ตอนที่แล้วตอนที่ 633 เปิดเผยจนได้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 635 แผนของปิง

ตอนที่ 634 ในที่สุดก็เริ่ม


“สำเร็จแล้ว!”

“ในที่สุดเราก็ทำได้สำเร็จ!”

ผู้เฒ่าเฒ่าเฟ่ยมีความสุข ชาวห้องค้นคว้าวิจัยพลังสายเลือดพากันดีใจแทบคลั่ง กลุ่มผู้เฒ่าบางคนทรุดตัวนั่งกับพื้นหัวเราะอย่างโง่งมทั้งยังกอดกันเองบ้างก็ร้องไห้ บ้างก็หัวเราะ บ้างก็เต้นแร้งเต้นกา

ห้องวิจัยพลังสายเลือดใช้งบประมาณมหาศาลอยู่เสมอ  แต่ไม่เคยสร้างผลสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันอย่างแท้จริงเลย  เทียบกับพวกเขาแล้วห้องค้นคว้าวิจัยจักรกลกลายเป็นกำลังหลักของกลุ่มดาวหมีใหญ่ไปแล้ว  ภายในแผนกหลักของกลุ่มดาวหมีใหญ่  ห้องค้นคว้าวิจัยพลังสายเลือดได้รับการกล่าวขวัญกันน้อยมาก  ถ้าไม่ใช่เพราะถังเทียนคอยสนับสนุนต่อ  งบประมาณสำหรับห้องวิจัยพลังสายเลือดคงจะถูกตัดแล้วตัดอีกเป็นแน่

ทั่วทั้งห้องวิจัยพลังงานสายเลือดตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่ยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้พวกเขาค้นคว้าผลงานที่สำคัญที่สุดออกมาได้  ใช่แล้ว..ผลงานที่สำคัญที่สุดนี้จะกลายเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่สำหรับกลุ่มดาวหมีใหญ่

ไข่วิญญาณแสง

ในระบบของกลุ่มดาวหมีใหญ่ปัจจุบันขุนพลวิญญาณคือสิ่งที่สำคัญมากและไม่อาจขาดได้ ระบบสงครามทั้งหมดและการต่อสู้ของกลุ่มดาวหมีใหญ่ถูกสร้างขึ้นโดยท่านปิงและถังโฉ่วซึ่งเป็นสมาชิกแกนนำสำคัญของกลุ่มดาวหมีใหญ่  ขณะที่ขุนพลวิญญาณเมื่อได้รับบาดเจ็บ  พวกเขาไม่สามารถรับการรักษาได้สำหรับกลุ่มดาวหมีใหญ่ถือว่าเป็นเรื่องคุกคามที่ใหญ่ที่สุด

แต่นายท่านได้ค้นพบไข่แสงลึกลับ  มันสะสมมาจากต้นกำเนิดวิญญาณที่มากมาย  และต้นกำเนิดวิญญาณนี้สามารถรักษาวิญญาณได้

ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกไข่แสงนี้ว่าไข่วิญญาณแสง และตลอดเวลานั้นพวกเขาเริ่มร่วมกันค้นคว้าศึกษาดูอย่างกว้างขวาง  ในเวลาอันรวดเร็ว  พวกเขาก็ตระหนักว่าแม้ว่าไข่วิญญาณแสงสามารถรักษาฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของวิญญาณได้ แต่ต้นกำเนิดวิญญาณยังอยู่ในไข่แสงแต่ละใบน้อยมาก  และเมื่อไข่สุก ต้นกำเนิดวิญญาณจะหายไป

ในเวลาเดียวกันนั้นห้องค้นคว้าวิจัยพลังสายเลือดก็เริ่มมองหาวิธีขยายพันธุ์ไข่วิญญาณแสง  กระบวนการยังลุ่มๆ ดอนๆ ถึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน  แต่ก็ไม่ยากสำหรับการขยายพันธุ์  แต่หลังจากดูแลพวกมันมาช่วงเวลาหนึ่ง  พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าหนอนดำไม่มีการวางไข่

เพื่อหาวิธีให้หนอนดำวางไข่  ผู้เฒ่าเฟ่ยถึงกับขึงขังเอาจริงเอาจัง พวกเขาทุกคนใช้หนอนดำจำนวนเล็กน้อยมาทดลองใช้วิธีการต่างๆ  แต่โชคดีที่พลังชีวิตของหนอนดำทนทานมากจึงไม่ต้องกังวลว่าจะทรมานพวกมันจนตาย

ทุกคนพยายามทำตามวิธีการของตนแต่ก็ยังไม่ได้ผลสรุปที่แน่นอน  จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งเมื่อคุณนายมู่เผลอฉีดน้ำหอมของนางใส่กลุ่มหนอนดำผลก็คือหนอนดำวางไข่ในวันต่อมา จากนั้นทุกคนเห็นแสงสว่างรำไรทุกคนเตรียมส่วนผสมของน้ำหอมและพบวิธีการที่มีประสิทธิภาพได้ในที่สุด

ในที่สุดทุกคนก็ตระหนักได้โดยเร็วว่าไข่แสงที่เกิดมาจากหนอนดำเหล่านี้ไม่มีต้นกำเนิดวิญญาณ ทุกคนรู้สึกผิดหวังอาจเป็นไปได้ว่าหนอนแสงไม่สามารถสร้างไข่แสงที่มีพลังต้นกำเนิดได้?

แต่พวกเขาไม่ยอมแพ้  พวกเขากัดฟันและค้นคว้าต่อไปหลังจากเหน็ดเหนื่อยและเพียรพยายามอย่างหนัก ในที่สุดพวกเขาก็พบเหตุผล หลังจากวันที่หกจากวันวางไข่ พวกเขาต้องใช้พลังวิญญาณที่แตกสลายมาหล่อเลี้ยงไข่ตั้งแต่วันที่เจ็ดจนถึงวันที่สิบสองเต็มที่จึงนำไปสู่ต้นกำเนิดวิญญาณ

หลังจากนั้นพวกเขาก็พบอีกทางหนึ่งสำหรับกระตุ้นหนอนดำให้วางไข่มากขึ้น

เป็นครั้งแรกที่พวกเขาสร้างไข่วิญญาณแสงมากมายและเมื่อแถวของไข่แสงเริ่มปล่อยแสงสลัวจนคลุมไปทั้งห้องซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงต้นกำเนิดวิญญาณ  ทุกคนต่างตื่นเต้นดีใจกันทั่วหน้า

เมื่อทุกคนฉลองกันเสร็จสิ้น ผู้เฒ่าเฟ่ยยืนขึ้นและปรบมือเรียกความสนใจจากทุกคน และห้องค่อยๆ สงบเสียงลง

ผู้เฒ่าเฟ่ยพูดเสียงดัง  “ทุกคนยังจำได้ไหมว่าท่านปิงพูดอะไรไว้?”

ทุกคนตะลึงไปชั่วขณะ

“ข้าจำได้แล้วโลงน้ำแข็งขนาดใหญ่!” มีใครบางคนตะโกนขึ้นทันที

พอเตือนกันเช่นนั้น  ทุกคนก็เริ่มจำได้

“ใช่แล้ว,ใช่แล้ว!  โลงศพน้ำแข็งใหญ่!”

“ถ้าข้าจำได้ไม่ผิดเขาเคยเป็นสหายอาวุโสของท่านปิง ข้าสงสัยว่าสหายของท่านปิงจะเหมือนกับอะไร”

“ฟื้นสภาพเขา!”  ใครบางคนตะโกน

“ฟื้นสภาพเขา!”  หลายคนพูดย้ำๆ

“จะกลายเป็นว่าเราจะทำร้ายเขาหรือเปล่า?”  บางคนถาม

“เป็นไปไม่ได้,ต้นกำเนิดวิญญาณไม่เป็นอันตรายต่อขุนพลวิญญาณ” ใครอีกคนหนึ่งคัดค้านทันที

“นอกจากนี้ก็เป็นท่านปิงที่พูดด้วยตัวเอง” คำตอบนี้ทำให้ทุกคนสิ้นสงสัย

“ไป ไปไป เอาโลงน้ำแข็งออกมา!”

ทุกคนลงมือทันที

เพื่อให้สามารถฟื้นฟูลั่วซือปิงได้ทิ้งโลงศพน้ำแข็งไว้ภายในห้องค้นคว้าวิจัยพลังสายเลือด

เมื่อทุกคนเปิดห้องแช่แข็ง พวกเขาเห็นลั่วซือยังคงอยู่ภายในโลงน้ำแข็งพำพึมคำซ้ำๆเหมือนกับว่าเขากำลังเกร็งกระตุก ทุกคนพากันสงบ

ทุกคนได้ยินเรื่องราวของลั่วซื้อมาแล้ว  แต่เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับลั่วซือโดยตรง พวกเขาก็ยิ่งตกใจมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้ยินเขากรีดร้องคำว่า“กองทัพกางเขนใต้จงเจริญ!”  เสียงนั้นก้องไปทั้งห้องวิจัย ทุกคนถึงกับตาแดง

“ไม่ว่ายังไง เราต้องช่วยเขาให้ได้!”  คุณนายมู่เช็ดน้ำตาขณะพูด

นักรบอย่างนั้นคู่ควรแก่การเคารพนับถือของพวกเขา

“ใช่แล้ว!  เราต้องช่วยให้เขากลับมาฟื้นฟูได้เต็มที่!”

นั่นคือความคิดของทุกคน  พวกเขาทุกคนมองหน้ากันและกันสามารถเห็นความมุ่งมั่นและตั้งใจในสายตาพวกเขา

“ข้าจะรับผิดชอบสำหรับการทดสอบต้นกำเนิดวิญญาณเอง!”  มีบางคนยกมือและตะโกน

“ข้าจะรับทดสอบการกระจายพลังวิญญาณเอง!”  อีกคนยกมือตอบรับเสียงแข็งขัน

“ข้าจะรับดูแลโครงสร้างของแผนงานเอง!” อีกคนตะโกนขึ้น

“ข้าจะปรุงยาตามหลังจากนั้น

“ข้าจะรับผิดชอบเสริมความแข็งแรงให้ไข่แสง!”

……

คนแล้วคนเล่าชูมืออาสากันสลอน  อารมณ์ตื้นตันพลุกพล่านเต็มอยู่ในอกพวกเขา  ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและแรงบันดาลใจ  พวกเขามอบหมายงานกันอย่างรวดเร็วและพลังที่แท้จริงของห้องวิจัยพลังสายเลือดถูกกระตุ้นออกมาอย่างแท้จริง

“เพื่อลั่วซือ!”  ใครบางคนตะโกน

“เพื่อลั่วซือ!”  ทุกคนตะโกนกลับพร้อมกัน

ภายในโลงน้ำแข็ง  ร่างของลั่วซือดิ้นรนราวกับว่าในช่วงหมื่นปีนี้เขาได้ยินใครบางคนกำลังเรียกชื่อเขา

หัวใจผู้เฒ่าเฟ่ยกำลังสั่นด้วยความตื่นเต้น

ในที่สุดก็เริ่มกันเสียที!

*********************

ภายใต้ท้องฟ้าสีเทาอาคารสูงด้านหลังพวกเขาค่อยๆ ห่างออกไป ทั่วทั้งอาคารเปลี่ยนไปจนยากจะยอมรับได้ ประตูใหญ่หายไปไม่เหลือร่องรอย แม้แต่กรอบหน้าต่างก็ยังถูกแยกชิ้นส่วนทั่วทั้งอาคารถูกกวาดเรียบจนไม่เหลือแม้แต่กระดาษสักชิ้น

เสี่ยวหลานเต็มไปด้วยความรังเกียจ  “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนแบบนี้!  เจ้าไม่ยอมทิ้งแม้แต่ของหักๆ พังๆ!  ดูเหมือนว่าพวกกองทัพกางเขนใต้จะหยาบคายจริงนะ  พนันได้เลยพวกเจ้าคุ้นเคยแต่ทำเรื่องขี้ปะติ๋ว”

อาซิ่นไม่รู้สึกอายแต่กลับมีความภูมิใจ ขณะที่เขาพูดอย่างดีใจ “เสี่ยวหลาน, แม้ว่าเจ้าจะอกทรงโตมหึมา แต่เมื่อว่ากันถึงความสุขุมรอบคอบ เจ้าต้องมองหาข้า ประตูนี่เป็นของดีมากหลังจากผ่านมาหลายปีก็ยังไม่มีแม้แต่สนิมจับ ข้าพยายามตัดมันดูแล้ว หึหึ แต่ไม่มีรอยดาบแม้แต่น้อยของดีแบบนี้จะปล่อยทิ้งไว้ที่นั่นได้ยังไง”

“อย่างนั้นกรอบหน้าต่างล่ะ?  เจ้าถอดกรอบหน้าต่างออกมาด้วยเหมือนกัน!!  ถ้าไม่ใช้เพราะคุณหนูห้ามเจ้าไว้  ข้าพนันได้ว่าเจ้าคงรื้อกระทั่งก้อนอิฐ!”  เสี่ยวหลานพูดอย่างดูถูก

“ไม่ใช่เรื่องดีนะ ที่ปล่อยให้ของเสียเปล่าหึหึหึ!”  อาซิ่นกระแอมเบาๆ  จากนั้นเขาเปลี่ยนหัวข้อทันที  “คุณหนู, เสี่ยวหลาน พวกเจ้าทั้งสองคนคิดว่าข้าเป็นแบบนั้นโดยไม่มีอะไรหรือคิดดูดีๆ ข้าทำแบบนี้เพื่อใคร?”

“ใคร?” เสี่ยวหลานมองอาซิ่นอย่างสงสัย

อาซิ่นตบอกตัวเองทันที  “แน่นอนเพื่อเจ้าไงเล่า เสี่ยวหลาน!”

เสี่ยวหลานเงื้อดาบยักษ์ทันทีและแค่นเสียง  “เจ้าคิดว่าจะเอาเปรียบข้าได้ง่ายๆ หรือ?  เจอดาบข้าก่อนเป็นไง!”

เมื่ออาซิ่นเห็นแสงวูบวาบของดาบยักษ์สีหน้าของเขาเปลี่ยน  “เย็นไว้  เย็นไว้!  ข้ามีบางอย่างอยู่ที่นี่!”

เพียงแค่นั้นเขาโยนของชิ้นหนึ่งออกมาทันที ปัง, มันกระทบพื้นจนฝุ่นทรายฟุ้งเห็นได้ชัดว่ามันคือประตูใหญ่ที่เขาถอดออกมา

หน้าของเสี่ยวหลานเย็นชายิ่งขึ้น  “งั้นก็เป็นว่าเจ้ากำลังจะท้าทายข้าสู้ใช่ไหม?”

ดาบยักษ์กระพริบวูบและปลายดาบจ่ออยู่ที่ปลายจมูกของอาซิ่น

อาซิ่นจ้องมองปลายดาบตัวของเขาแข็งทื่อ  เขายกมือและพูด“ต่อให้ข้ากล้าสักสิบเท่า ข้าไม่กล้าท้าคนสวยและฉลาดอย่างเสี่ยวหลานสู้แน่

ตาของเสี่ยวหลานเป็นประกายวูบวาบ  แม้ว่าหน้าของนางยังบึ้งตึง  แต่ความเย็นชาลดลงมากอาซิ่นผ่อนคลายและรีบพูด “ข้าใช้ความพยายามมากมายเพื่อเปลี่ยนประตูใหญ่ใบนี้เพื่อให้เหมาะกับเสี่ยวหลานดูสิ ประตูใหญ่บานนี้ดาบกระบี่ทำอะไรไม่ได้ มันก็คือโล่ดีๆ นี่เองไม่ใช่หรือ?แม้ว่ามันจะใหญ่และหนักไปสักเล็กน้อย แต่สำหรับเสี่ยวหลานจะมีปัญหาหรือ? ไม่มีแน่นอน!”

สีหน้าของเสี่ยวหลานดีขึ้น  นางรู้สึกว่าอาซิ่นพูดมีเหตุผล  บานประตูใหญ่คือโล่ที่ดีจริงๆ

เพียงแต่ว่าการลากเอาประตูบานใหญ่ไปต่อสู้ทำให้นางรู้สึกอาย

“เสี่ยวหลานตอนนี้เจ้าแค่สามารถใช้พลังของเจ้าจริงๆ ได้ครึ่งเดียว  เจ้ามาจากกลุ่มดาวคนแบกงู ไม่มีโล่ นั่นคือทั้งหมดที่เจ้าทำได้  ถ้าเจ้ามีโล่ที่ทำลายไม่ได้  อย่างนั้นเจ้าก็เป็นเหมือนเสือติดปีกและสามารถปกป้องคุณหนูได้ดีกว่า!”

ปกป้องคุณหนูได้ดีกว่า  คำพูดเหล่านี้สั่นสะท้านใจเสี่ยวหลาน  นางลังเลเล็กน้อยและจากนั้นนางเดินมาหยิบประตูบานใหญ่

ประตูโลหะหนักดูเหมือนจะไร้น้ำหนักเมื่ออยู่ในมือของเสี่ยวหลาน

อาซิ่นกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก  กว่าจะดึงประตูใหญ่ออกมาได้  เขาต้องใช้เวลาและพลังไปมากมายและปกติเขารู้ว่าประตูหนักขนาดไหน แต่ในมือของเสี่ยวหลาน มันดูเหมือนจะไร้น้ำหนัก

แต่เขารู้ว่าไม่ใช่เวลามาทำมึนงง  เขากล่าวอย่างลื่นไหล  “ดูสิ, ข้าทำด้ามจับไว้ด้านหลังด้วย  แม้ว่าจะค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมแต่ก็หาได้ยาก  เห็นโล่ใหญ่ๆอย่างนี้แต่มันสร้างมาให้เหมาะกับเสี่ยวหลาน อกใหญ่ กะโล่ใหญ่ คริ คริ...”

เสี่ยวหลานยกประตูโลหะมันรู้สึกเหมาะมือดีจริง และนางชื่นชมทันที แต่เมื่อมองดูแถวคำที่ประตู นางถาม  “เจ้าจะทำยังไงกับคำเหล่านั้น?”

“เราปล่อยคำพวกนั้นไว้ที่นั่น!”  อาซิ่นพูดโดยไม่ลังเล  “เราต้องปล่อยมันไว้ตรงนั้น! คิดดูสิ, เจ้าของประตูนี้คือคนสร้างการ์ดวิญญาณ  นี่เป็นคนยิ่งใหญ่และสำคัญมาก  แม้แต่เขาก็มีความเคารพต่อไฮน์เนอร์วินเซนท์  ตำนาน!  นั่นคือตำนานที่แท้จริง!  ประตูใหญ่นี้ โอว ไม่โล่สี่เหลี่ยมนี้คือสมบัติในตำนาน ไฮน์เนอร์ วินเซนท์ยังคงเป็นปรมาจารย์ยุคโบราณ  ดังนั้นข้าจึงคิดชื่อของโล่ไว้ด้วย ให้เรียกว่า‘โบราณอมตะ’ ชื่อนี้ฟังดูสง่างามมีกลิ่นอายของตระกูลโบราณ มันจะกลายเป็นสมบัติของครอบครัวเรา....”

“ครอบครัวของเรา?”  เสี่ยวหลานหน้าเขียวคล้ำ

อาซิ่นหัวเราะลั่น  “ฮะฮะฮะ ค่ายทหารคือบ้านของข้า  ดังนั้นเราจึงมีครอบครัวที่ใหญ่... โอว..ไม่โอว ไม่ เจ้าจะตีข้าจริงๆ ข้าอุตส่าห์ให้สมบัติเจ้าแล้ว เจ้าก็ยังจะตีข้าอีก...”

“ถ้าข้าไม่ทดสอบพลังของโล่สี่เหลี่ยมนี้  ความพยายามของเจ้าจะไม่สูญเปล่าหรือ?”  เสี่ยวหลานยิ้มหวานจนเห็นลักยิ้ม  โล่สี่เหลี่ยมในมือของนางควงราวกะใบพัด

“ไอ้หยา...ซวยจริงๆ!  ข้ายอมแพ้แล้ว!  จอมยุทธหญิง, ไว้ชีวิตข้าด้วย! อ๊าย...ข้าบอกว่ายอมแพ้แล้ว ก็ยังจะตีข้าอีก...”

“มันเป็นเพราะของดีของเจ้าเอง  เตรียมตัวสู้จริงๆ ได้แล้ว! เจ้าจะทำอะไร?  คุกเข่ายอมแพ้?”

“เข่าข้าเจ็บ!”

“เข่าของลูกผู้ชายมีค่าดุจทอง!  เจ้าไม่มีความเข้มแข็งเอาเสียเลย! ข้าดูเจ้าผิดไปจริงๆ!”

“ขืนเข้มแข็งก็โดนตุ้บตั้บน่ะสิ...”

หึหึไม่มีความเข้มแข็งเพราะจะโดนทุบตีมากน่ะหรือ....”

“อ๊า....”

เมื่อได้ยินเสียงร้องและไล่กวด เชียนฮุ่ยที่นั่งคิดคำนวณอยู่ด้านหน้าอดยิ้มไม่ได้

สามวันต่อมา  พวกเขามาถึงลำห้วย  พอเดินถึงสุดลำห้วย รอยแตกสีฟ้าก็ปรากฏให้เห็น

“ผนึกคลายตัวแล้วเมื่อเราเปิดผนึกนี้ได้ เราก็สามารถออกไปได้!”

หน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น  นางจ้องมองรอยแตกแสงและพึมพำกับตนเอง

“ในที่สุดก็เริ่มเสียที”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด