ตอนที่แล้วบทที่ 25: เมื่อไม่มีหนี้จึงรู้สึกเบา! หลินเฟินกังวล!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 27: โคตรสุดเลเวล 3! งานนี้ต้องดังระเบิดแน่!

บทที่ 26: โล่งใจ! อิจฉาลูกของคนอื่น!


“เฮ่อ~”

หลินเฟินถอนหายใจและไม่ลืมที่จะเตือนฉินหลินว่า “เปิดแล้วอย่าลืมให้แม่ไปช่วยด้วยล่ะ  อย่างน้อย ๆ แม่ก็ช่วยลูกต้อนรับแขกได้นะ”

“โธ่แม่ก็  ผมจะให้แม่ไปรับแขกได้ไงกันเล่า!” ฉินหลินพูดทันที

“ถึงแม่จะสุขภาพไม่ดี  แต่มีลูกชายเป็นนักธุกิจแม่ก็กลับมาแข็งแรงได้ย่ะ!” หลินเฟินขึ้นเสียงอย่างมีน้ำโห

“เด๋วผมล้างจานให้นะ!” เมื่อฉินหลินได้ยินคำพูดของหลินเฟินเขาก็ยิ้มออกมา

การมีแม่นี่มันดีจริง ๆ ด้วย

กินข้าวเย็นเสร็จฉินหลินก็เก็บจานไปล้าง

“เฮ่อ~”

หลินเฟินมองลูกชายของตนที่วิ่งวุ่นทั้งวันแล้วกลับมายังต้องล้างจานอีกก็ได้แต่ถอนหายใจอีกรอบ  ลูกชายของเธอฉลาดมาตั้งแต่เด็ก  เมื่อเทียบกับเด็กรุ่นเดียวกันแล้วเขาถือว่าลำบากลำบนเกินไป  ในฐานะผู้ปกครองแล้วเธอก็ได้แต่โทษตัวเองอยู่ทุกวี่ทุกวัน

หลังจากล้างจานแล้วฉินหลินก็นึกถึงเจ้าหนี้และไม่ลืมที่จะบอกแม่ “แม่ครับ  ผมเชิญอาเอ้อเกินกับพวกอา ๆ เจ้าหนี้คนอื่น ๆ มาบ้านนะ  อีกไม่นานก็คงมาถึงแล้วล่ะครับ…”

หลินเฟินเบิกตากว่างด้วยความตกใจ  อยากจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมาแต่

“ตืดดดดดดดดดดดดดดด”

เสียงออดประตูดังขึ้นมาซะก่อน  เธอรีบรุดไปเปิดประตูให้และมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าขม ๆ “มาแล้วเหรอเอ้อเกิน”

อีกฝ่ายเป็นเจ้าหนี้ของครอบครัว  ครอบครัวเป็นหนี้เขา 30,000 หยวน

สิ่งที่เธอกลัวที่สุดในตอนนี้คือการเจอเจ้าหนี้เหล่านี้นี่แหล่ะ  ไม่ได้กลัวเพราะพวกเขาน่ากลัว  แต่กลัวเพราะละอายใจที่ไม่มีเงินคืนให้คนใจดีเหล่านี้จริง ๆ

“หวัดดีเน้อหลินเฟิน”

ฉินเอ้อเกินทักทายหลินเฟินและถามว่า “หลินจื่อล่ะกลับมายัง?”

“เสี่ยวหลิน  อาเอ้อเกินของลูกมาแล้วน้า~” ไม่ว่าหลินเฟินจะรู้สึกขมขื่นเพียงใดเธอก็ทำได้เพียงเชิญเขาเข้ามาอย่างร่าเริง

เมื่อก่อนเธอเคยยืมเงินเขามารักษาสามี  แม้ว่าจะช่วยชีวิตเขาไม่ได้ก็ตาม  แต่หนี้ที่ยืมมาก็ไม่อาจที่จะไม่คืน  คนเราต้องมีมโนธรรมสำนึก

ทันทีที่เธอให้การต้อนรับฉินเอ้อเกินอยู่นั้นจู่ ๆ ก็มีเสียงที่ฟังดูประหลาดใจดังขึ้น “อ่าวเอ้อเกินเองก็มาด้วยเรอะ?”

ฉินเอ้อเกินหันไปยิ้มทักทายคนคนนั้น “ไงต้าหลิน  นายก็มาด้วยเหรอเนี่ย?  สแน็คบาร์เป็นไงมั่งอะ?”

“ยังอยู่ระหว่างปรับปรุงอะ” ฉินต้าหลินตอบด้วยรอยยิ้ม

ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันก็มีอีกคนตามหลังเข้ามา

“อ่าว  เอ้อเกิน  ต้าหลิน  พวกนายมาด้วยเรอะ?”

“นายนั่นแหล่ะมากะเขาด้วยเรอะ!?”

หลินเฟินถอนหายใจเงียบ ๆ คนเหล่านี้คือคนที่ให้ครอบครัวเธอยืมเงินในตอนนั้น  ลูกชายของเธอเชิญคนเหล่านี้มาจริง ๆ ด้วย

ลูกหนี้มักจะกลัวเจ้าหนี้มาที่บ้าน  และเมื่อเจ้าหนี้มาบ้านก็ต้องต้อนรับกันอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง

เธอฝืนยิ้มและเชิญคนทั้งหมดเข้ามาในห้องก่อน  จากนั้นก็หยิบแก้วเปล่ามารินน้ำให้กับทุก ๆ คน

พวกฉินเอ้อเกินเข้ามานั่งปุ๊บก็เต็มห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ แล้ว  เจ้าหมาวั่งไฉเห็นว่ามีคนมากันเยอะมันก็สะดุ้งตกใจรีบไปตามฉินหลินในครัวทันที

เมื่อฉินหลินออกมาและเห็นพวกฉินเอ้อเกินเขาก็เอ่ยปากต้อนรับ “อาเออร์เกน  อาต้าหลิน…”

เขารู้สึกขอบคุณเจ้าหนี้เหล่านี้มาก ๆ เมื่อตอนที่พ่อของเขาได้รับผลการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง  คนเหล่านี้แหล่ะที่ให้ครอบครัวเขายืมเงินไปรักษา  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขาอาจกลายเป็นเด็กกำพร้าและแม่อาจกลายเป็นแม่ม่ายซึ่งไม่สามารถหาเงินมาจ่ายคืนได้

แต่พวกอาเอ้อเกินก็ยังอุตส่าห์ใจดีให้ยืมเงินโดยไม่มีข้อแม้  น้ำใจของพวกอา ๆ ทั้งหลายเหล่านี้ถือเป็นพระคุณอย่างสูงในชีวิตฉินหลินเลยจริง ๆ

ที่สำคัญคือเขาเรียนจบมาปีกว่าแล้วก็จริง  แต่ทุก ๆ คนต่างก็รู้ว่าสำหรับพวกเขาแม่ลูกแล้วเรื่องมันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น  ยังไงก็ยังเป็นแค่เด็กกำพร้าพ่อกับหญิงม่ายคนหนึ่งอยู่ดี  จึงไม่มีใครมาเร่งรัดทวงหนี้

บางครั้งฉินหลินยังถึงกับรู้สึกอิจฉาพ่อตัวเองด้วยซ้ำ  เพราะไม่ใช่ทุกครอบครัวหรอกที่จะรักกันได้แบบนี้

หรือก็คือความรู้สึกอันลึกซึ้งของคนรุ่นเก่าที่คนรุ่นใหม่ไม่มี

คนหนุ่มสาวยุคใหม่ล้วนถูกกัดเซาะด้วยความกดดันของชีวิตและค่านิยมทางสังคมที่เกินจำเป็นจนหัวใจไม่แข็งแกร่งพอที่จะสามารถจัดการกับอารมณ์ด้านลบมากมายที่ประเดประดังเข้าใส่ได้

เมื่อฉินเอ้อเกินเห็นฉินหลินเขาก็เอ่ยปากชื่นชมออกมาจากใจ “เสี่ยวหลินนี่เก่งจริง ๆ เลยเน่อ  ดีกว่าไอ้พวกเด็กไม่เอาถ่านในหมู่บ้านเราตั้งเยอะ”

ฉินต้าหลินพยักหน้าเห็นด้วย “เสี่ยวหลินน่ะเป็นเด็กที่มีเหตุมีผลตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว  ถ้าไอ้ลูกบัดซบบ้านฉันมันฉลาดเฉลียวได้ซักครึ่งนึงของเธอบ้างล่ะก็ฉันคงไม่ต้องมานั่งถอนหายในเฮือก ๆ ๆ เพราะมันอย่างทุกวันนี้ร้อก”

คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดที่ให้การยอมรับออกมาจากใจ

ฉินหลินเป็นเด็กคนเดียวในหมู่บ้านที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ ได้  ส่วนพวกเด็กคนอื่น ๆ น่ะเหรอ  ก็สำมะเลเทเมาไปเรื่อย  ฉินหลินจะโชคร้ายก็เรื่องครอบครัวที่ต้องล้มลุกคลุกคลานนี่แหล่ะ

หลินเฟินที่ได้ยินคนชมลูกชายตัวเองในฐานะคนเป็นแม่แล้วมันมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกจริง ๆ แต่แล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่  เพราะโทษว่าพวกเธอพ่อแม่เป็นคนฉุดลูกให้ตกต่ำแท้ ๆ

ฉินเอ้อเกินเอ่ยปากชมฉินหลินแล้วหยิบใบสัญญาเงินกู้ออกมาให้หลินเฟิน “อะนี่หลินเฟิน  นี่ใบสัญญาของฉันเน่อ”

“นี่ของฉัน” ฉินต้าหลินเองก็เอาออกมาด้วย

คนอื่น ๆ ต่างก็หยิบใบสัญญาเงินกู้ออกมาวางบนโต๊ะ

ที่ต้องเอามาเพราะว่าฉินหลินบอกเองว่าจะจ่ายเงินคืน

หากหนี้สินได้รับการชำระแล้ว  ใบสัญญากู้เงินต้องถูกทำลายลงต่อหน้าทั้งสองฝ่ายตามประเพนีโบราณ

เมื่อหลินเฟินเห็นใบสัญญาเงินกู้ที่กองสุมอยู่ก็แทบจะเป็นลม  รู้สึกเหมือนท้องฟ้าจะถล่ม

ตัวเธอน่ะไม่สามารถจ่ายได้จริง ๆ และเธอก็รู้ว่าลูกชายไม่ได้มีเงินเหลือมากมายอะไรเพราะเอาไปลงทุนกับบ้านไร่หมดแล้ว  เพราะงั้นเขาเองก็ต้องจ่ายไม่ไหวอยู่แล้ว

“ทุกคน...  คือ...  ฉัน...” หลินเฟินอยากจะพูดอะไรออกมาแต่ก็จุกอยู่ในอกจนพูดอะไรไม่ออก

ฉินหลินเห็นหน้าแม่หมอง ๆ ก็รีบออกหน้าทันที “แม่ครับ  ผมเป็นคนเชิญให้พวกอา ๆ มาเอง  เพราะงั้นผมมีเงินจ่ายคืนอยู่แล้วครับ”

ฉินหลินขยับไปนั่งใกล้ ๆ แม่แล้วจับมือปลอบโยน  จากนั้นก็หยิบเอาใบสัญญาขึ้นมาอย่างเบามือแล้วบอกว่า “พวกอาได้เอามือถือมามั้ยครับ?  เดี๋ยวผมโอนเงินเข้าบัญชีให้เลย”

คำพูดเหล่านี้ทำให้หลินเฟินตกตะลึง  เธอมองลูกชายของตนอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ลูกชายเนี่ยนะมีเงิน?  แถมยังมีเยอะขนาดจะเอามาจ่ายหนี้ทั้งหมดรวดเดียวทุกคนด้วย?

แล้วไปหาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหน?  หามาตั้งแต่เมื่อไหร่?

ในขณะนี้พวกฉินเอ้อเกินเองก็เอามือถือของตัวเองออกมา

“เอามา ๆ”

“โอย  ยุคนี้แล้วใครบ้างไม่มีมือถือ?”

“ช่าย ๆ แต่ว่าจะจ่ายรวดเดียวเลยจริงเหรอ?”

ฉินหลินไม่ลังเลเขาหยิบใบแจ้งหนี้มาดูทีละใบ ๆ แล้วก็โอนเงินให้ตามจำนวนผ่านทางมือถือจนครบในชั่วพริบตา  ซึ่งเงินสามแสนกว่าในบัญชีก็หายวับไปด้วยทำให้ยอดเงินคงเหลือในบัญชีของเขาเลื่อนกลับไปสู่สถานะยาจกอีกรอบ!

ทว่าหลังจากที่จ่ายไปแล้วกลับรู้สึกเบาสบายเหมือนยกภูเขาออกจากอก  และสำหรับความเมตตากรุณาของพวกอา ๆ ทั้งหลายเขาก็ว่าจะพาไปเลี้ยงข้าวดี ๆ ซักวันหนึ่ง  และหากพวกเขามีอะไรขาดเหลือก็จะค่อย ๆ ตอบแทนกันไปในอนาคต

พวกฉินเอ้อเกินที่ได้เห็นยอดเงินเข้าบัญชีมาแล้วต่างก็หน้าบานกันทุกคน

จริง ๆ พวกเขาไม่เคยคิดที่จะเร่งรัดทวงหนี้แม่ลูกคู่นี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว  แต่เมื่อฉินหลินคืนเงินทีเดียวทั้งหมดมันก็อดยิ้มแฉ่งขึ้นมาไม่ได้

ทุกครอบครัวต่างก็มีปัญหาของตัวเอง  และด้วยเงินจำนวนนี้มันจะทำให้อะไร ๆ ดีขึ้นมากเลยเชียวล่ะ

พวกเขาต่างก็มองหลินเฟินด้วยความรู่สึกอิจฉา  เพราะแม้ครอบครัวจะล้มลุกคลุกคลานแต่เธอก็มีลูกชายที่แสนประเสริฐ  น่าอิจฉามากจริง ๆ นะ

ฉินหลินเองก็ช่างน่าทึ่ง  เขาไม่ได้แค่เอาแต่ให้พ่อแม่คอยช่วยเหลือ  แต่พอโตแล้วยังช่วยเหลือพ่อแม่อีกด้วย  ถึงขนาดปลดหนี้หลายแสนหมดในเวลาอันรวดเร็วได้

พ่อแม่คนไหนบ้างไม่อยากให้ลูกมีความสามารถแบบนี้?

หลินเฟินที่ยังอึ้ง ๆ อยู่ก็รับรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาด้วยอารมณ์ที่หลากหลายได้อย่างชัดเจน

พวกฉินเอ้อเกินก็ไม่ได้อยู่รบกวนสองแม่ลูกต่อ  หลังจากชื่นชมฉินหลินเสร็จแล้วก็กล่าวคำอำลา

ฉินหลินเดินลงมาส่งพวกอา ๆ ถึงชั้นล่างและเปิดผ้าใบที่คลุมถังใส่ปลาหลังรถสามล้อบรรทุกบุโรทั่ง  จากนั้นก็มอบปลาป่าที่เอามาให้กับพวกอา ๆ แทนคำขอบคุณเล็ก ๆ น้อยที่อีกฝ่ายเคยเมตตาพวกตนแม่ลูกมาก่อน

“เสี่ยวหลิน  นี่มัน...  ปลาป่างั้นเหรอ?”

พวกฉินเอ้อเกินประหลากใจหน่อย ๆ

“แทนคำขอบคุณเล็ก ๆ น้อย ๆ น่ะครับ  ปลาป่าพวกนี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง  อาเอาไปแกล้มเหล้าล่ะก็แซบอย่าบอกใครเลยนะขอบอก”

“ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้หน่า  เสี่ยวหลินล่ะก็”

“...”

พวกฉินเอ้อเกินมีความสุขมากอย่างเห็นได้ชัด  ปลาป่าพวกนี้มีแต่ตัวใหญ่ ๆ ต้องหายากมากแน่เลย

หลังจากที่ฉินหลินส่งพวกฉินเอ้อเกินเสร็จแล้วเขาก็หยิบใบสัญญาเงินกู้ขึ้นมา  ใบสัญญาเหล่านี้ที่แม่เขาไปเซ็นต์กู้มา  ซึ่งเวลานั้นเขาก็อยู่ด้วย  และตอนนี้เขาได้เอาทั้งหมดกลับมาแล้ว...  มันช่าง...  ยาวนานจริง ๆ

จากนั้นเขาก็เดินไปที่หน้ารูปของพ่อแล้วเผาใบสัญญาเหล่านั้นเป็นเถ้าถ่านในพริบตาเดียว  หนี้สินที่เคยเป็นเหมือนภูเขาที่คอยทับอกจนจะหายใจก็ยังลำบาก

เพราะเกมฮาร์เวสต์มูนนี้  ในที่สุดเขาก็สามารถหลุดพ้นจากหล่มเหวแห่งความขมขื่นได้ซักที

ทางด้านหลินเฟินยังคงรู้สึกกังวลอยู่  เมื่อเห็นลูกชายว่างแล้วเธอเลยรีบถามทันที “เสี่ยวหลิน!  บอกแม่มาเด๋วนิ  ลูกค้าหรือว่าเสพ!”

นี่เป็นสิ่งที่เธอกังวลมากที่สุด  ไม่สำคัญว่าลูกจะรวยหรือจน  ที่สำคัญเลยคือต้องไม่เดินทางผิด

ฉินหลินเองก็เดาว่าแม่คงจะกังวลแต่ก็ไม่นึกว่าจะถามแบบนี้  แต่เขาก็คิดข้อแก้ตัวเอาไว้แล้วว่า “มาค้ามาเสพอะไรกับล่ะคร้าบ  แม่ก็  จริง ๆ แล้วผมบังเอิญจับปลาสวยงามที่มีในธรรมชาติได้  ปลาสวยงามป่าน่ะแม่รู้จักมั้ย?  แล้วผมก็เอามันไปขายได้มาตั้งหกแสนกว่าเลยเชียวนา”

“แล้วผมก็เอาตังค์ไปทำขายส่งคือไปหารับแตงโมมาขายแล้วก็ได้กำไรอีก  พอกำไรมันทบ ๆ กันมากเข้า ๆ ก็เลยเอาไปลงทุนทำบ้านไร่  ที่เหลือก็เอามาจ่ายหนี้นี่แหล่ะ”

เห็นได้ชัดเลยว่าไม่เนียน

เพราะไทม์ไลน์เรื่องปลากับเรื่องขายส่งมันสลับกันมั่ว

“ปลาอะไรที่ไหนมันจะแพงขนาดนั้น?” หลินเฟินไม่อยากเชื่อ

“เห็นว่าชื่อปลาเสือตอเผือกอะ  ผมก็ไม่รู้นะว่ามันมีดีอะไรแค่สวยดีเท่านั้นเอง  แต่คนรวยที่มาซื้อน่ะสิยอมควักตังค์จ่ายเด๋วนั้นเลยนะแม่  แถมตอนถือกลับปลากลับบ้านยังทำหน้าหื่น ๆ เหมือนได้อุ้มนางฟ้ากลับบ้านอีกตะหาก” ฉินหลินอธิบาย

แล้วก็หยิบเอามือถือมาโชว์ให้ดูบันทึกการเสียภาษีตอนซื้อขายปลาสวยงาม

หลินเฟินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อ  แม้ใบหน้าของเธอจะยังเต็มไปด้วยความไม่เชื่ออยู่ก็ตามที “มีปลาราคาแพงขนาดนั้นด้วยเหรอ?  พ่อของลูกต้องอำนวยอวยพรให้ลูกจับมันได้แน่ ๆ เลย”

รอยยิ้มที่หายไปนานได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินเฟินอีกครั้ง  ดูเหมือนครั้งนี้เธอจะผ่อนคลายสบายใจเรื่องหนี้สินไปแล้วจริง ๆ

ฉินหลินที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของแม่ก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้

“ว่าแต่เสี่ยวหลิน  แล้วบ้านไร่ที่ลูกยุ่ง ๆ อยู่ก็ไม่ใช่บ้านไร่ราคาสามสี่หมื่นน่ะสิ  ใช่มั้ย?” หลินเฟินถามอีกรอบเพราะพึ่งนึกขึ้นได้

“ครับ  บ้านไร่ไม่ใช่เล็ก ๆ” ฉินหลินพยักหน้าตอบ

แล้วหลินเฟินก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา “งั้นลูกรีบไปอธิบายให้โม่ชิงฟังเลยนะ!  ก่อนหน้านี้เธอมาเยี่ยมแม่แล้วแม่เห็นว่าลูกยังไม่ได้เล่าให้เธอฟัง  แม่ก็คิดว่าลูกจะทำบ้านไร่เล็ก ๆ ซักประมาณสามสี่หมื่นแต่ก็ยังไม่กล้าบอก  แม่เลยบอกให้โม่ชิงรอให้ลูกไปบอกเธอเอง”

“โม่ชิงเป็นเด็กดีมาก  ลูกห้ามทำให้เธอผิดหวังเด็ดขาดเชียว  อย่าให้ใครมาพรากเธอไปจากแม่ได้นะ  แม่ยอมรับแค่โม่ชิงคนเดียวเป็นลูกสะใภ้  ส่วนคนอื่นแม่ไม่เอา!”

“เอ่อ…!” ฉินหลินตกตะลึง  ที่เขาไม่ได้บอกโม่ชิงก็เพราะกะจะทำเซอร์ไพรส์เธอเรื่องทะเลเฟื่องฟ้าตะหาก!  แล้วแม่เล่นใจร้อนพูดไปเรื่อยเจื้อยแบบนี้ได้ไงอะ?

5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด