ตอนที่แล้ววันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0134
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปวันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0136

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0135


บทที่ 41 ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ, เดินทางไกล (4)

* * *

หลังจากยืนยันว่างูตายแล้ว ฉันเริ่มผ่อนคลายตัวเอง

ขณะกำลังลื่นไถล ฉันค่อนข้างตกใจที่รอบๆ กลายเป็นอ่างเก็บน้ำ

หันไปมองลิลี่ เธอกำลังจ้องมาด้วยสายตาดุร้าย อีกไม่นานก็คงได้ยินคำบ่น

…คงจะโกรธที่ฉันไม่ยอมบอกก่อน

แต่ถ้าบอกก่อน เกรงว่าเธอจะกลัวจนไม่กล้าลงมือ

สำหรับฉัน คงเป็นการดีกว่าหากจะขจัดความกลัวที่ไม่จำเป็นออกไป

“…อยากเห็นหน้าข้าตอนตกใจมากใช่ไหม”

“ถ้าตอบว่าไม่ ก็ดูจะเป็นการโกหก”

ฉันสัมผัสแรงบีบจากชายเสื้อที่ลิลี่กำลังจับ

เธอตื่นตัวกว่าปกติ เห็นแล้วอาการอยากแกล้งกำเริบขึ้นมา

ตอนนี้ฉันว่างพอที่จะสำรวจรอบตัว ด้านหน้าพวกเราคือกองหิมะที่ถล่มจากภูเขา ครึ่งล่างพวกเราถูกพวกมันคลุมอยู่ หากช้ากว่านี้อีกนิดเดียวก็คงถูกฝังทั้งตัว

ลิลี่เองก็ถูกคลุมด้วยหิมะที่คล้ายปุยสีขาว กระทั่งขนสีดำของเรลิกซิน่าก็ยังเปียกหยาดน้ำค้าง แต่ไม่นานก็ระเหยกลายเป็นไอด้วยอุณหภูมิร่างกายที่ร้อนระอุ

“กรร—”

ฉันลูบแผงคอเรลิกซิน่า

“ทำได้ดีมาก สนุกใช่ไหม”

“กรร—!”

“สนุกกับผีน่ะสิ! คิดจะเอาชีวิตเป็นเดิมพันทุกครั้งเพื่อความสนุกเนี่ยนะ!”

ลิลี่ใช้ฝ่ามือตบหลังฉัน แต่ก็ไม่เจ็บเพราะกำลังสวมแจ็กเกตหนา

เหนือสิ่งอื่นใด สมาธิของฉันกำลังเพ่งไปยังงูสีเทาขนาดมหึมา

แค่เห็นส่วนที่โผล่พ้นกองหิมะ ก็บอกได้ทันทีว่าขนาดของมันไม่ธรรมดา หรือต่อให้บอกไม่ได้ แต่ก็ต้องสังเกตเห็นว่าร่างกายของมันยาวไม่ต่ำกว่าสิบเมตร แม้ส่วนใหญ่จะอยู่ในอ่างเก็บน้ำก็ตาม

“…ลิลี่”

“เรียกทำไม”

“ฉันทำพลาดไปรึเปล่านะ”

“ยังต้องถามอีก? พร้อมที่จะสำนึกผิดแล้วรึไง”

“ไม่ใช่เรื่องนั้น… งูตัวนี้น่าจะเป็นเทพของคนท้องถิ่นไม่ใช่หรือ”

ฉันอาจไม่คุ้นเคยต่างโลกมากนัก แต่สำหรับวัฒนธรรมที่ต้องอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ เป็นธรรมดาที่คนท้องถิ่นจะนับถืองูยักษ์ดุจดังเทพ

นั่นคือสิ่งที่ฉันคิด แต่ก็โล่งใจหลังจากเห็นใบหน้าเจือความสับสนของมนุษย์สองคนตรงหน้า

…ดูเหมือนจะยังไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงลงไป

ชายแก่ที่จ้องมองพวกเราเงียบงัน ในที่สุดก็เปิดปาก

“วิญญาณศักดิ์สิทธิ์…”

อะไรนะ?

คำพูดจากชายแก่ทำเอาฉันเริ่มอึดอัด

อีกฝ่ายยังคงพูดต่อ

“เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง วิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะลงมาจาก ‘คนแก่ที่ไม่ขยับ’ …”

ลิลี่กระซิบข้างหู

“คราวนี้เป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สินะ”

หันหลังกลับไปมอง ลิลี่กำลังยิ้มมุมปาก ประหนึ่งเธอสนุกกับฉากตรงหน้า

ฉันรีบหน้าส่ายศีรษะ

“คงไม่ใช่ฉันหรอก”

“เจ้าแน่ใจได้ยังไง”

มองกลับไปที่ภูเขา พวกเราเห็นยอดเขาที่สูงทะลุเมฆซึ่งเคยยืนอยู่จนถึงเมื่อครู่

“บางที คนแถวนี้อาจจะปีนขึ้นไปข้างบนไม่ได้ จึงเกิดเป็นประเพณีกราบไหว้ยอดเขาดุจดังเทพหรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์”

“หืม…”

“แค่เห็นก็เดาได้แล้ว”

“ขนาดนั้นเลย”

หงึก

ผู้คนมีแนวโน้มที่จะนำจินตนาการตัวเอง ยัดใส่ในสิ่งที่เข้าไม่ถึง และเปลี่ยนให้เป็นตัวตนแสนวิเศษ

ระหว่างการท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ ฉันพบเห็นวัฒนธรรมทำนองนี้นับครั้งไม่ถ้วน

“…สรุปก็คือ พวกเราที่ลงมาจากภูเขา กลายเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในสายตาพวกเขา”

คนทั้งสองที่กำลังยืนมอง เผยท่าทีหวาดกลัว ฉันจึงเป็นฝ่ายเข้าไปหา

“เป็นชาวบ้านแถวนี้หรือ”

ชาแก่เอาแต่จ้องฉัน

เพื่อลดความห่างเหิน ฉันลงจากหลังเรลิกซิน่า

“ปล่อยข้าได้แล้ว”

ฉันคลายเชือกนิรภัยที่มัดลิลี่ไว้กับม้า พลางลูบไล้แก้มเรลิกซิน่า

เนื่องจากม้าตัวนี้มีรูปลักษณ์ค่อนข้างน่ากลัว ทำให้คนแปลกหน้าถูกข่มขวัญเมื่อได้เห็นเป็นครั้งแรก

ชายแก่ยังคงจ้องฉันโดยไม่พูด

มองเข้าไปในดวงตา คล้ายกับเขายังคงลุ่มหลงอยู่ในแฟนตาซีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ นั่นทำให้ฉันลำบากใจไม่น้อย

หญิงสาวหน้าตาอ่อนเยาว์ที่จ้องฉันด้วยดวงตาเปล่งประกายจากด้านหลังชายแก่ ก้าวขาออกมา

คนหนุ่มสาวมักคิดหลุดกรอบจากความเชื่อได้มากกว่าคนแก่เสมอ

“เจ้าเป็นมนุษย์ใช่ไหม?”

“ฉันดูไม่เหมือน?”

“ไม่ใช่แบบนั้น! ข้าแค่แปลกใจที่มนุษย์สามารถขี่หิมะลงมาจากคนแก่ที่ไม่ขยับได้ด้วย!”

ฉันไม่ปฏิเสธ จึงทำแค่ยิ้ม

จากนั้นก็หันกลับไปมองภูเขา

“ฉันมาจากข้างภูเขาลูกนั้น บังเอิญหิมะถล่มลงมาพอดี พวกเราจึงได้พบกัน”

“มาจากอีกฟากของเทือกเขาโนมิน่า?”

ฉันตอบใช่

หญิงสาวพยักหน้า ยกนิ้วโป้งให้พร้อมกับยื่นแขนออกมาขอจับมือ

“มาลิน่า·คาร์คัล”

“คังซอนฮู”

“กันซอนู?”

“คังซอนฮู”

“ชื่อของเจ้าหรือ”

“ซอนฮูคือชื่อ คังคือสกุล”

ฉันถามในสิ่งที่คาใจมาตั้งแต่แรกเห็นพวกเขา

“…พวกเธอเป็นมนุษย์?”

“ใช่”

ดวงตามาลิน่าเจ้าของเปลือกตาสองชั้น ทั้งกลมโตและลุ่มลึก ใบหน้ากระจ่างใสไร้ริ้วรอย ขมับฝั่งหนึ่งมีลวดลายสีแดงคล้ายธงชาติเกาหลีแบ่งครึ่ง ผมยาวสีน้ำตาลมัดหางม้าประเภทที่พบเห็นได้ทั่วไปบนโลก

มนุษย์กลุ่มแรกที่ฉันได้พบในต่างโลก

* * *

ในภายหลัง ชายแก่แนะนำตัวว่าชื่อ ‘จันทรา’

จันทรา·คาร์คัล

เขาเรียกมาลิน่ากลับไปและกระซิบกระซาบ

“เจ้าคิดจะทำอะไร”

“จะพาคนนอกเดินชมหมู่บ้านไง!”

“อาจเป็นบททดสอบของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ได้… พวกเราควรไตร่ตรองให้มาก”

“ไม่ใช่แบบนั้นแน่! พ่อก็ได้ยินแล้ว พวกเขามาจากบนเขา ทุกสิ่งที่ลงมาจากภูเขาต้องเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นหรือ? ถ้าหลังจากนี้ข้าปีนขึ้นเขาสำเร็จ จะกลายเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ด้วยไหม?”

“นังเด็กคนนี้… ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ผิด แต่เขาเป็นคนนอกนะ แถมยังมาพร้อมแวมไพร์ เจ้าไม่กลัวบ้างรึไง”

“ใครสนกันล่ะ คุณคนนอก! ชื่อซอนฮูใช่ไหม?”

ดูเหมือนมาลิน่าจะเบื่อหน่ายกับตำนาน จึงรีบวิ่งมาหามนุษย์ตรงหน้า

“ข้าได้ยินว่าด้านบนเทือกเขาโนมิน่ามีทุ่งกว้างขนาดใหญ่อยู่ เป็นความจริงหรือ”

ชายแปลกหน้าผงกศีรษะพลางก้มมองงูที่ร่างกายจมหิมะไปครึ่งซีก

งูที่ตายไปแล้วยังคงดีดดิ้นเล็กน้อย ทุกครั้งที่ผิวหนังขยับเป็นคลื่น จันทราจะสะดุ้งเฮือก

เมื่อยี่สิบปีก่อน งูตัวนี้บุกรุกหมู่บ้านที่ไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือ จนเกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง

มาลิน่า ลูกสาวคนเล็กสุดของจันทราไม่มีประสบการณ์นั้น เธอจึงยังร่าเริงอยู่ได้

จันทรามักกังวลกับท่าทีไม่เกรงกลัวอันตรายของลูกสาว

อย่างน้อยก็หนึ่งร้อยปี ที่งูตัวนี้กลายเป็นสัตว์ประหลาดซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับละแวกใกล้เคียง

แต่ขณะเดียวกัน มันก็ถูกนับถือประหนึ่งสัตว์เทพด้วยความหวาดกลัว

ทุกครั้งที่สังเวยต้องสูญเสียหลายสิ่ง

โศกนาฏกรรมที่ดำรงอยู่มายาวนานหลายชั่วอายุคน จบลงง่ายดายเพียงนี้เชียว?

เหตุการณ์กะทันหันได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่สืบทอดกันมายาวนาน

หลังจากยืนยันความตายของงูอีกครั้ง คนนอกชะโงกมองผืนหญ้าด้านล่างเขื่อน

เขากำลังคิดอะไร?

ค่อนข้างผิดขาด อีกฝ่ายเผยสีหน้าสดใส คล้ายกับกำลังมีความสุขจากใจจริง

ทำไมถึงมีความสุข?

จันทราเดินเข้าไปใกล้และถาม

“เอ่อ… ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุผลใด”

“ฉัน?”

คนนอกแหงนมองฟ้ากะทันหัน ปลายสายตาคือรูปปั้นปีศาจและยักษ์เหนือศีรษะในจุดห่างไกล

เนื่องจากเป็นกลางวัน รูปปั้นทั้งสองจึงสร้างเงาทอดยาวจนเกือบจะเปลี่ยนสภาพอากาศ

“มาเที่ยวน่ะ”

“…หา?”

“แวะเที่ยวมาเพื่อตามหาบางสิ่ง”

“ตามหาอะไร…”

“อีกเดี๋ยวจะมีเหยี่ยวลงมาที่นี่ พวกนายเคยได้ยินข่าวไหม”

ได้ยินคนนอกถามเข้าประเด็น จันทราและมาลิน่าเริ่มประหม่า

ทันใดนั้น จันทรารู้สึกต่อต้าน

คนนอกรายนี้คิดจะฉวยโอกาสจากการมาเยือนของเทพ?

คล้ายกับอ่านความกังวลของจันทราออก แวมไพร์ด้านหลังคนนอกหรี่ตาลง

แต่เมื่อลองนึกดูให้ดี จันทราไม่ได้ระแวงคนนอกรายนี้มากนัก

เขาอาจเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ และเหนือสิ่งอื่นใด เขาคือผู้จัดการกับงูยักษ์ที่สร้างภัยพิบัติให้หมู่บ้าน

หลังจากครุ่นคิด จันทรากลับมาอ่อนโยนอีกครั้ง

“เคยได้ยินสิ เป็นชะตากรรมของเผ่าคาร์คัลเรา ที่ต้องสนับสนุนการเสด็จเยือนของพระองค์ในทุกหนึ่งพันปี…”

“โฮ่…”

เมื่อจันทราพูดเป็นนัยว่ามีข้อมูล สีหน้าคังซอนฮูสดใสทันที

“ช่วยเล่าเพิ่มเติมได้ไหม”

“ก่อนอื่น มากับพวกเราสิ แล้วจะเล่าให้ฟัง”

มาลิน่าที่ฟังจากด้านหลังก้าวเท้าออกมา ดูเหมือนจะตื่นเต้นกับคนแปลกหน้ากลุ่มแรกที่ตัวเองเคยเจอ

โดยเฉพาะกับชายหนุ่มที่ค่อนข้างแข็งแรง

…นังเด็กไม่รู้จักโต

อย่างไรก็ดี พฤติกรรมของเธอสอดคล้องกับช่วงอายุ จันทราจึงไม่ได้รังเกียจอะไร

* * *

“หมายความว่า เมื่อเทพเสด็จเยือน ปีศาจจะแหงนหน้า?”

“ใช่! กล่าวกันว่าปีศาจจะแหงนหน้าและไล่ล่าเทพ ตระกูลของเรามีชะตากรรมต้องหยุดมันและช่วยให้เทพร่อนลงสำเร็จ!”

แม้จะเป็นชะตากรรมของตระกูลที่ดูยิ่งใหญ่เกินกำลัง แต่เสียงของมาลิน่ากลับร่าเริง

…หรือว่าพูดออกมาโดยไม่คิดอะไรกันนะ

ฉันชอบความกระฉับกระเฉงนี้ จึงไม่อยากขัดคอ

ครึก—!

ความสนใจทั้งหมดของฉันเพ่งอยู่กับลิฟต์ที่กำลังโดยสาร

เป็นลิฟต์ที่ติดกับสันเขื่อน ขึ้นลงได้ด้วยเชือกสีทองเล็กๆ หนึ่งเส้น

“อึก…”

ลิลี่ชะโงกหัวออกจากราวกั้น ก้มมองอย่างเงียบงันก่อนจะหลับตาปี๋

ฉันไม่กล้าทำแบบนั้น มันดูอันตรายเกินไป แม้ลิฟต์ตัวนี้จะขยับอย่างอ่อนโยนเหมือนกับลิฟต์แพงๆ ในอพาตเมนต์หรูก็ตาม

“ลิฟต์ของเขื่อนก็เป็นมรดกจากคนโบราณหรือ”

“ใช่ แถวนี้มีเพียงเลย เจ๋งใช่ไหมล่ะ เจ้าเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนไหม”

ในอพาตเมนต์ของฉันก็มี

แต่สำหรับชาวต่างโลก นี่คงเป็นเหมือนเวทมนตร์ ฉันมีลางสังหรณ์ว่ามันอาจเคลื่อนไหวได้ด้วยรูน

กลับเข้าประเด็นดีกว่า

“ตระกูลของพวกนายจะช่วยเหลือเทพด้วยวิธีใด”

ได้ยินคำถามฉัน มาลิน่าเผยสีหน้าหม่นหมอง

“…ต้องค้นหาให้เจอ”

“ต้องค้นหา?”

จันทราที่ฟังเงียบงัน เป็นฝ่ายตอบแทน

“ตระกูลของเราไม่เคยช่วยเหลือพระองค์สำเร็จ ความล้มเหลวทุกพันปีแปลว่าพวกเรายังไม่ค้นพบวิธี”

น้ำเสียงจันทรายังแฝงความกังขาในตัวฉัน คล้ายกับพยายามเก็บซ่อน แต่ก็มิอาจเล็ดลอดสายตา

ระหว่างบทสนทนา พวกเราลงมาถึงเชิงเขื่อน

ฉากตรงหน้าแตกต่างจากที่เคยเห็นและจินตนาการจากด้านบน

มองจากข้างบนนึกว่าจะมีเขื่อนอยู่อีกชั้น แต่ดูใกล้ๆ เหมือนกับกำแพงเมืองมากกว่า

คนงานหลายคนกำลังยืนอยู่บนกำแพงนั่น สีหน้าเคร่งเครียดราวกับงานของตนไม่ราบรื่นนัก

พวกเขาตะโกนคุยกับจันทราทันทีที่เห็น

“จันทรา! ข้างบนเกิดดินถล่ม! เจ้าไม่บาดเจ็บใช่ไหม?”

“ไม่บาดเจ็บ ท่านหัวหน้างาน”

“แล้วเจออะไรที่พอจะเป็นเครื่องมือได้ไหม”

จันทราส่ายหน้า

“พวกเรายังไม่เจออุปกรณ์ที่จะเปิดประตูบานนี้… ว่าแต่ ข้าเคยปีนขึ้นไปบนเขื่อนก็หลายครั้ง แต่ไม่เคยเห็นดินถล่มแบบนี้มาก่อน…”

หัวหน้าคนงานถอนหายใจยาว

ต้องเครียดขนาดไหนถึงมองไม่เห็นฉัน?

ฉันกวาดตาไปรอบตัว และเห็นอุปกรณ์หนักวางเรียงรายหน้าประตูเหล็กบานใหญ่

ถึงจะเรียกอุปกรณ์หนัก แต่ก็ประกอบด้วยค้อนใหญ่ หรือค้อนที่ใหญ่กว่า รวมถึงเครื่องจักรหยาบๆ ขนาดใหญ่ที่มีค้อนยักษ์ติดตั้งอยู่

คล้ายกับพยายามเปิดประตูบานนั้นให้ได้ แต่ยังไม่มีวิธี

ฉันเดินเข้าไปหาหัวหน้างานและถาม

“ขอประทานโทษ”

“…?”

หัวหน้างานหันมามองฉันพลางขมวดคิ้ว

“…หมู่บ้านส่งมาหรือ”

ดูเหมือนจะเข้าใจผิด ไม่คิดว่าฉันเป็นคนนอก แต่เป็นหนึ่งในทีมงาน

ฉันเลี่ยงคำตอบและถามกลับ

“อยากเปิดประตูบานนี้ใช่ไหม”

“ใช่ ไม่ได้ฟังเนื้องานมารึไง? กองอัศวินเหยี่ยวบอกว่าต้องหาวิธีเปิดประตูบานนี้ให้ได้ในหนึ่งสัปดาห์”

“ทำไมล่ะ”

“สิ่งที่จำเป็นต่อการเสด็จเยือนของเทพอยู่อีกฟากหนึ่งของประตู”

ฉันหันไปมองประตู

หากมองจากข้างหน้า ถ้าต้องการเห็นทั้งบานก็ต้องแหงนศีรษะมอง

ประตูใหญ่ถึงเพียงนั้น

ทั้งบานสร้างจากโลหะนิรนาม

“…ขอเปิดได้ไหม”

“หา?”

“อาจต้องใช้เวลานานหน่อย ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

“…?”

ราวกับไม่เข้าใจเจตนาฉัน หัวหน้างานเอาแต่จ้องโดยไม่เปิดปาก

ได้เห็นใกล้ๆ แบบนี้ เขาตัวสูงมากทีเดียว

ฉันถอดถุงมือจนเหลือฝ่ามือเปลือยเปล่า จากนั้นก็สัมผัสลงไป

“…ลิลี่”

“เจ้ายังไม่ลืมหรือ ข้านึกว่าลืมไปแล้วซะอีก”

ฉันเชื่อมวิญญาณกับแวมไพร์เชียวนะ จะลืมได้ยังไง

ขณะวางมือลงบนประตูเหล็ก คนรอบข้างต่างกระซิบกระซาบ บางส่วนมองมาทางพวกเรา

แกร่ก!

พวกเขาทยอยอ้าปากทีละคน

พลังที่ได้มาจากเลือดปรสิต

อาจเป็นพลังวิเศษชนิดเดียวที่ฉันมี

…นานแล้วสินะที่ไม่มีโอกาสได้ใช้

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด