ตอนที่แล้วตอนที่ 910 ผู้ชนะและพ่ายแพ้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 912 แววตกต่ำของวิหาร

ตอนที่ 911 ต้นทุนเจรจาต่อรอง


ตำหนักกวงหมิง

“รายงานของผู้อาวุโสซีอุสไม่เกินจริงไปหน่อยหรือ เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะหาข้อยืนยันการสู้รบที่ที่ทำการกองทัพตระกูลชิว  แต่สภาวะของการสู้รบต่อมา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโจมตีสุดท้ายของซิ่นได้เห็นประจักษ์กับสายตาของคนหลายคน เรามีการสำรวจจากคนเกิน 60 คนและพวกเขาทั้งหมดให้คำตอบเหมือนกัน เราจัดผู้อาวุโสเจ็ดสิบคนเข้าถึงบันทึกถึงสามพันบันทึกในคืนเดียว และในที่สุดก็ได้รับเป้าหมายที่เป็นไปได้เก้าเป้าหมาย  แต่เรายังไม่สามารถยืนยันสถานะของเขาได้”

“เมื่อพิจารณาถึงเบื้องหลังของซิ่นมีความเป็นไปได้ที่สุดว่าเกี่ยวข้องกับตระกูลกลุ่มการค้าเมซฟิลด์,  เรายังคงสืบดูตระกูลกลุ่มการค้าเมซฟิลด์  ไล่อ่านประวัติศาสตร์ของพวกเขา  แต่เรามีข้อมูลอย่างจำกัดมาก ประวัติศาสตร์ของตระกูลกลุ่มการค้าเมซฟิลด์ยาวนานมาก  บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นสาขาของตระกูลที่มาจากทางเหนือ และตระกูลทางเหนือสามารถสืบย้อนกลับไปได้ถึงสองแสนปี น่าเสียดายที่ความสืบเนื่องกันของตระกูลเมซฟิลด์ไม่อยู่ในสภาพที่ดี  ข้อมูลของพวกเขาไม่ได้เก็บไว้อย่างดีดังนั้นจึงไม่มีข้อมูลที่มีประโยชน์กับเรา”

รายงานของผู้อาวุโสทัฟฟี่มักจะมีรายละเอียดอยู่เสมอ  หน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยย่น  แต่เขายังคงแข็งแรงสุขภาพดี  ดวงตาสีเทาของเขาคมชัด ผมของเขาหวีเรียบ  และชุดสีขาวบริสุทธิ์เข้ากันกับเขาอย่างสมบูรณ์  เขาต่างจากผู้อาวุโสคนอื่นๆที่มีความสุขกับเครื่องประดับสดใสอย่างเช่นอัญมณีที่สว่างแพรวพราว  หรือมีความสุขกับเครื่องแต่งกายที่ประณีตอย่างนั้น  ไม่มีเครื่องประดับเช่นนั้นบนตัวเขา เขาเป็นคนเรียบง่ายเหมือนกับทหารผ่านศึกที่รอรับคำสั่ง

ถ้ามีคนพบเขาเป็นครั้งแรกน้อยคนนักจะรู้ว่าสุภาพบุรุษชราผู้เรียบง่ายนี้คือบุรุษหมายเลขสองของวิหาร

หลังจากฟังรายงานของผู้อาวุโสทัฟฟี่  ประมุขผู้อาวุโสพูดขึ้น  “เจ้าพูดมาตั้งมากมาย  แต่ทั้งหมดนั้นไม่ได้ความอะไรออกมาเลยหรือ?”

ผู้อาวุโสทัฟฟี่สั่น  เหงื่อเยียบเย็นไหลโชกหลังของเขา  เขาก้มศีรษะและกัดฟันกล่าว  “ขอรับ เราไม่พบข้อมูลที่เป็นประโยชน์”

เมื่อประมุขผู้อาวุโสไม่มีใครเหลือเลย  ทัฟฟี่จึงเป็นผู้ช่วยที่เหลืออยู่ของเขา เขาติดตามประมุขผู้อาวุโสมาตั้งแต่เริ่มต้น  และเป็นเวลาเกินกว่าสี่สิบปี  พวกเขาได้รับศักดิ์ศรีและชื่อเสียง  ขณะที่เขาได้รับความไว้วางใจของประมุขผู้อาวุโส เมื่อประมุขผู้อาวุโสกลายเป็นนายใหญ่ของตำหนักกวงหมิง เขาก็เช่นกันได้รับการเลื่อนยศครั้งแล้วครั้งเล่า  และกลายเป็นคนสำคัญอันดับสองในวิหาร

หลังจากติดตามเขามาหลายปี เขาเข้าใจอารมณ์ของประมุขผู้อาวุโสดีที่สุดและไม่ได้ปกปิดอะไร แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความกลัวประมุขผู้อาวุโสก็ตาม  แต่การเพิ่มแรงกดดันจากตัวประมุขผู้อาวุโสทำให้เขากังวลมากซึ่งไม่ได้มาจากนิสัย  แต่เป็นสัญชาตญาณตอบโต้จากร่างกายของเขา

ประมุขผู้อาวุโสยังคงเงียบครู่หนึ่งจากนั้นพูดขึ้น  “บอกซีอุสว่าข้าจะมอบอำนาจเต็มที่ให้เขา  ข้าต้องการพบขุนพลวิญญาณผู้นี้”

“ขอรับ” ทัฟฟี่รับคำขณะสั่นสะท้าน  เขาลังเลเล็กน้อย  “ท่านคิดว่าเขามาจากสวรรค์วิถีหรือ? ข้ากังวลว่าขุนพลวิญญาณนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับขุนพลวิญญาณของสัมพันธมิตรใต้ ถังเทียนแห่งสัมพันธมิตรใต้เองก็มีขุนพลวิญญาณที่ทรงพลังเหมือนกัน”

เสียงของประมุขผู้อาวุโสดังออกมาจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีทองซึ่งสงบและเต็มไปด้วยความมั่นใจ “ตราบใดที่เขาเป็นเพียงขุนพลวิญญาณ นั่นไม่สำคัญ”

ทัฟฟี่พยักหน้า  “ข้าเข้าใจแล้ว  กลุ่มการค้าเมซฟิลเป็นแค่ตระกูลเล็กพวกเขาจะต้องเห็นด้วยกับเราแน่นอน”

“ถูกแล้ว พวกเขาคิดว่าแค่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกันพวกเขาก็สามารถต่อต้านเราได้  พวกเขาคิดเช่นนั้นลงมือในเวลาอย่างนั้น  เราจะไม่ลงมือกับพวกเขา  พวกเขาคิดว่าเราจะร่วมมือกับพวกเขาเพื่อเห็นแก่สถานการณ์โดยรวม”  เสียงของประมุขผู้อาวุโสแฝงไปด้วยท่าทีเย็นชา“โง่เขลาทั้งนั้น”

ทัฟฟี่รู้ว่าประมุขผู้อาวุโสโกรธอย่างแท้จริง  เขารู้สึกได้เช่นกันว่าตระกูลต่างๆเสียสติกันไปแล้ว เพราะพวกเขาสนใจแต่ตัวเอง พวกเขาควรจะเสียสละให้ความสนใจทวีปกวงหมิง ‘พวกเนรคุณเหล่านี้ไม่รู้ว่าถ้าทวีปกวงหมิงแพ้พวกเขาก็จะแพ้ไปด้วย?’

ใช่แล้วพวกเขาเชื่อว่าประมุขผู้อาวุโสจะไม่ยอมให้ทวีปกวงหมิงแพ้  ดังนั้นพวกเขาเชื่อว่าเขาจะต้องยอมตาม แต่พวกเขาไม่เคยคิดว่าประมุขผู้อาวุโสก็มีแผนการเป็นของตนเอง

เขาพูดด้วยความเคารพ  “พวกเขากำลังหาเรื่องตายให้ตนเอง”

“พวกเขาเหมือนซากเน่า, ทัฟฟี่”

เสียงของประมุขผู้อาวุโสก้องดังไปทั่วตำหนักกวงหมิง

“พวกเขาสูญเสียความกล้าและความรุ่งเรืองของบรรพบุรุษของพวกเขาไปแล้ว พวกเขาเป็นแค่หนูแก่ที่หลงอยู่ในความมืดและเอาแต่เล่นแง่  พวกเขาไม่เหมาะจะมีอะไรในตอนนี้แล้ว และพวกเขาจะตระหนักได้ในไม่ช้าว่าทวีปกวงหมิงไม่ต้องการพวกเขา  มีแต่วิหารเท่านั้น  วิหารไม่ต้องการพวกเขาเช่นกัน ยุคสมัยของพวกเขายาวนานเกินห้าร้อยปีก็เกินพอแล้ว  สิ่งที่วิหารต้องการตอนนี้ก็คือเลือดใหม่  ทวีปกวงหมิงต้องการสายเลือดใหม่  เราต้องกำจัดเนื้อร้ายเหล่านี้ออกไป  และต้อนรับชีวิตใหม่!”

ประมุขผู้อาวุโสค่อยๆปรากฏออกมา และราวกับว่าเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์จะรู้สึกถึงอารมณ์ของเขาได้มันปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าจนทำให้เขาแทบจะคล้ายกับดวงอาทิตย์

“ไม่มีใครหยุดยั้งเราได้  รวมทั้งกลุ่มการค้าเมซฟิลด์”

ผู้อาวุโสทัฟฟี่ยอมรับอย่างเต็มใจ  มักจะเป็นเช่นนั้นเสมอมา

***********************

ภายในด้านข้างลานว่างตระกูลหัวที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา

ภายในห้องโถงใหญ่นอกจากตระกูลชิวแล้วประมุขห้าตระกูลใหญ่มารวมตัวกัน การสู้รบที่ค่ายกองทัพตระกูลชิวสั่นสะท้านไปทั้งทวีปเซียน  ด้วยความรวดเร็วของพวกเขาพวกเขารีบเร่งมาทั้งราตรี ไม่มีผู้ใดกล้าชักช้า พวกเขาเพิ่งกลับจากการสังเกตการณ์ดูการสู้รบที่ค่ายกองทัพตระกูลชิว  และสีหน้าของทุกคนตกตะลึง

“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าขุนพลวิญญาณที่ทรงพลังขนาดนั้นจะมีอยู่ในโลกด้วย!  ความพ่ายแพ้ของตระกูลชิวไม่สูญเปล่า”  ประมุขตระกูลม่อ ม่ออี้กู่กล่าว

พวกที่เหลือพยักหน้าเช่นกัน พวกเขาอยู่ในสมรภูมิและเห็นการถูกทำลายล้างของกองทัพตระกูลชิวในเหตุการณ์ทิ้งรอยตราตรึงลึกในใจพวกเขา  ตระกูลชิวถูกทำลายสิ้นเชิงความพ่ายแพ้จากการสู้รบส่งผลต่อตระกูลชิวมากกว่าเคยเป็น  และพวกเขาตัดสินได้ว่าจะนำไปสู่ความสิ้นสุดของตระกูลชิว เมื่อคิดถึงศักดิ์ศรีของตระกูลอันดับหนึ่งต้องล่มสลายไปในลักษณะนั้นทุกคนรู้สึกหงุดหงิด

แต่พวกเขาไม่มีเวลาเสียใจให้กับตระกูลชิว ความกังวลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาก็คือการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬารจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน  และจะส่งผลโดยตรงต่อสถานการณ์

ประมุขตระกูลไวคารี...โฮลไวคารีพูดขึ้น “เราจะต้องคุยกันว่าจะส่งผลกระทบต่อเราอย่างไร?”

หน้าของทุกคนเคร่งเครียด  สถานการณ์เหมือนอยู่บนน้ำแข็งเบาบาง  และการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยจะส่งผลต่อสถานการณ์รวม  สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย

การสูญเสียอย่างหนักของตระกูลชิวเป็นเรื่องที่แย่ที่สุดสำหรับพวกเขา  ห้าตระกูลใหญ่เดิมลดเหลือแค่สี่ตระกูล  และความเข้มแข็งของพวกเขาได้รับผลกระทบอย่างมาก

โฮลไวคารี่พูดต่อ “วิหารได้มีการประชุมกัน แม้ว่าเราจะได้รับคำทักทายมาแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังรวบรวมตระกูลระดับสูงที่มีขนาดเล็กกว่า 300 ตระกูล  ในแง่ขนาดของกองทัพ  เรานับว่าเสียเปรียบ

“นั่นเป็นข่าวเก่าแล้วไม่ใช่หรือที่บอกว่าวิหารพยายามจะใช้ตระกูลระดับสูงขนาดเล็กที่ได้รับเลือกให้มาแทนที่เรา?”  หัวหลิวซางแค่นเสียง  “นับตั้งแต่พวกเขาเริ่มถูกเรียกว่าการได้ยอมรับจากวิหาร  เราก็คาดไว้นานแล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึง เรามาดูขีดความสามารถของเจ้าพวกบ้านนอกนี้กันเถอะ”

“ใครจะรู้พวกเขากำลังเก็บงำความฝันแทนเราก็ได้ พวกเขาเป็นคนที่โง่อย่างแท้จริง” ม่ออี้กู่ส่ายศีรษะ “เมื่อวิหารผิดสัญญาตอนนั้น พวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่สามารถเก็บตระกูลพวกเขาไว้ต่อไปได้ พวกเขาต้องการเป็นจ้าวครองทวีปหมิงกวงแต่เพียงผู้เดียว พวกเขาจะสามารถตัดสินได้ว่าใครจะอยู่ใครจะตาย  พวกกลุ่มกระสุนมนุษย์ไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึง”

“พวกกระสุนมนุษย์ก็เหมาะจะเป็นประสุนมนุษย์ต่อไป”  หัวหลิวซางแค่นเสียง

โฮลเตือนทุกคน  “กลุ่มการค้าเมซฟิลด์ไม่ใช่กระสุนมนุษย์  ขุนพลวิญญาณระดับพลเอกของพวกเขาเราไม่เคยได้ยินมาก่อน และกระบี่นั่น นั่นคือสมบัติที่น่ากลัวอย่างมากมันสามารถทำลายกองทัพตระกูลชิวได้ เราสามารถบอกได้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขายากจะหยั่ง เราจำเป็นต้องดึงกลุ่มการค้าเมซฟิลด์มาอยู่ฝ่ายเรา

“ข้าเห็นด้วย” ม่ออี้กู่พยักหน้า “ขุนพลวิญญาณที่ทรงพลังอย่างนั้นจะต้องมีกองทัพที่ไร้เทียมทาน  ถ้าพวกเขาตกไปอยู่ในมือของวิหาร  เราจะตกอยู่ในอันตราย  ใครมั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้บ้าง?”

ไม่มีใครส่งเสียง

ทุกคนในตอนนี้คือตระกูลระดับสุดยอด  พวกเขามีกองทัพที่มีพลังและอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์ แต่ไม่มีใครกล้ายืดอกกล่าวอ้างว่าพวกเขาสามารถเอาชนะขุนพลวิญญาณนั้นได้

ซาดราครอฟท์ยังคงเงียบอยู่ตลอดเวลาพูดขึ้น “ไม่ว่าเขาต้องการอะไรก็ทำให้เขาพอใจ”

ซาดรามีศักดิ์ศรีสูงสุดในบรรดาสี่ตระกูล  เมื่อเขาพูด ความเห็นของทุกคนก็กลายเป็นหนึ่ง

“ถ้าเขาพูดถึงสิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้  ก็ต้องเป็นเราที่เปิดพื้นที่”  โฮลรู้สึกถึงเรื่อปวดหัวที่จะตามมา

ซาดรามองหัวหลี่รั่วที่อยู่ด้านหลังหัวหลิวซางทันที  “เจ้าบอกว่าขุนพลวิญญาณนั้นคำนับใครบางคน?  เขาเป็นใคร?”

หัวหลี่รั่วพยายามนึกถึงฉากภาพและกล่าว  “ถูกแล้วเวลานั้นผู้อาวุโสซิ่นคำนับผู้นำกองพลหน้ากากเหล็กและเรียกเขาว่านายผู้ชายและเรียกตัวเองว่าข้าน้อย”

ตาของเขาเป็นประกายเหมือนกับรำคาญ‘ใช่แล้ว ข้าลืมรายละเอียดสำคัญอย่างนั้นไปได้ยังไง’

“กองพลหน้ากากเหล็ก กลุ่มการค้าเมซฟิลด์บุรุษคนนั้นคือกุญแจ”  ซาดราพูดอย่างเฉื่อยชา “ข้าเชื่อว่าเขาสามารถเห็นสถานการณ์ทั้งหมดได้ชัดเจน  นอกจากนี้เขาสามารถควบคุมขุนพลวิญญาณที่ทรงพลังขนาดนั้นได้ เขาคงจะสนใจในข้อเสนอของวิหารแน่นอน”

หัวหลิวซางตาเป็นประกาย  “ท่านหมายความว่า....”

ทุกคนคิดอย่างเดียวกันทันที  และพวกเขาตื่นเต้น

เมืองหิมะขาวเพิ่งจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนคนที่มีเกียรติมีชื่อเสียงต่างก็มุ่งหน้าไปที่นั่นสถานที่ชุมนุมกันมากที่สุดก็คือร้านค้าของกลุ่มการค้าเมซฟิลด์  ทุกคนรู้ว่ากลุ่มการความเมซฟิลด์มีคุณค่าในขณะนั้นมากเพียงไหน

วิหารและห้าตระกูลชั้นสูงเอ่อ.. ตอนนี้เหลือสี่ตระกูล ทั้งหมดพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อผูกสัมพันธ์กับตระกูลเมซฟิลด์  นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือว่านี่จะกลายเป็นจุดวิกฤติที่สุดสำหรับสงคราม  ไม่ว่ากลุ่มการค้าเมซฟิลด์เลือกฝ่ายไหน  ฝ่ายนั้นจะมีโอกาสชนะสูง

ผู้มาเยี่ยมเยียนจำนวนมากและของขวัญคารวะที่อาคันตุกะชั้นสูงนำมาทำให้กลุ่มการค้าเมซฟิลด์แทบล้นทะลัก  ทั้งสองฝ่ายระดมความพยายามเพื่อช่วยธุรกิจให้กับตระกูลเมซฟิลด์  ทั้งกระตุ้นทั้งอวดอ้างฝ่ายตน พวกเขาทำสัญญาธุรกิจกระตุ้นกิจการเป็นกระแสไม่หยุดหย่อน

ร้านอาหารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามร้านก็เต็มไปด้วยผู้คนเช่นกัน

“เฮ้,เจ้าคิดว่าประมุขตระกูลกุสตาสทำงานให้ใคร?”

“น่าจะเป็นวิหาร  เขาเป็นประมุขตระกูลคนใหม่”

“คนผู้นั้นดูคุ้นๆ, เอ่,ข้าจำไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร”

“ข้าคิดว่าเขาคือประมุขตระกูลคอนสแตนติน”

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ใช่แล้ว...”

ทุกคนเฝ้ามองกิจกรรมที่คึกคัก  และทำงานอย่างยินดี  เมืองหิมะขาวไม่ใช่ระดับประเทศ  แต่พวกเขาไม่เคยเห็นคนสำคัญปรากฏตัวมาก่อน  มีบ้างที่ได้ยินจากกลุ่มคนเป็นครั้งคราวและตอนนี้คนดังมีชื่อเสียงจะมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา

ผู้คนตื่นเต้นกับโลกที่แปรปรวน  ในช่วงเวลาสั้นๆตระกูลระดับสูงกลับกลายเป็นกุญแจตัดสินอนาคตของทวีปกวงหมิง

กลุ่มการค้าเมซฟิลด์จะเลือกเข้าร่วมกับใคร?  ทุกคนสงสัยและกังวล นอกจากตระกูลต่างๆ ที่มีจุดยืนของพวกเขาแล้ว  ทุกคนต้องการให้สถานการณ์กระจ่างโดยเร็ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด