ตอนที่แล้วตอนที่ 801 กระบี่คู่รู้แจ้ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 803 สำเร็จ

ตอนที่ 802 กระบี่พญาเขียวใหม่


กระบี่พญาเขียวในมือของท่านหน้ากากผีพลันเปล่งรัศมีแพรวพราวทันทีเกิดเป็นบอลแสงหนึ่งใหญ่และหนึ่งเล็ก

บอลแสงสีเขียวเป็นประกายแพรวพราวจับตาทุกคน  ชั้นระลอกพลังที่รุนแรงปรากฏออกมารอบตัวนายท่านพลังผันผวนที่อธิบายไม่ถูกกระจายออกมาอย่างรวดเร็วไปในทุกตำแหน่ง  ฝูเจิ้งจือรู้สึกตัว  ‘อวกาศผันผวน!’

พลังผันผวนรุนแรงก็หมายความว่ามิติรอบๆปั่นป่วนอย่างมาก

มิติใดๆที่ปั่นป่วนจะน่ากลัวน่าสยดสยองสำหรับนักสู้ทุกคน

หน้าของฝูเจิ้งจือบิดเบี้ยว  เขาลอยตัวออกมาและดึงตัวพยายามหลบหนี  ถ้าเขาถูกดึงดูดเข้าไป  เขาอาจถูกตัดเป็นชิ้น

เพียงแต่หลังจากถอยออกมาเกินสามสิบเมตรเขาจึงหยุดได้เขาหันไปมองท่านหน้ากากผีทันทีด้วยความหวาดกลัวในใจ  ทั่วทั้งค่ายทหารสั่นสะเทือน ทหารทุกคนเผ่นหนีออกมาและเมื่อมองฉากภาพข้างหน้า  พวกเขาตะลึง

“เกิดอะไรขึ้น?”  จี๋เจ๋อถามพร้อมกับทำหน้าประหลาดใจ

“ข้าไม่รู้”  ฝูเจิ้งจือมองดูตกตะลึง สายตาของเขาจับนิ่งดูที่บอลแสงสีเขียวหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กในมือของเจ้านาย  ระลอกพลังที่เปล่งออกมาไม่หยุดหย่อนมาจากบอลทั้งสอง

‘นั่นคือกระบี่พญาเขียวจากตระกูลข้าหรือ?’

กระบี่พญาเขียวเป็นสมบัติตกทอดของตระกูลฝูซึ่งเขาได้รับมาเมื่อเขายังอายุน้อย  หลังจากใช้มันมาหลายปี เขาคิดว่าเขามีความรู้เกี่ยวกับมันอย่างสมบูรณ์ แต่กระบี่พญาเขียวในมือของเขาไม่เคยสร้างภาพอย่างที่เห็นข้างหน้า  หรือจะเป็นเพราะว่ากระบี่เลือกเจ้าของที่สมควร?

‘หรือว่ากระบี่พญาเขียวยังมีความลึกลับอื่นที่ยังค้นไม่พบ

เมื่อคิดดูแล้ว ฝูเจิ้งจือถึงกับตื่นเต้น  แต่เขารู้สึกวิตก  ‘ถ้ากระบี่พญาเขียวก่อนนี้เป็นที่ต้องตาของเจ้านายแล้วละก็..อย่างนั้นเขาไม่ควรสนใจกับความก้าวหน้าของกระบี่พญาเขียวไม่ใช่หรือ?’

แสงรัศมีเปล่งออกมาจากกระบี่ยิ่งสว่างเจิดจ้ามากขึ้นกฎอวกาศผันผวนยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้น ร่างของถังเทียนลอยจากพื้นขึ้นไปในอากาศ

ความปั่นป่วนคงอยู่หนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะสงบ  และกระบี่พญาเขียวรั้งรัศมีกลับคืน

ถังเทียนลงมาอยู่ที่พื้นและโยนกระบี่พญาเขียวให้ฝูเจิ้งจือ  “เอาไปพิสูจน์ดูด้วยตัวเอง”

ฝูเจิ้งจือรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกทันที  เขาคว้ากระบี่และตอบรับอย่างปลาบปลื้ม“ขอบคุณนายท่าน!”

นับแต่เขารู้แจ้งเกราะเทพเจ้า  เขาก็ได้รับความรู้กฎธรรมชาติประเภทต่างๆทั้งวันทั้งคืน ความเข้าใจกฎธรรมชาติของเขาอยู่เหนือคนอย่างฝูเจิ้งจือและจี๋เจ๋ออย่างมากมาย  แต่หลังจากเห็นประจักษ์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น  เขาตกใจทันที สายใยแสงเขียวที่งอกออกมาในความเป็นจริงก็คือกฎธรรมชาติ ซึ่งก็หมายความว่ากฎธรรมชาติสามารถเติบโตได้อย่างนั้นหรือ? ใยแสงที่งอกในมิติอิสระอาจถือว่าเป็นการควบรวมกฎธรรมชาติ

ความคิดนับไม่ถ้วนผุดผ่านเข้ามาในใจของเขา  เขาไม่ได้ทักทายใครและหายวับไป

เขาต้องการเวลาย่อยซึมซับความรู้

“เล่าฝู..เอ่อ..มาให้พี่น้องของเราได้เห็นประจักษ์ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

จี๋เจ๋อเดินเข้ามาด้วยความสงสัย  ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น สมาชิกอื่นๆก็มารวมตัวกัน  ความสับสนวุ่นวายทุกคนต่างก็ได้เห็น  ถ้าพวกเขาบอกว่าไม่สนใจก็คงเป็นการโกหก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายคนเป็นชาวเมืองพายุพวกเขาจะไม่เคยเห็นกระบี่พญาเขียวมาก่อนได้ยังไง?

ฝูเจิ้งจือเองก็เต็มไปด้วยความสงสัย

กระบี่พญาเขียวมีการเปลี่ยนแปลงภายนอกไปมาก สีเขียวเข้มแต่เดิมกลายเป็นสีเขียวเหมือนกับหยก  ตัวกระบี่คลุมไปด้วยเส้นตารางสีเขียวเข้มเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนง่ายๆ ท้ายด้ามกระบี่มีวงกลมสองสามวงซึ่งเป็นขนคล้ายกับพืชน้ำส่ายไหวอย่างนุ่มนวล  แต่ลักษณะโดดเด่นเฉพาะที่สุดก็คือเส้นสายเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่สม่ำเสมอ

ทุกคนอดประหลาดใจไม่ได้

ฝูเจิ้งจือตกใจอย่างหนักเนื่องจากกระบี่  พลังผันผวนจากกระบี่พญาเขียวกลายเป็นสิ่งไม่คุ้นเคยสำหรับเขามาก ถ้าไม่ใช่เพราะกระบวนการทั้งหมดเกิดขึ้นต่อหน้าเขา  เขาไม่มีทางเชื่อว่ากระบี่คู่ที่อยู่ต่อหน้าเขาคือกระบี่พญาเขียวดั้งเดิมของเขา

กฎอวกาศที่ปั่นป่วนทำให้หัวใจของทุกคนเต้นแรงจนสังเกตได้เลือนราง

ฝูเจิ้งจือที่มีประสบการณ์กับพลังผันผวนยกกระบี่สั้นในมือซ้ายทันทีและตวัดออกไป

กระบี่สั้นหายไปในกลางอากาศ

ครู่ต่อมาในพื้นที่สนามฝึกฝนห่างออกไป 800เมตร  เกิดระเบิดเป็นหมอกเขียวทันที

หมอกเขียวกระจายตัวอย่างรวดเร็วในพริบตาทั่วทั้งสนามฝึกก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกเขียว

ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนพวกเขาได้รับการฝึกฝนในสนามฝึกฝนมาหลายวัน และรู้ดีแก่ใจถึงความยาวของสนามฝึก  สนามฝึกรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีความยาว 3กิโลเมตร และมีแผ่นหินบนพื้นหนา 1.5 เมตร

หมอกเขียวไม่สลายลงแม้แต่น้อยและมองดูเหมือนกับทะเลหมอกเขียว

ฝูเจิ้งจือโบกมือทะเลหมอกเขียวที่คลุมทั่วสนามฝึกฝนสลายไปทันที หมอกเขียวนี้สามารถปรากฏและหายได้โดยไม่มีคำเตือน

“ใครก็ได้เรียกสายลมกระโชก”

คนที่พูดก็คือฝูเจิ้งจือผู้มีความประหลาดใจอยู่ในใบหน้า

กฎธรรมชาติลมเป็นกฎทั่วไปและมีคนฝึกกฎธาตุลมมากที่สุด มีใครบางคนเรียกพลังสายลม

พื้นหินที่หนาซึ่งคลุมไปทั้งสนามฝึกค่อยๆลดขนาดลงเหมือนทรายและพอถูกลมพัดมันก็เริ่มถูกขัดบางลงด้วยความเร็วที่เห็นด้วยตาเปล่า

ทุกคนที่ตอนแรกตกตะลึงกับทะเลหมอกเขียวกลับตกตะลึงอีกครั้ง

ร่างของจี๋เจ๋อกระพริบวาบและปรากฏตัวอยู่ที่สนามฝึกซ้อม  ทันทีที่เขายืนที่พื้น ซี่....  เขาอยู่ในท่ามกลางแผ่นหิน  เขาก้มลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด  มีรูเล็กๆในหินนับไม่ถ้วนเป็นกลุ่มหนาเหมือนกับว่ามีฝูงมดกัดกินจนแผ่นหินอ่อนร่วน

เขารู้สึกตกใจ

จากนั้นเขาค่อยเข้าใจสาเหตุที่แผ่นหินกลายเป็นทราย ทั่วทั้งสนามฝึกฝนถูกกัดกร่อนอย่างสิ้นเชิง  และดูร่วนหลวมไปหมด

จี๋เจ๋อเคยเห็นเรื่องราวต่างๆมามากและมีความรู้ เมื่อเห็นรูขนาดเท่าเข็ม เขารู้ว่ามีบางอย่างที่ทำด้วยกฎธรรมชาติอวกาศ  แต่ปริมาณและขนาดของมันใหญ่เกินไป  เขาไม่เคยคาดเลยว่ามันยังจะมีพิษอยู่ด้วย

อาวุธที่มีพิษและพลังกฎอวกาศคุณสมบัติที่ไม่ง่ายจะรวมอยู่ด้วยกัน

ฝูเจิ้งจือสะบัดกระบี่สั้นอีกครั้งและเหมือนครั้งก่อน เมื่อมันหลุดออกไปจากมือของเขามันหายและไปปรากฏห่างออกไปร้อยเมตรทันที ขณะที่ทุกคนคิดว่ากระบี่กำลังจะระเบิดพลังอีกครั้งฝูเจิ้งจือสะบัดกระบี่อีกเล่มหนึ่งในมือ และกระบี่ที่อยู่ห่าง 100 เมตรหายไปอย่างเงียบงัน

ซี่....

เป้าหมายอยู่บนสนามฝึกอีกสนามหนึ่งมีควันและทรายลอยฟุ้งขึ้น  และมีรูขนาดเท่าหมัดเห็นได้ชัดทะลวงผ่านลงไป

หน้าของทุกคนที่ตกตะลึงอยู่แต่เดิมแล้วยังบิดเบี้ยวอีกครั้งความกลัวเหลือจะพรรณนาปรากฏอยู่ในดวงตาพวกเขา

ไม่มีใครที่เป็นมือใหม่ มีหรือที่พวกเขาจะไม่ตระหนักถึงพลังในครั้งนี้?  วิธีการดังกล่าวใช้สำหรับการลอบสังหารไม่สามารถหลบเลี่ยงและป้องกันได้ และยิ่งกว่านั้นพวกเขายังไม่รู้สึกถึงความผันผวนของมิติอวกาศใดๆ  ก็หมายความว่ามันแทบจะป้องกันไม่ได้

นอกจากนี้ ยังมีพิษ!

ทุกคนเงียบ

แม้แต่ฝูเจิ้งจือก็ยังตกใจ ตะลึงเป็นไก่ตาแตก

กระบี่พญาเขียวเดิมสามารถใช้กฎอวกาศและเมื่อเขาสู้กับถังเทียน เขาอาศัยมันช่วยหลบหนี แต่กฎธรรมชาติอวกาศเดิมปลดปล่อยแสงโล่ป้องกันจากพลังมิติปั่นป่วนอย่างหนาแน่น

มิติอวกาศที่ปั่นป่วนคือสิ่งที่นักสู้ทุกคนที่ฝึกในกฎอวกาศหวังว่าจะทำให้ลดลงให้มากเท่าที่ทำได้

แต่มิติอวกาศปั่นป่วนที่น้อยและเล็กยิ่งพรางซ่อนตัวได้ดี ก็จะยิ่งมีพลังรุนแรงมาก

แต่ลดความผันผวนของมิติอวกาศได้เป็นปัญหาที่ยากยิ่งสำหรับทั้งแดนบาป  และหลายคนใช้ความพยายามไปมากมายโดยไม่ได้ผล  แต่ความผันผวนของมิติอวกาศของเขาเบาบางมาก  และแม้แต่ฝูเจิ้งจือเองก็ยังยากตรวจสอบ

ใจของเขามึนชาและสะท้าน

‘นี่....นายท่านทำแบบนี้ได้ยังไง?’

ในท่ามกลางความตกใจ,เขาไม่รู้ว่าคนทั่วทั้งค่ายฝึกเหมือนกับอยู่ในอาการเสียสติ

“เล่าหวัง,ตบหน้าข้าที, ข้ากำลังฝันอยู่หรือเปล่า!”  เล่าปี๋บ่นพึมพำใบหน้าหดหู่

เล่าหวังที่กำลังมีสีหน้าอารมณ์อย่างเดียวกันตบทันที

ผัวะ!

“เฮ้ย..แล้วกันสิโว้ย!”  เสี่ยวชิวอุทานออกมาเขากุมหน้าและหันมาถลึงตาใส่เล่าหวัง “เล่าหวัง!  บ้าหรือเปล่าทำไมมาตบหน้าข้า!”

เล่าหวังค่อยหายตกตะลึงและได้สติ  เขากล่าวขอโทษทันที  “โอวข้าตบผิดคน, ผิดคนจริงๆ”

เล่าปี๋ค่อยรู้สึกตัวและหัวเราะ  “ข้าไม่ได้ฝัน ข้าไม่ได้ฝัน  เล่าฝูคราวนี้เจ้าได้รับผลประโยชน์กำไรแล้ว”

“กำไรแน่ๆ”  ทุกคนที่อยู่รอบๆพยักหน้าถอนหายใจอย่างมีอารมณ์

ฝูเจิ้งจือถูกปลุกตื่นจากภวังค์เพราะคำว่า “กำไรแน่ๆ”  เขาถือกระบี่พญาเขียวและซ่อนไว้เก็บอย่างกังวล

“ดูท่าทางเล่าฝูกลัวอย่างนั้นทำอย่างกับว่าเราต้องการจะขโมยมันไปจากเขาเสียอย่างนั้น!”  เล่าปี๋พูดอย่างไม่สบายใจ

“เจ้าไม่อยากได้หรือ?”  เล่าหวังถาม

“อยากได้จะแย่อยู่แล้ว!”  ทุกคนตะโกนลั่น

สายตาทุกคนเต็มไปด้วยความอิจฉา  ทุกคนจับตามองฝูเจิ้งจือที่กำลังวิ่งหนีออกไป

“ใครจะรู้ว่านายท่านทำของแบบนั้นได้!” เล่าปี๋ทำท่าเหมือนกำลังถอนหายใจ

“ลึกล้ำจริงๆ!”  เล่าหวังกล่าว

“นี่ไม่เคยเกิดมาก่อน!”  เสี่ยวชิวโพล่งออกมา

“เราไม่ปล่อยให้เล่าฝูผูกขาดความสะดวกสบายนี้แน่”  เล่าปี๋พูดอย่างมีอารมณ์

“ใช่แล้วคราวนี้เล่าฝูทำได้ เขาโชคร้ายกลายเป็นดี”

“ท่านจี๋เจ๋อก็คงจะได้เหมือนกัน”  เสี่ยวชิวกล่าว

ทุกคนหันหน้ามาพร้อมกัน จริงๆท่านจี๋เจ๋อหายไปแล้ว

“พวกเจ้าต้องการเป็นอย่างพวกเขาหรือ?”  เล่าปี๋หันมาถาม

“พวกเจ้ามีสมบัติไหม?”เล่าหวังแย้ง

“วิญญาณยากไร้ได้แต่ฝัน”  เสี่ยวชิวพูดอย่างไม่สบายใจ

เล่าปี๋พูดออกมา  “นายท่านบอกว่ามันเป็นสมบัติหรือ?  พวกเราส่วนใหญ่อาจไม่มีสมบัติแต่พวกเราทุกคนก็มีอาวุธดีๆ อยู่สองสามชิ้นไม่ใช่หรือ?  ต่อให้ไม่สามารถทำได้ดีเหมือนอย่างของเล่าฝู,แต่มันก็ยังจะมีความก้าวหน้าได้ และพวกเราก็ยังจะได้รับประโยชน์อยู่ดี”

พอพูดออกไปเช่นนั้น ทุกคนเงียบ

ตาทุกคนกลายเป็นสีแดงด้วยความริษยาอีกครั้ง  ‘ใช่แล้วถ้านายท่านสามารถสร้างสมบัติได้ อย่างนั้นก็คงเป็นเรื่องง่ายที่จะปรับปรุงสิ่งของต่างๆให้ก้าวหน้าขึ้น?’

แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสมบัติ  แต่อาวุธของพวกเขาก็มีคุณภาพดีและมีคุณสมบัติในการใช้งานที่ดีบางส่วนอยู่ในตัว ความจริงอาวุธหลายอย่างแค่มีขีดคั่นจากสมบัติแค่สายใยเดียวถ้าสามารถปรับปรุงพัฒนาเล็กน้อย แม้เพียงน้อยนิดอาวุธเหล่านั้นมีความเป็นไปได้จะเข้าขอบเขตเป็นอาวุธสมบัติ

นั่นจะทำให้คุณภาพของอาวุธเหล่านั้นก้าวกระโดด

มีสมบัติเพียงไม่กี่ชิ้นในแดนบาป  และแม้ว่าอาวุธในมือของพวกเขาจะเป็นอาวุธชั้นเลิศ แต่ความแตกต่างในเรื่องพลังราวกับฟ้าและดิน  พวกเขารู้ด้วยตัวเองว่าถ้าอาวุธของพวกเขาสามารถพัฒนาขึ้นได้แม้สักเล็กน้อย  คุณค่าของมันจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

‘แล้วจะเป็นยังไงถ้าพวกเขายกระดับอาวุธของพวกเขาเป็นสมบัติ?’

เมื่อคิดเรื่องนั้นได้ เรื่องที่ล่อใจนี้กลายเป็นสิ่งดึงดูดใจพวกเขาทันที  ในสถานะของพวกเขาทุกคนเป็นคนสำคัญในตระกูลของตนเอง สมบัติธรรมดาไม่สามารถสั่นสะท้านพวกเขาได้ แต่มีสมบัติที่ประมาณค่ามิได้ ที่แม้แต่พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้

ทุกคนเริ่มคิดหาวิธีขอให้นายท่านช่วยพัฒนาอาวุธของพวกเขา

“เราน่าจะไปคุกเข่าที่หน้าห้องของเขาดีไหม?”  ใครบางคนเสนอ

“ยังมืออาชีพไม่พอ  พวกเจ้าจะโดนนายท่านจับแขวนกับเสา”  ทุกคนแค่นเสียงทันที

คนที่เหลือพยักหน้าเห็นด้วย

“เอาเงินให้นายท่านดีไหม?”

“พวกเจ้ามีเงินมากกว่านายท่านหรือ?”

ทุกคนแค่นเสียง

“หาสาวงามให้เขาสักคนดีไหม?”

“แม่นางกู้เสวี่ยคงได้แหกอกเจ้า”

“แม่นางหานปิงหนิงคงได้กลับมาฆ่าเจ้า”

“....”

“....”

“งั้นเรามีแต่ต้องใช้แผนชายงาม!”

“นายท่านคงได้ฉีกอกพวกเจ้าตาย”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด