่มีอะไรต้องกังวล เมื่อเห็นพี่ชายของเขานำข้าวสองชามใหญ่มาวางต่อหน้า เขาตบมืออย่างมีความสุข และพูดว่าเขาอยากกินทั้งสองชามใหญ่นั้น

ชุนหยามองไปที่เถี่ยโถวใบหน้าของเด็นน้อยคนนี้หน้าซีดเซียว หัวโตและพุงป่อง แต่แขนขาเล็กผอมแห้ง จนเธอไม่กล้าแตะต้องเขาเพราะกลัวแขนขาเขาจะหัก หากเธอจับเขาแรงเกินไป เห็นได้ชัดว่านี่คือภาวะขาดโภชนาการที่รุนแรง

ในเวลานี้ นางจาง ซึ่งนั่งถัดจากเถี่ยโถว ก็เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับเถี่ยโถวเช่นกันและพูดกับเถี่ยโถวว่า: “เจ้ากินข้าวได้แค่ทีละครึ่งชาม หากกินเหลือจะบูดได้ และพี่สาวของเจ้าจะทำไข่ให้กินทีหลังนะ” โภชนาการที่ดีที่สุดคือเพิ่มโปรตีนให้มากขึ้นที่นี่ไม่มีนมแต่มีไข่อยู่บ้าง ช่างน่าสงสารครอบครัวนี้จริง ๆ

ซือต๋าพยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้อง ตอนนี้พ่อเก็บไข่มาสามฟองและอีกสักครู่พวกมันก็จะสุกแล้ว ลูก ๆ ทั้งสามควรกินคนละฟองนะ”

ฉื้อโถวมองลงไปที่ข้าวในชามของเขา และกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ตอนนี้เขาอายุสิบสามปีแล้ว และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่าพ่อของเขาห่วงใยพวกเขาเช่นนี้ เขามักจะอิจฉาครอบครัวอื่นที่มีพ่อที่รักลูกและมีเหตุผลมาก ในตอนนี้ พ่อของเขาจะให้ไข่ต้มกับพวกเขาและเขาก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ นี่ใช่พ่อของเขาจริง ๆ เหรอ? หวังว่ามันจะเป็นจริง

ทั้งสามคนไม่รู้ว่า ฉื้อโถว กำลังคิดอะไร พวกเขาแค่คิดว่าเด็กชายคนนี้มีเรื่องมากมายอยู่ในใจ

ครอบครัวเล็ก ๆ ที่กินข้าวกับกะหล่ำปลีผัดชามหนึ่ง ซึ่งอร่อยมากสำหรับพวกเขาทั้งสามที่หิวมานานแล้ว

ฉื้อโถวและเถี่ยโถวไม่ได้กินข้าวสวยมานานแล้ว เมื่อไปบ้านย่าทุกครั้งเขาก็แบ่งกันกินระหว่างซาลาเปาเนื้อหยาบหรือโจ๊กหนึ่งชาม ในตอนนี้ไม่ว่าใครจะมีอะไรอยู่ในใจหรือไม่ทุกอย่างก็จะเก็บไว้คุยกันหลังจากที่กินอิ่มแล้ว

เมื่อชุนหยาอิ่มและเหลือคำสุดท้าย จู่ ๆ เธอก็นึกถึงสุนัขตัวหนึ่งที่อยู่ตรงประตู เธอหยุดกินและนำอาหารที่เหลือของเธอไว้ให้สุนัขตัวนี้ เธอเคยได้ยินพ่อของเธอเล่าถึงที่มาของสุนัขและเธอคิดว่าน่าจะมาอาศัยอยู่ด้วยกันที่นี่ ยังไงซะมันก็คือเพื่อนร่วมโลก

ชุนหยานำอาหารที่เหลือไปที่ห้องครัวเพื่อหาชามที่มีรอยแตกร้าวเพื่อใส่ให้อาหารกับสุนัข เธอจะไม่ใช้ชามที่แตกร้าว และที่บ้านนี้มีแต่ชามแตกหลายใบ บางทีหากไม่ทันระวังอาจจะบาดเอาได้ง่าย ๆ

ฉื้อโถว ต้องตกใจอีกครั้งครอบครัวของเขาแทบจะไม่มีข้าวกินอยู่แล้วแต่น้องสาวของเขายังป้อนข้าวสวยให้สุนัขอีกหรือ? ! เขามองไปที่พ่อแม่ของเขาอีกครั้ง คนหนึ่งกำลังเตรียมล้างจาน และอีกคนกำลังเช็ดโต๊ะด้วยเศษผ้าเก่า ๆ  และพวกเขาทั้งหมดเห็นน้องสาวของเขานั่งยอง ๆ เพื่อให้อาหารสุนัข นี่เป็นเรื่องปกติในบ้านของพวกเขาเหรอ? เป็นไปได้ยังไงที่เธอไม่โดนตีเพราะให้อาหารสุนัข

ฉื้อโถว สงสัยเล็กน้อยว่ามีอะไรผิดปกติกับเขาหรือเปล่า? และเมื่อไหร่เขาจะชินกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าเวลานี้

หลังจากที่พวกเขาทั้งสามคนนี้ฟื้นขึ้นมาครอบครัวเขาก็เปลี่ยนไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด