ตอนที่แล้วตอนที่ 480 เอาตามนั้น!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 482 ไป่อาโฉ่ว

ตอนที่ 481 สำนักมวยชางหยาง


ตลอดเส้นทางถังเทียนพยายามอย่างหนักและต่อเนื่องในการสื่อสารกับเสี่ยวเอ้อ  เขาอยากได้สนามพลังวิญญาณแทบแย่ มีสนามพลังวิญญาณก็หมายความว่าเขามีความก้าวหน้านอกจากนั้นถังเทียนยังไม่มีความคิดอย่างอื่น

ร่างกายพลังเป็นศูนย์ของเขาไม่มีทางที่จะก้าวหน้าได้ จิตวิญญาณยุทธของเขาบริสุทธิ์มากจนกลายสภาพเป็นเสี่ยวเอ้อ เขาไม่รู้ว่าควรจะฝึกและแสวงหาความก้าวหน้าต่อไปได้ยังไง

เสี่ยวเอ้อกลายเป็นของเล่นของถังเทียนในช่วงที่ผ่านมาสองสามวัน

โชคดีสำหรับถังเทียนที่เสี่ยวเอ้อโง่มากดังนั้นไม่ว่าถังเทียนจะแกล้งมันยังไงมันก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากน่าเสียดายที่เขาไม่มีความคืบหน้ามากนัก แต่เขาทำการปรับแต่งได้สองสามอย่าง

เสี่ยวเอ้อเชี่ยวชาญในการควบคุมพลังงานมันเกิดมาพร้อมกับความสามารถดึงดูดรั้งพลังมารวมกัน  ตัวอย่างเช่น เมื่อถังเทียนทำลายหินดวงดาว เสี่ยวเอ้อสามารถควบคุมพลังงานที่ถูกปล่อยออกมาได้  การควบคุมพลังระดับละเอียดของเสี่ยวเอ้อมีอยู่เหนือพลังงานทำให้ถังเทียนประหลาดใจ   มันสามารถดึงดูดพลังเลียนแบบเส้นชีพจรและตันเถียนของถังเทียนได้เมื่อถังเทียนต่อย มันสามารถเลียนแบบรังสีหมัดได้

แน่นอนว่าภาพย่อมเป็นของปลอมและไม่มีประโยชน์เท่าใดนัก

ถังเทียนเล่นกับมันอยู่ชั่วขณะก่อนจะเลิกสนใจและเริ่มสอนวิชาอื่นให้เสี่ยวเอ้อ  เสี่ยวเอ้อโง่จริงๆเหมือนกับท่อนไม้ทำให้ถังเทียนรู้สึกจนใจ  ถังเทียนมักจะมีความคิดหลายอย่างและชอบโพล่งคำพูดออกมา  แต่เสี่ยวเอ้อก็แค่มองเขาอย่างว่างเปล่าไม่เข้าใจอะไรอย่างสิ้นเชิง

นอกจากเสี่ยวเอ้อแล้วร่างพลังเป็นศูนย์ยังคงมีประโยชน์อยู่สองสามอย่าง นอกจากร่างกายของเขาจะทรงพลังมาก การควบความของถังเทียนก็ทำได้ราบรื่นมาก

“เฮ้ลุง, รีบดู  รีบดู!”

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของถังเทียนเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง  ในพริบตาเขาเปลี่ยนรูปหน้าดูแปลกๆ

ปิงมองดูและพ่นควัน  เขาชม “เป็นผลข้างเคียงของวิชาที่มีประโยชน์ แต่ความอัปลักษณ์ของเจ้ามันซึมลึกเข้ากระดูกดำจริงๆ”

อย่างน้อยบนเส้นทางก็ไม่เปลี่ยวเหงา  ดังนั้นเวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเฉินหวี่และถังเทียนและปิงมาถึง  เขาตกตะลึงและรีบสอบถามทันที  “ฝ่าบาท, ทำไมท่านกับใต้เท้าปิงถึงมาที่นี่ก่อน?แล้วคนที่เหลืออยู่ที่ไหน?”

“มีแต่เราสองคนเท่านั้น”  ถังเทียนมองดูเฉินหวี่จากนั้นหยุดและจ้องมองเขา  “ท่านคิดว่าเราทำไม่ได้หรือ?”

ปิงยืนพ่นควันอยู่ข้างๆ ราศีเขาหมองลง

เฉินหวี่ถึงกับขนสันหลังตั้งชันและตอบตามเหตุผลทันที  “ข้าน้อยหมายถึงฝ่าบาทมากับใต้เท้าปิงเท่านั้นหรือ!เพราะท่านทั้งสองมาพร้อมกันก็ยิ่งมีหลักประกันเพิ่มขึ้นทวีคูณ!”

ล่วงเกินผู้นำที่ใหญ่ที่สุดเป็นเรื่องโง่ที่ข้าเฉินหวี่จะไม่ทำแน่

“ฮ่าฮ่าเป็นไปตามคาด ท่านช่างมีสายตายาวไกลจริง” ถังเทียนยกย่องเฉินหวี่เสียงดัง

“อธิบายสถานการณ์ให้เราฟังด้วย” ปิงพ่นควันและกล่าวซึ่งทำให้เฉินหวี่หายความรู้สึกเสียวสันหลัง และเขาถอนหายใจโล่งอกเขาพบว่าเป็นเรื่องแปลก พลังของใต้เท้าปิงธรรมดามากทำไมถึงทำให้เขากระวนกระวายได้?

ติงตังมองดูพวกเขาเงียบงัน นางคุ้นกับมารยาทที่เอาแน่นอนไม่ได้ของถังเทียนเสียแล้วนางเคยเห็นสถานการณ์ที่แย่กว่านี้มาแล้ว

“สถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน”  ติงตังพูดอย่างมืออาชีพเมื่อถึงเวลาเป็นงานเป็นการนางจะใช้รูปแบบการพูดที่นางฝึกฝนมาทันที  “ดวงตาเซกซ์แทนส์อยู่ในมือของเจ้าสำนักชางหยางหวี่เจ้าของสำนักชางหยางและเป็นหนึ่งในของสะสมของเขา  สำนักชางหยางเป็นสำนักฝึกยุทธที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์และธุรกิจของชางหยางหวี่มีข้อมูลน้อยมาก ไม่มีใครรู้พลังความแข็งแกร่งของเขา ในด้านนี้ให้ท่านเฉินพูดจะเหมาะกว่า”

เฉินหวี่พูดเสียงทุ้ม  “ปกติจะมีการต่อสู้ที่รุนแรงระหว่างสำนักยุทธ  การเอาชนะสำนักยุทธอื่นได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปแต่ไม่มีใครกล้าต่อสู้กับสำนักชางหยาง สำนักยุทธชางหยางจึงได้รับการยกย่องให้เป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์แน่นอนเพราะชางหยางหวี่มีศิษย์สามคนที่มีชื่อเสียงมาก ศิษย์คนโตชื่อฟู่จงซาน คนรองคือหยางเฮ่าหลาน และคนสุดท้ายคือ หลีรั่ว  เป็นระดับเซียนกันทุกคน”

“เป็นระดับเซียนกันทุกคนหรือ?  แข็งแกร่งมากหรือ?”  ถังเทียนเบิกตากว้าง  เขาประหลาดใจ

หน้าของเฉินหวี่เขียวคล้ำขณะเขาพยักหน้า  “ตระกูลหนึ่งกับสามเซียน โดยพื้นฐานไม่มีสำนักยุทธแห่งไหนกล้าต่อสู้กับสำนักยุทธชางหยาง  มีสามเซียนคอยสนับสนุนอยู่ใครจะกล้าเล่า?  ไม่ใช่แค่เพียงสำนักเท่านั้น  ทั่วกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์มีสามเซียนตั้งแต่แรกก็ไม่มีโจรปล้นและเมื่อใดก็ตามที่มีนักสู้จากถิ่นอื่นเข้ามา พวกเขาจะไม่กล้าเหิมเกริมจนเกินไป ดังนั้นสำนักชางหยางจึงมีชื่อเสียงในกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์  กฎของสำนักชางหยางก็เข้มงวดที่สุดเช่นกันเมื่อศิษย์มีการล่อลวงหรือข่มขืนก็จะถูกฟู่จงซานตัดหัวต่อหน้าสาธารณชน”

“โหดร้ายมาก!”  ถังเทียนอ้าปากกว้าง  หน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ

“ไม่ใช่แค่นั้น”ติงตังกล่าว  “เมื่อเรากำลังสืบสวนดู  เราพบว่าสำนักชางหยางแข็งแกร่งมากกว่าที่เราคิด  นอกจากจะมีสามเซียนแล้วสำนักชางหยางยังมีนักสู้ระดับทองราวๆสิบหกคน ด้วยพลังขนาดนั้นพวกเขาจึงแข็งแกร่งมากกว่าตำหนักระนาบกลางหลายแห่งเลยทีเดียว”

“เมื่อเราสืบลึกลงไปชางหยางหวี่ก็ยิ่งยากจากหยั่งถึง” ติงตังชำเลืองมองถังเทียน “และเราพบคนอาชีพเดียวกันเป็นจำนวนมาก”

“อาชีพเดียวกัน?หมายความว่าไง?”  ถังเทียนไม่เข้าใจ

“ผู้คนที่กำลังสืบค้นเหมือนอย่างพวกเรา”  ติงตังหน้าเขียวคล้ำยิ่งขึ้น  “มีทั้งองค์การวิญญาณมืดและสมาพันธ์ชาวยุทธเป้าหมายของพวกเขามีแนวโน้มว่าจะเป็นดวงตาแห่งเซกซ์แทนเหมือนกัน เพราะเร็วๆนี้ใครบางคนได้ยินเรื่องราวของมัน ถ้าไม่เพราะท่านเฉิน เราคงไม่สามารถได้ข้อมูลเหล่านี้”

เฉินหวี่ตอบทันที“ข้าน้อยมีรายงานอยู่สองสามอย่าง แต่ไม่กล้ายืนยัน  ข้อมูลมีน้อยมาก เรารู้แต่เพียงว่าชางหยางหวี่มีดวงตาเซกซ์แทนส์  แต่เราไม่สามารถค้นพบได้ว่าใช้ทำอะไร  และมีเรื่องหนึ่งที่แปลกมาก คือทุกครึ่งเดือนสำนักยุทธชางหยางจะปล่อยคลื่นที่แปลกประหลาดมาก”

“ระลอกคลื่นที่แปลกมาก?”  ปิงหันควับทันที

“ถูกแล้ว”เฉินหวี่อธิบาย  “เริ่มขึ้นราวๆสี่เดือนที่แล้ว ใต้เท้าก็คงรู้เช่นกัน กลุ่มดาวเซกซ์แทนส์ผลิตสมบัติดวงดาวหลายชนิดที่สามารถใช้ตรวจสอบและใช้อ่านได้และหลายๆ คนได้ตรวจสอบระลอกนี้ แต่ทุกคนคิดว่าอาจเป็นไปได้ว่าใครบางคนในสำนักชางหยางจะบรรลุระดับเซียน แต่หลังจากนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นและหลังจากนั้นทุกกึ่งเดือนก็จะมีระลอกออกมาอีกครั้งข้าน้อยกำลังคิดว่า  เป็นไปได้ไหมที่ระลอกประหลาดนั่นมาจากดวงตาแห่งเซกซ์แทนส์  มันอาจปล่อยออกมาก็ได้?”

“อาจเป็นไปได้”  ปิงพยักหน้าช้าๆประกายแปลกประหลาดฉายวูบในดวงตาเขา

“เราควรลอบเข้าไปในกลางคืนไหม?” ถังเทียนตื่นเต้นที่ได้เบาะแสหลายอย่างในวันแรก  ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีจริงๆ

เฉินหวี่มีสีหน้าซับซ้อน

“มีปัญหาหรือ?”  ปิงสังเกตสีหน้าของเฉินหวี่จึงเคาะเถ้าบุหรี่ออก  เขาถามตามตรง

“ใต้เท้าสำนักชางหยางมีการคุ้มกันเข้มงวดและจากที่ข้ารู้ พวกเขามีคนอยู่สองสามคนที่มีสมบัติที่สามารถตรวจได้เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา เรายังคงเตรียมตัวลอบเข้าอยู่ด้านนอกมีคนสอดแนมจากองค์การวิญญาณมืดคนหนึ่งลอบเข้าไปเมื่อมีคนขององค์การวิญญาณมืดลอบเข้าไป ในเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงเขาก็ถูกฆ่า”เฉินหวี่คิดเรื่องคืนนั้นแล้ว เขาหนาวสะท้านในหัวใจ

“นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดี”  ติงตังพูดและเสนอความเห็นทันที  “มีคนสังเกตการณ์อยู่ที่นั่นมาก  ทันทีที่มีความเคลื่อนไหว  เราจะถูกเปิดเผย  และคู่ต่อสู้มีสามเซียนและยังไม่รู้ว่าชางหยางหวี่แข็งแกร่งขนาดไหนอีกและยังมีนักสู้ระดับทองอีกจำนวนหนึ่ง ถ้าเราลงมือเคลื่อนไหว เราจะไม่ได้เปรียบอะไร”

“ถูกแล้ว,ฝ่าบาท ทำไมไม่ให้ข้าส่งศิษย์ลอบเข้าไปในสำนักมวยชางหยางล่ะ”  เฉินหวี่เสนอทันที  “ทุกๆ ปีเวลานี้ สำนักมวยชางหยางจะเปิดคัดเลือกศิษย์ เรื่องดีสำหรับสำนักมวยชางหยางก็คือพวกเขาไม่ปฏิเสธศิษย์สำนักมวยอื่นให้เข้าร่วม  สำหรับสำนักมวยอย่างเรา ทุกๆปีเราจะได้รับโควตาแนะนำแน่นอน  นั่นยังเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการรับศิษย์  โควตาเหล่านี้มีมูลค่าเป็นเงินมหาศาล”

ติงตังเสริม “สำนักมวยชางหยางใช้วิธีนั้นและขยายการควบคุมสำนักมวยอื่นและควบคุมกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์”

“เป็นวิธีที่ฉลาด”  ปิงยกย่อง

“เราไม่จำเป็นต้องใช้ใครอื่น  ข้าจะไปเอง!”  ถังเทียนกล่าวโดยไม่ลังเล

สีหน้าเฉินหวี่ชะงักค้าง หลังจากผ่านไปชั่วขณะเขาค่อยพูดออกมาอย่างยากลำบาก “ฝ่าบาทกำลังล้อเล่นอยู่แน่ สถานะฝ่าบาทสูงส่ง...”

“ข้าไม่ได้ล้อเล่น”  ถังเทียนส่ายศีรษะ  “พวกเขาคัดเลือกศิษย์ปีละกี่ครั้ง?”

“ครั้งเดียว”เฉินหวี่ตอบ

“ดังนั้นถ้าเราล้มเหลวครั้งนี้ เราจะไม่มีโอกาสอีกต่อไปใช่ไหม?”  ถังเทียนส่ายศีรษะรัว  “ไม่ล่ะ, ข้าจะไปเอง!”

“แต่...”เฉินหวี่ยังคงพยายามแนะนำเขา

“ให้เขาไปเถอะ!”  ปิงพูดทันที  “เขามีวิธีปกป้องตัวเองได้”

“และข้าสามารถเปลี่ยนหน้าได้” กล้ามเนื้อใบหน้าของถังเทียนเริ่มดิ้นและเปลี่ยนแปลงจนใบหน้าแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง  ไม่มีตำหนิอะไร

พลังงานที่น่าพอใจยังคงเพิ่มอยู่ลึกๆในไขกระดูกของเขา

******************

ในขณะเดียวกันกับที่ถังเทียนเตรียมแทรกซึมเข้าสำนักมวยชางหยาง  หลิงซิ่วกำลังตระเวณค้นหาอยู่ในป่าอย่างขมขื่น

“ดูเหมือนน่าจะอยู่ที่นี่?”  เขาไม่มั่นใจ

มองดูรอบๆ หนึ่งต้น สองต้น สาม สาม สาม....

“เอ่..ทางออกไปทางไหนหว่า?”  หลิงซิ่วพึมพำ  “มันออกไปได้ยังไง ข้ายังไม่ทันได้แทงมันเลย”

วิเวียนอยู่บนหลังของเขามีผ้ายัดปากไว้นางมีสีหน้าประหลาด

พี่หลิงก็งี่เง่าจริงๆ ประสาทแยกแยะเส้นทางของเขาต่ำจนน่าสงสาร...

ตำแหน่งที่หลิงซิ่วได้สู้กับเจ้าเมืองมิซาร์ก่อนนั้นมีคนยืนอยู่ตรงนั้นสองคน  เจ้าเมืองมิซาร์ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเห็นได้ชัด  ชุดของเขาชุ่มเลือดใบหน้าซีดขาว

“เมื่อหอกของเขาสามารถทำร้ายเจ้าได้  พลังของเจ้าเด็กนี่ไม่ได้อ่อนแอเลย”  คนที่พูดคือเจ้าเมืองอาเลียธ เขาดูราวกับอายุ30 ปี  มีผิวขาวท่าทางเรียบง่าย สบายๆปากของเขามีรอยยิ้มที่ชั่วร้าย

แววโกรธฉายอยู่ในดวงตาของเจ้าเมืองมิซาร์  ขณะที่เขาตอบอย่างเย็นชา  “เจ้าจะรู้เมื่อเจ้าลองดู”

“เอ่..จากร่องรอย,เขาจะกลับมาหรือ?” เจ้าเมืองอาเลียธประหลาดใจ

“น่าจะวางใจได้”  เจ้าเมืองมิซาร์พูดเย็นชา  “เขายังคงบาดเจ็บและคงจะเสียเวลาบ้าง”

เจ้าเมืองอาเลียธหัวเราะลั่น  “ดูเหมือนสถานการณ์ของเขาก็ไม่ดีเหมือนกันใช้แผนตื้นๆ และโง่เขลาก็สนุกดีเหมือนกัน ข้ารู้สึกได้ว่าเขาอยู่ที่ปลายเส้นทางเขาแล้ว”

“หยุดพูดไร้สาระ  รีบไล่ตามไปได้แล้ว!”  เจ้าเมืองมิซาร์พูดเย็นชา

ทั้งสองคนเหินออกไปเหมือนควันจาง พวกเขามุ่งตรงไปยังเทือกเขาพญาหมีอย่างเร็วที่สุด

หลิงซิ่วไม่รู้สึกเหนื่อยล้า  แต่เขารู้สึกว่าจะหลงทางเสียแล้ว  เขาโกรธหนักและตะโกนลั่นป่า จนหมู่นกหวาดกลัวบินเตลิด

“เฮ้,พวกเจ้าอยู่ไหน!”

“ออกมาสิเว้ย! มาสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง!”

“ขี้ขลาด,ไม่กล้านี่หว่า, สวะแท้ๆ”

“พวกเจ้าไม่ไล่ล่าข้าอีกแล้วหรือไง?  ข้าอยู่นี่ ข้าอยู่นี่  กุมารีศักดิ์สิทธิ์ก็อยู่ที่นี่ด้วย

“ไอ้พวกบ้า! ทำไมพวกเจ้าถึงได้โง่กันอย่างนี้นะ”

……

หลังจากผ่านไปครึ่งค่อนวัน เขาก็ยังรู้สึกว่าลมที่พัดใส่เขาก็ยังเป็นลมในป่าแห่งเดิม  นกกาก็ยังคงเป็นนกกาชุดเดิม หลิงซิ่วตะลึง

วิเวียนหลับตาตลอดเวลาช่วงนี้  นางสิ้นหวัง และสงสัยขึ้นมาทันทีว่าจะสามารถกลับไปยังเทือกเขาพญาหมีได้หรือไม่?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด