ตอนที่แล้วตอนที่ 632 กลยุทธ์หมายเลขห้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 634 ในที่สุดก็เริ่ม

ตอนที่ 633 เปิดเผยจนได้


แฮก  แฮก  แฮก!

อายะหอบหายใจ การโจมตีและฆ่าอย่างต่อเนื่องทำให้สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงของนางมากขึ้นเทียบกับระหว่างรบจริงก็คือมากขึ้น 30% เลือดและซากศพมีกระจายอยู่ทุกที่ ในสถานการณ์เช่นนั้น การรักษาความมุ่งมั่นเป็นเรื่องที่ยากมาก

นางไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับผลกระทบ  คนอื่นทุกคนดูเหมือนจะได้รับผลกระทบไปด้วยเนื่องจากความถี่ในการผสานพลังของพวกเขาตกลงอย่างมาก  ถ้าเกิดขึ้นในระหว่างฝึกถังโฉ่วคงจะดุด่าและระอาพวกเขา และลงโทษพวกเขาให้ฝึกต่ออีกครั้ง

คนที่อยู่รอบตัวนางก็ยังหอบหายใจอย่างหนักและบางคนก็ก้มตัวเอามือเท้าเข่า  หน่วยกะโหลกทั้งหมดหอบหายใจกันหมดเป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ใช้กลยุทธ์นั้นในการสู้รบ แต่ความจริงพวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานมากมายขนาดนั้น  พวกเขามีข้อบกพร่องมากเกินไป  แต่ในเวลาอันรวดเร็วพวกเขาก็หยุดหอบ  ไม่มีใครสนใจอีกต่อไป  ทุกคนเริ่มจ้องมองภาพที่อยู่ข้างหน้าของพวกเขา

พวกเขาลืมความอ่อนล้า

พื้นที่ภายในวงล้อมของพวกเขาว่างเปล่าเต็มไปเลือดและชิ้นส่วนของร่างกาย ไม่มีใครรอดชีวิตสักคนเดียว

ในความตายที่เงียบสงัด มีบางคนเริ่มผะอืดผะอม  และเกิดอาการปฏิกิริยาลูกโซ่ตามมา  หลายคนเริ่มรู้สึกอึดอัดและอาเจียนออกมาทั้งหมด

หน้าของอายะซีดขาวเหมือนกระดาษ  เลือดลมที่อกนางเริ่มปั่นป่วนแต่นางฝืนไว้ไม่ให้ขย้อนออกมา นางผ่านการสู้รบมามากมายและฆ่าคนมานับไม่ถ้วน  แต่ฉากภาพที่อยู่ข้างหน้านางคือสิ่งที่ทำให้นางอึดอัด

‘สงครามหรือนี่?’

อายะยังคงตกใจ แต่ในไม่ช้านางก็เรียกความรู้สึกกลับมา นางตระหนักถึงความจริงที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขากำจัดหน่วยหน้าทะลวงฟันของกองพลที่สอง

‘เป็นไปไม่ได้!’

สีหน้าตกใจปรากฏอยู่บนใบหน้าของนาง  กลุ่มกะโหลกชมพูเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงในวงการทหารรับจ้าง  เนื่องจากได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง  แต่นางรู้กำลังของกลุ่มกะโหลกชมพูดี  พวกเขาสามารถต่อสู้กับกองทัพระดับบรอนซ์ได้เท่านั้น  แต่เมื่อเผชิญกองทัพระดับเงิน  พวกเขาไม่มีโอกาสชนะต่อให้เป็นหน่วยหน้าทะลวงฟันของพวกเขาก็ตาม

เมื่อมองจากด้านนี้ ศักยภาพของกองกำลังนางแอ่นยังมากกว่า เพราะเซี่ยอวี่อันสร้างกองทัพโดยใช้ระบบของกองทัพที่แท้จริงตั้งแต่ต้น

แม้ว่าอายะไม่เคยยอมรับ แต่นางก็ฉลาดเฉียบแหลม

เมื่อถังโฉ่วยอมทุ่มเวลาให้กับหน่วยกะโหลกมากขึ้น  ตอนแรกอายะไม่เข้าใจ  แต่นางรู้ว่าเป็นสิ่งดี  แม้ว่าเจ้าแม่ทัพโรคจิตจะบ้าก็ตาม  แต่เขาเป็นนายพลระดับที่ขึ้นชื่อแน่นอน เวลาของเขามีค่ามากกว่าเวลาของกองทัพรับจ้างทั้งหมดรวมกันเสียอีก  ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยอมเสียเวลาเคี่ยวเข็ญพวกเขาจนทำให้การฝึกฝนดูเหมือนเป็นการทรมาน

‘นายพลโรคจิตต้องการใช้หน่วยกะโหลกเพื่อทดสอบวิชาและค้นหาบางอย่างซึ่งเป็นไปได้จะทำให้เขามีชื่อเสียงมากขึ้น ไม่ว่าเขามีความคิดเท่าใด เขาไม่เคยบอกเราว่าพวกเขาทำไปเพื่ออะไร ไม่ว่าจะฝึกหนักเข้มข้นเพียงไหน ข้าจะฝึกให้สำเร็จ’

‘เนื่องจากเราเป็นหนูทดลอง  อย่างนั้นเราก็จะทำหน้าที่ของหนูทดลอง’ อายะมีปรัชญาในการดำรงชีวิตของตนเองสำหรับทหารรับจ้าง ความจริงนางเชื่อว่าสถานะของหน่วยกะโหลกยังต่ำกว่ากองกำลังนาแอ่น

แต่...

หลังจากผ่านการสู้รบ นางก็ยังไม่รู้และเข้าใจสถานการณ์ แต่จากสิ่งที่นางรู้ นางคาดเดาและคิดไม่ถูกต้อง

ถังโฉ่วเป็นหนึ่งในบรรดาคนที่แสดงออกอย่างสงบ  แต่ความจริง เขาใจเย็นจริงๆ ไม่ใช่แกล้งใจเย็น

ตั้งแต่เขาเห็นกลยุทธ์ที่หน่วยกะโหลกมีความเชี่ยวชาญ ถังโฉ่วรู้ได้ทันทีว่าเขาสามารถใช้หน่วยกะโหลกในวิถีที่แตกต่างจากกองกำลังนางแอ่น

กองกำลังนางแอ่นเป็นกองทัพประจำ พวกเขาสามารถควงอาวุธและเข้าร่วมในศึกขนาดใหญ่ได้

แต่หน่วยกะโหลกเป็นกองกำลังนอกสารบบและเชี่ยวชาญในการประสานงานขนาดเล็ก มีประสิทธิภาพมากในการป้องกันสกัดกั้นการไล่ล่าซึ่งควรจะถูกใช้ในเมือง  กับสิ่งก่อสร้างลอยฟ้ามากมาย กองทัพจะมีความยากลำบากในการจัดกระบวนและนั่นคือที่ๆหน่วยกะโหลกจะแสดงฝีมือได้

แต่กลยุทธ์ของหน่วยกะโหลกเองอ่อนด้อยและตื้นเขินเกินไปถูกตรวจสอบได้  ถังโฉ่วจึงสร้างกลยุทธ์ใหม่ให้พวกเขา แต่ถังโฉ่วไม่เคยสัมผัสกับกลยุทธ์แบบนั้นมาก่อน  ดังนั้นจำเป็นต้องมีการทดสอบเพิ่มเติม

แต่ดูเหมือนว่าผลงานได้พิสูจน์ออกมาแล้ว

ถังโฉ่วมองดูผลที่ออกมาด้วยความพอใจ  หน่วยหน้าทะลวงฟันนั้นแข็งแกร่งทรงพลัง  แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่มีการประสานงานกัน  พวกเขาสูญเสียตัวช่วยที่ดีอย่างแท้จริงดังนั้นถังโฉ่วจึงรู้สึกหดหู่เล็กน้อย

เกี่ยวกับชัยชนะ ถังโฉ่วไม่ถึงกับดีใจมากเนื่องจากศัตรูของพวกเขาไม่มีผู้นำทหารที่มีชื่อเสียง  พวกเขาไม่เป็นภัยคุกคามต่อพวกเขาเลย  นอกจากนี้ถังโฉ่วคิดว่าศัตรูยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ ตลอดทั้งกระบวนการหน่วยหน้าทะลวงฟันไม่ได้สร้างแรงกดดันที่รุนแรงพอต่อหน่วยกะโหลก  กล่าวอีกอย่างหนึ่งถังโฉ่วรู้สึกว่าศัตรูอ่อนแอเกินไปและชัยชนะอย่างนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าบททดสอบกลยุทธ์ของเขาว่าผ่านหรือไม่

ถังโฉ่วตั้งเป้าหมายของเขาต้องไปให้เหนือกว่าปิงให้ได้ดังนั้นชัยชนะเล็กน้อยแค่นี้จะทำให้เขารู้สึกมีความสุขได้ยังไง?

ถังโฉ่วยังมีสีหน้าเยือกเย็น ราวกับว่าฝ่ายชนะไม่ใช่พวกเขาแต่เป็นศัตรู

“เซี่ยอวี่อัน, ยึดคฤหาสน์และเริ่มการป้องกัน!”

เซี่ยอวี่อันสั่น แต่ปฏิบัติตาม กองกำลังนางแอ่นหนุนเนื่องเข้ามาดุจสายน้ำและยึดครองถนน ถ้าเราจะกล่าวว่าทักษะวงล้อมของหน่วยกะโหลกแพรวพราวมากกว่า  กองกำลังนางแอ่นให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป

กระบวนศึกที่น่าเกรงขามทำให้ผมขนลุกชันได้

ควั่บ ควั่บ

นอกจากเสียงเกราะกระทบกันขณะเคลื่อนไหว  ก็ไม่มีเสียงอย่างอื่นราวกับว่ากองทัพนั้นเป็นเหมือนสัตว์ร้ายที่เงียบกริบ จังหวะเท้าของพวกเขาพร้อมเพรียงราวกับเป็นคนเดียวกัน

ความเข้มงวดพร้อมเพรียงดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงพลังที่ยิ่งใหญ่

หน้าของเหออิงซีดขาวราวกับกระดาษ  เขามองดูกองทัพด้วยความหวาดหวั่นเขาไม่กล้าเชื่อเลยว่าทวีปทรายขาวจะมีกองทัพฝีมือดีขนาดนั้นอยู่!

ห่างออกไป ลุงหลานตระกูลไป๋ต่างยืนตะลึง

ไป๋เยี่ยถอนหายใจเบาๆ“ข้าไม่รู้เลยว่าการแนะนำเซี่ยอวี่อันให้พวกเขาเป็นการถูกหรือผิด  แค่ผ่านไปไม่กี่วันกองกำลังนางแอ่นกลายเป็นกองทัพใหม่เอี่ยม แม้แต่ข้าก็ยังทำอะไรแบบนั้นไม่ได้”

ไป๋เสี่ยวก็พูดไม่ออกพอกัน ในสายตาของเขา เหมิ่งหนานมีแต่จะลึกลับมากขึ้นเรื่อยๆ  ในอดีต เขาเคารพเหมิ่งหนานด้วยพลังที่เขาแสดงออกมาและนั่นทำให้เขามีแรงบันดาลใจยิ่งขึ้น ตอนนั้นทั้งสองมีเกณฑ์พื้นฐานที่พอกัน เนื่องจากไป๋เสี่ยวมั่นใจในพรสวรรค์ของตัวเขาเอง  เขายังคงรู้สึกว่า ตราบเท่าที่เขาทุ่มเทหนักเขาจะสามารถอยู่เหนือเหมิ่งหนานได้

แต่ขณะที่เวลาผ่านไป เขามักตระหนักได้ว่าระยะห่างระหว่างเหมิ่งหนานกับเขายิ่งมากขึ้นๆ ทุกที เหมิ่งหนานเป็นมนุษย์ที่ผิดธรรมดาที่มีความก้าวหน้ารวดเร็วมาก

และแล้วด้วยการปรากฏตัวขึ้นของถังโฉ่ว ก็เผยให้เห็นปลายพื้นหลังของเหมิ่งหนาน  ยอดภูเขาน้ำแข็งนี้พอจะให้ทุกคนตกใจได้

แต่เมื่อเขาเห็นการสู้รบกับตาตนเอง เมื่อเขาเห็นวิธีที่กองกำลังนางแอ่นและหน่วยกะโหลกชมพูฉีกร่างมนุษย์ของพวกเขากลายเป็นทหารเทพซึ่งแม้แต่เหออิงบุรุษผู้มีอำนาจมากที่สุดในทวีปทรายขาวก็ยังถูกข่ม  เขาจึงเข้าใจทันทีถึงระยะห่างระหว่างพวกเขาถูกยืดออกไปอีกครั้ง

‘คนที่ไม่ธรรมดาอย่างนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวังจริง?’

ไป๋เสี่ยวฝืนหัวเราะในใจด้วยขีดความสามารถในการแข่งขันที่น้อยลง ทำให้สภาพใจของเขารู้สึกผ่อนคลายได้มาก  เขาฝืนหัวเราะ“อย่างน้อยเขาก็ยังเป็นสหายของเรา และไม่ใช่ศัตรูของเรา”

คำพูดนี้ทำให้ไป๋เยี่ยตกใจ เขาผงกศีรษะ  “ถูกแล้ว! โชคดีที่เขาเป็นสหายไม่ใช่ศัตรูของเรา!  ใครก็ตามที่ต้องการตอแยเขา  คงไม่มีอะไรเหลือให้กินแน่  ครั้งนี้เหออิงโชคร้ายจริงๆ”

สายตาของเฉียวอี้อันกวาดมองกองกำลังนางแอ่นที่อยู่ต่อหน้าของเขา  ใจของเขาสั่นสะท้าน  เขาประคองแขนของเหออิงและรู้สึกได้ถึงอาการสั่นสะท้านจากเจ้านายของเขา เขาตกใจมาก แม้ว่าอารมณ์ของเจ้านายจะไม่ค่อยดี  แต่เขาก็ทำได้ดีในการใช้กองกำลังติดอาวุธของเขา

ทหารของกองกำลังนางแอ่นไม่แม้แต่จะมองพวกเขาและวิ่งผ่านพวกเขาไปเหมือนสายน้ำและล้อมคฤหาสน์เอาไว้

เฉียวอี้อันหรี่ตาของเขา

เมื่อทหารคนสุดท้ายผ่านพวกเขาไป  เฉียวอี้อันดีใจ ‘โอกาส!’

เขาคว้าแขนท่านเหออิงไว้แน่นและคำรามและทะยานขึ้นไปในท้องฟ้า

การเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน ไม่มีใครสามารถป้องกันเขาได้

“หยุดเขา!”  หลิงเซี่ยเป็นคนแรกที่รู้ตัว  นางตะโกนลั่น

มือกระบี่ปีกเงินคือคนที่มีพลังแข็งแกร่งแน่นอน  กระบี่ของเขาโผล่ออกมา เช้ง เช้ง เช้ง!  กระบี่เงินนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่ด้านหลังของเขาเหมือนกับเป็นปีก  ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นมากเหมือนกับแสงโค้งสีเงินพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า

เซี่ยอวี่อันก็รู้สึกตัวเช่นกันสีหน้าของเขาเปลี่ยนขณะตะโกน  “ฆ่า!”

“ฆ่า!”

แม้ว่าเสียงตะโกนว่า “ฆ่า” จะดังขึ้นกะทันหันมาก  แต่เนื่องจากการฝึกฝนมายาวนานก็ยังแสดงพลังออกมาได้ ทหารทุกคนกระตุ้นพลังงานโดยสัญชาตญาณ แสงรัศมีสว่างวาบ

เฉียวอี้อันหน้าบิดเบี้ยว ผมขนทุกเส้นบนร่างของเขาลุกชัน เขาตกเป็นเป้าหมายโจมตี

แย่แล้ว!

เสียงร้องที่ดังชัด แสงสีเงินยิงออกมาจากกระบวนศึกเหมือนกับธนูที่ยิงมาอย่างรุนแรง ในแสงสีเงินเป็นเหมือนนกนาแอ่นใส ขณะนั้นนั่นเอง เฉียวอี้อันชื่นชมกองกำลังนางแอ่นมาก  อันตรายที่ไม่สามารถอธิบายได้ครอบคลุมตัวเขาภายในร่างของนางแอ่นน้อยแฝงด้วยพลังงานที่น่ากลัวมาก

ปีกของนางแอ่นเป็นเหมือนกรรไกร ทั้งสองข้างจะปลดปล่อยเพลิงเงินและความเร็วของนางแอ่นจะเพิ่มขึ้นอีกมาก!

เฉียวอี้อันเปล่งรังสีมรณะ แค่เพียงหลบ เขาก็ต้องใช้พลังไปทั้งหมดที่เขามี  แต่ความเร็วของนางแอ่นนั้นไวมากกว่าปีกเงินของเขา!

ระยะห่างระหว่างทั้งสองใกล้เข้ามา

‘ข้าไม่รอดแล้ว!’

เฉียวอี้อันรู้ว่าเขาต้องตาย ทันใดนั้นมีเงาร่างหนึ่งปรากฏคั่นระหว่างเขาและนางแอ่น เป็นบุรุษร่างผอมสูง

“ข้าขอสั่ง แสงจงมา!”

เสียงทุ้มลึกรุนแรงดังก้องไปทั้งเมืองทรายขาว

โล่แสงอบอุ่นปรากฏอยู่หน้านางแอ่น

นางแอ่นปะทะเข้ากับโล่แสง แต่ไม่มีการระเบิด โล่แสงและนางแอ่นแตกไปเหมือนฟองน้ำและหายไปอย่างเงียบงัน

คนร่างผอมสูงกระอักโลหิตเต็มปากและเสียหลักถอยหลัง  แต่เฉียวอี้อันจับไว้ได้

ในพริบตาทั้งสองคนก็หายไป

สีหน้าของทุกคนน่าเกลียด ถ้าเหออิงหนีไปได้ สถานการณ์จะเปลี่ยนไปทันที  โดยเฉพาะสำหรับหลิงเซี่ยและคุณชายใหญ่เมื่อเห็นเป็ดที่ปรุงสุกแล้วบินหนีหายไป พวกเขารู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก

“ทำไมเจ้าไม่จับเขา? เจ้ารู้ไหมถ้าเจ้าปล่อยเขาไป...” คุณชายใหญ่อดตะโกนด้วยความสงสัยไม่ได้

“หุบปากเจ้าเลย!”  ถังโฉ่วแค่นเสียง  เขาจ้องดูคุณชายใหญ่อย่างไม่เกรงใจ  คุณชายใหญ่ประหลาดใจเหมือนกับว่าถูกราดน้ำเย็นใส่ดับอารมณ์โกรธของเขา ทำให้ใจของเขากลับสงบ และเตือนเขาทันทีว่าเหมิ่งหนานไม่ใช่คนที่จะตอแยได้

ถังโฉ่วรั้งสายตากลับมา เขาไม่สนใจคุณชายใหญ่ เขาไม่รู้จักเหออิงและงานหลักของเขาคือรับฉินอวี่หรันและเขาเชื่อว่านายท่านคงไม่ใส่ใจเหออิง

เขามองดูถังเทียน

ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น คนที่เหลือก็ยังมองดูถังเทียน แต่เมื่อพวกเขาเห็นสีหน้าถังเทียนแล้ว พวกเขาถึงกับตกใจ พวกเขาไม่เคยเห็นหน้าถังเทียนเขียวคล้ำและน่ากลัวอย่างนั้นมาก่อน

ถังเทียนเค้นเสียงลอดไรฟัน “สมาพันธ์ชาวยุทธ!”

เป็นไปตามคารด

ตาของถังโฉ่วเป็นประกายลุกโชน  ‘ในที่สุดก็เริ่มต้นจริงๆ?’

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด