ตอนที่แล้วตอนที่ 426 - หลอกล่อต่อไป
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 428 - คู่ต่อสู้แข็งแกร่งช่วยบรรลุขอบเขตใหม่

ตอนที่ 427 - เมื่อพี่เขยโมโห


“จักรพรรดิชื่อตี้น่ากลัวพอไหม? พวกเจ้าจะอธิบายความน่ากลัวของเขาได้ยังไง?” เย่ว์หยางแสดงให้เห็นว่าแค่คำอธิบายนี้ยังไม่ดีมากพอ

“ถ้าเขาไม่น่ากลัว งั้นเขาก็คงน่ารักใช่ไหม?” มารฟ้าวิบัติอดย้อนเย่ว์หยางไม่ได้

“ท่าน… จักรพรรดิชื่อตี้…ควรอธิบายด้วยคำว่าน่ารังเกียจ ไม่มีคำใดเหมาะกับบุรุษผู้นี้มากกว่านี้อีกแล้ว!” เมื่อได้ยินเช่นนี้ มารฟ้าวิบัติถึงกับมีความสุข อย่างไรก็ตาม พอมารบาปฟ้าได้ฟัง เขากลับรู้สึกจิตใจตึงเครียด ในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่ทำให้เย่ว์หยางเรียกพวกเขาว่าน่ารังเกียจ

ตำนานจักรพรรดิอวี้มีมานานแล้ว แล้วก็มีไม่มาก

อย่างไรก็ตาม ทุกคนรู้ดีว่าจักรพรรดิอวี้คือยอดนักสู้ปราณก่อกำเนิดเมื่อหกพันปีที่แล้ว เขามีพลังมากถึงขนาดกล้าเผชิญหน้ากับผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ แม้ว่ามารกฎฟ้าจะมิได้บอกทุกคน แต่ทุกคนก็รู้ข่าวลับว่าเย่ว์หยางผ่านเข้าไปในวังเทพของจักรพรรดิอวี้ ขณะนั้นทุกคนห่วงกังวลกันมาก แม้ว่าผนึกสามผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์จะต่ออายุออกไปได้ แต่พวกเขากลับเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหล่านักสู้มิอาจต่อกรได้

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวังเทพจักรพรรดิอวี้

เมื่อมารกฎฟ้ากลับมาอย่างเงียบๆ นางไม่บอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขา นางเพียงบอกพวกเขาว่าผนึกบนตัวผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ทั้งสามแตกทำลายแล้วและพวกเขาออกไปจากวังเทพจักรพรรดิอวี้ได้

แม้แต่มารสัมฤทธิ์ฟ้าก็ยังตกตะลึงพยายามจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ…..

อย่างไรก็ตาม เพราะคุณชายสามตระกูลเย่ว์ผู้ยากหยั่งถึง, มารกฎฟ้าจึงไม่ตาย ยิ่งกว่านั้นพลังของนางยังเพิ่มมากขึ้นกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับสิบ นอกจากนี้เรื่องที่ลึกลับก็คือ ทุกครั้งที่มารกฎฟ้าและเย่ว์หยางร่วมมือกัน พลังของนางจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่นางจะช่วยเย่ว์หยางต่อสู้กับซุ่นเทียน, องค์ชายเงาดำและบารุธ พลังของนางมากกว่ามารแค้นฟ้าแค่เพียงเล็กน้อย

หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ นางมีพลังเหนือกว่ามารแค้นฟ้าสิ้นเชิง และกลายเป็นจอมมารฟ้าผู้แข็งแกร่งเป็นอันดับสองของวังมาร

หลังจากต่อสู้ในวังเทพจักรพรรดิอวี้แล้ว แม้แต่มารสัมฤทธิ์ฟ้าก็ยังตระหนกกับระดับพลังที่เพิ่มขึ้นของนาง

ยังไม่ทันสามเดือน นางกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับสิบแล้ว

แม้แต่ศักยภาพบรรลุพลังระดับใหม่ของนางจะยิ่งใหญ่กว่าแต่ก่อน การยกระดับขึ้นสู่ระดับเดียวกับจื้อจุนใกล้จะเกิดขึ้นเต็มที

มารแค้นฟ้าถูกทิ้งไม่เห็นหลังภายในเวลาเพียงสามเดือน ฝีมือของเขาห่างจากมารกฎฟ้ามากเกินไป เรื่องที่ทำให้มารแค้นฟ้าอยากฆ่าตัวตายก็คือเคล็ดลับที่เย่ว์หยางสอนมารกฎฟ้า ยิ่งมารกฎฟ้าฝึกมากเพียงไหน ระดับนักสู้ของนางก็ตกลงมาก ระดับนางตกลงจากนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับสิบ เป็นปราณก่อกำเนิดระดับเก้า แต่พลังของนางมิได้ตกลงเลยมีแต่จะเพิ่มขึ้น นี่ทำให้ทุกคนตาแทบปะทุออกจากเบ้า เพราะวิชาลับนี้เองทำให้มารสัมฤทธิ์ฟ้า มารแค้นฟ้าและมารฟ้าคนอื่นๆ เข้าใจว่าคุณชายสามตระกูลเย่ว์หยางไม่ใช่ชนชั้นอ่อนแอ และเพราะเจ้าเด็กนี่ไม่จำเป็นต้องมีระดับที่สูงมาก แต่เขาก็สามารถเอาชนะคนที่มีระดับนักสู้ที่สูงกว่าทั้งที่ตนเองยังมีระดับอ่อนแอกว่าด้วยซ้ำ

แม้แต่มารสัมฤทธิ์ฟ้าก็ยังพูดไม่ออก เมื่อต้องเผชิญกับคนที่ไม่ธรรมดาอย่างนั้น

ถ้าพวกเขาสามารถได้รับเคล็ดลับวิชานี้ได้ สิบมารฟ้าอาจกวาดหอทงเทียนได้ทั้งหมด

ปัญหาก็คือว่าคุณชายสามตระกูลเย่ว์ยินดีสอนให้แต่มารกฎฟ้าเท่านั้น

แม้ว่าหัวใจทุกคนจะกระหายใคร่รู้วิชานี้ แต่พวกเขาไม่สร้างความลำบากใจให้มารกฎฟ้า ที่สำคัญนั้น หลายๆ อย่างจะต้องทำด้วยตนเองทั้งนั้น ก็เหมือนกับสัตว์อสูรและทักษะที่ได้รับจากคัมภีร์อัญเชิญ พวกเขาเพียงแต่ได้รับมอบจากสวรรค์เท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกร้องเอาให้ได้! ยิ่งกว่านั้น หลายสิ่งหลายอย่างที่เรียกร้องอาจไม่เข้ากับบุคคลนั้นก็ได้

หลังจากการต่อสู้ในวังเทพจักรพรรดิอวี้ครั้งนั้น เรื่องที่น่าตื่นตะลึงที่สามผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ก่อให้เกิดกับทุกคนในวังมารยังมิได้จางหาย

ตอนนี้ กลับปรากฏเรื่องของจักรพรรดิชื่อตี้ขึ้นมาอีก

สามผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ยังนับว่าไม่เลว เพราะพวกเขาทั้งหมดกลับแดนสวรรค์ไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิชื่อตี้ไม่ใช่คนจากแดนสวรรค์ เขาจะต้องสร้างปัญหาให้กับหอทงเทียนแน่นอน

“…..” พอคิดเรื่องนี้แล้ว มารฟ้าวิบัติ, มารบาปฟ้า, มารเคราะห์ฟ้าและมารกระบี่ฟ้าเริ่มปวดหัว

จักรพรรดิชื่อตี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

อาจบางทีในช่วงเวลาหนึ่งปี ก็คงพอให้เขาฟื้นฟูตนเองได้

แล้วพวกเขาจะทำอะไรภายในหนึ่งปี? เก็บสัมภาระหอบข้าวของหลบหนีคงเป็นคำตอบตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ต่อให้พวกเขาหลบหนี พวกเขาจะหลบหนีไปที่ไหน?

“อธิบายถึงเรื่องจักรพรรดิชื่อตี้ซิ เพิ่มรายละเอียดหน่อยจะดีกว่า!” สีหน้าของมารบาปฟ้าเคร่งเครียดจริงจังมาก โซ่สีทองหม่นบนแขนของเขาสั่น

“ข้าไม่กล้าบอกว่าจักรพรรดิชื่อตี้แข็งแกร่งขนาดไหน, แต่ข้ารับรองได้อย่างหนึ่ง เจ้าบัดซบนั่นเอาชนะไม่ได้ง่ายๆ แน่… ในตอนนั้น… ข้าไปที่ถ้ำมังกรปีศาจและไม่ได้คาดว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้น การปรากฏตัวของเขา ลักษณะของเขายังไม่นับว่าดี นอกจากนี้ท่าทางประจบประแจงของซุ่นเทียนและองค์ชายเงาดำทำให้ข้าขุ่นเคืองยิ่งนัก ดังนั้นข้าจึงใช้เพลิงอมฤตและวงจักรล้างโลกโค่นล้มพวกเขา” เย่ว์หยางแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนรักสงบ และเมื่อเขาโจมตีจักรพรรดิชื่อตี้ ก็เพียงเพื่อไม่ให้ประชาชนต้องตกอยู่ในอันตราย เหมือนกับว่าเขาเป็นศิษย์ที่ดีมากและเหมาะจะเป็นเขยขวัญที่สุด

“ซุ่นเทียน, องค์ชายเงาดำและสนมชื่อเฟยอยู่ที่นั่นและยังร่วมกันจู่โจมเจ้าด้วยเรอะ?” ปากของมารบาปฟ้าเป็นรูปตัวโอ ไม่ยอมเชื่อเขาแม้แต่น้อย

“ข้าไม่รู้ว่าควรจะเรียกเจ้าว่ากล้าหาญหรือโง่เขลาดี” มารฟ้าวิบัติยังคงใช้เสียงแหลมพูดทิ่มแทงเย่ว์หยาง

“ถ้าคุณชายผู้นี้ไม่จู่โจมเขาด้วยความห้าวหาญละเอียดลออ พวกเจ้าทุกคนคงกลายเป็นสุนัขจรจัดไปแล้ว!” จู่ๆ เย่ว์หยางก็โกรธขนาดชี้หน้าทุกคน เขาตำหนิว่า “คุณชายผู้นี้ก็โดนจักรพรรดิชื่อตี้ทุบตีจนเนื้อหนังแทบถูกถลก พวกเจ้าคิดบ้างไหมว่าข้าทำเช่นนี้ทำไม? เพื่อสตรีคนหนึ่ง? เพื่อชื่อเสียง? ผิดแล้ว ก็เพื่อพวกเกียจคร้านอย่างพวกเจ้าที่ไม่มีอะไรจะทำไงเล่า! ถ้าข้าไม่ทำร้ายจักรพรรดิชื่อตี้จนบาดเจ็บหนักขณะที่เขาหลบหนี พวกเจ้ายังมีอารมณ์คุยโตอีกหรือเปล่า? พวกเจ้าคงจะหลบอยู่ใต้เตียงด้วยความกลัวไปแล้ว ถ้าคุณชายผู้นี้ไม่เอาผนึกเทพของจักรพรรดิอวี้ที่เอาไว้ทุบลูกเกาลัดออกมาแพ่นกบาลจักรพรรดิชื่อตี้ด้วยความโกรธจนถ้ำพังทลาย คนที่พวกเจ้าเผชิญหน้าตอนนี้ก็คงเป็นจักรพรรดิชื่อตี้ผู้แข็งแกร่งและไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ยิ่งกว่านั้น ซุ่นเทียนและองค์ชายเงาดำ ทั้งสองคนนี้กลายเป็นลูกสมุนคอยช่วยเหลือเขา พวกเจ้าก็คงเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว”

“จักรพรรดิชื่อตี้ถูกเจ้าเล่นงานบาดเจ็บหนักหรือ? ภายใต้การจู่โจมของซุ่นเทียน, องค์ชายเงาดำและสนมชื่อเฟย เจ้ายังคงทำร้ายจักรพรรดิชื่อตี้ให้บาดเจ็บหนักได้หรือ?” มารเคราะห์ฟ้าไม่อาจปลงใจเชื่อเรื่องนี้จริงๆ

“นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้น….” เย่ว์หยางเพิ่มรายละเอียดและบอกเล่าเรื่องแก่พวกเขาด้วยตนเอง

ในตอนกลางเรื่อง มีการต่อเติมเสริมเรื่องขึ้นอีกพอสมควร

ขณะเดียวกัน เขายังคุยโวเพิ่มอีกเล็กน้อยว่าเขาแสดงความกล้าหาญขนาดไหน ยิ่งใหญ่ขนาดไหน เขาแค่ลืมเพิ่มไปว่าเขาได้ช่วยคนนับล้านๆ ชีวิตในหอทงเทียนได้

แม้ว่าทุกคนจะไม่สนใจคำคุยโวของเขา แต่คำบรรยายเกี่ยวกับการต่อสู้ของเขากับจักรพรรดิชื่อตี้ก็เพียงพอทำให้ทุกคนตื่นตระหนก

จักรพรรดิชื่อตี้ แข็งแกร่งเกินกว่าพวกเขาจะจินตนาการได้

เทียบกับราชาเฮยอวี้คนหักหลังที่พวกเขาคุ้นเคยแล้ว จักรพรรดิชื่อตี้ยังแข็งแกร่งกว่ากันมากมายนัก

ความคิดอย่างหนึ่งแว่บผ่านจิตของชาวมารฟ้า พูดถึงเรื่องพลังของวังมาร คงเป็นเรื่องยากที่จะต่อต้านจักรพรรดิชื่อตี้ได้ ที่เป็นไปได้ที่สุด ถ้ามารสัมฤทธิ์ฟ้า (มารมุกฟ้า), จักรพรรดินีราตรีและจื้อจุนร่วมมือกัน พวกเขาอาจมีโอกาสก็ได้… แม้แต่คุณชายสามตระกูลเย่ว์ผู้ไม่ธรรมดานี้อาจจำเป็นต้องร่วมมือด้วย

“เขายังอ่อนแอกว่าสามผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์หรือเปล่า?” การแสดงออกของมารบาปฟ้าดูขุ่นข้องอย่างมิน่าเชื่อ เขานั่งลงข้างกล่องอีกครั้งและครุ่นคิด

“น่าเสียดายว่า พี่มารกฎฟ้ากลับวังมารไปแล้ว ถ้าไม่เช่นนั้น นางคงสามารถช่วยเจ้าได้” มารเคราะห์ฟ้าถอนหายใจด้วยความเสียดาย

“เจ้าพูดถูก ถ้านางไม่ถือโอกาสตอนข้าหลับจากมาโดยมิได้ร่ำลา จักรพรรดิชื่อตี้คงจะบาดเจ็บหนักกว่านี้” เย่ว์หยางเห็นด้วย แต่ไม่ทราบว่าถ้อยคำเหล่านี้ครอบคลุมถึงไหน

“พูดให้ชัดซิ เขาบาดเจ็บได้อย่างไร?” มารฟ้าวิบัติถามอย่างระมัดระวัง

“ปางตาย, เพราะข้าไม่ยินดีจะปล่อยเขาไปแบบนี้ ข้ารอโอกาสจนกระทั่งซุ่นเทียนและองค์ชายเงาดำจากไปแล้วค่อยเข้าไปสู้กับเขาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม แผนนี้ก็ยังใช้ไม่ได้ ข้าทำได้เพียงแค่ตัดแขนและขาของเขาข้างหนึ่ง ถ้าพวกท่านตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับข้า พวกท่านคงถูกฆ่าทันที ข้าไม่ได้ยกตนข่มท่าน ถ้าท่านมีเวลาจะลองดูก็ได้ ข้ากล้าพูดได้ว่า ถ้าผู้นำของพวกท่านมารสัมฤทธิ์ฟ้าสู้กับจักรพรรดิชื่อตี้ยามที่เขาฟื้นฟูสภาพสมบูรณ์ เขาจะต้องเผชิญกับผลที่ตามแน่นอน” เย่ว์หยางคุยอวดตัวเองอย่างหนักขณะที่เล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆ เขาโม้ราวกับว่าตนเองแข็งแกร่งกว่ามารสัมฤทธิ์ฟ้า

“…..” มารฟ้าวิบัติและมารฟ้าที่เหลือตกตะลึงอีกครั้ง เจ้าเด็กนี่ผิดธรรมดามากจริงๆ จักรพรรดิชื่อตี้ยังโดนเล่นงานเกือบตายหรือนี่?

“เจ้ารู้ไหมว่าจักรพรรดิชื่อตี้อยู่ที่ไหน? เราต้องรีบหาตัวเขาและรุมล้อมเขา เราต้องไม่ปล่อยให้เขาฟื้นตัว!” มารกระบี่ฟ้าถึงกับกังวล จักรพรรดิชื่อตี้หลบหนีได้จากวงเวทผนึกโบราณและยังอ่อนแออยู่มาก ถ้าเขายังไม่ถูกฆ่า อย่างนั้นถ้าเขาฟื้นฟูพลังอยู่ในสภาพสูงสุด ก็คงได้เกิดหายนะแน่

“ข้าเสียใจจริงๆ, ข้าไม่รู้ว่าเขาไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน?” เย่ว์หยางยักไหล่แสดงให้รู้ว่าเขาเองก็ไม่มีทางรู้

“เจ้าสามารถใช้ทักษะปราณก่อกำเนิดลับสืบดูพลังที่แท้จริงของจักรพรรดิชื่อตี้ได้ไหม?” มารบาปฟ้าลุกขึ้นยืนอีกครั้งและจ้องมองเย่ว์หยาง

“จักรพรรดิชื่อตี้น่ะหรือ? ทักษะปราณก่อกำเนิดลับของข้ามองไม่เห็นพลังของเขา อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิชื่อตี้อาจเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้าระดับสามก็ได้ นี่เทียบเท่ากับจื้อจุนระดับสาม (ปราณก่อกำเนิดขั้นสุดยอดระดับสาม) กล่าวอีกนัยหนึ่ง นอกจากจื้อจุนแล้ว พวกท่านยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสนมชื่อเฟยยามแข็งแกร่งที่สุดด้วยซ้ำ ทันทีที่นางฟื้นฟูพลัง พวกท่านทุกคนจะถูกนางสังหารได้ทันที เปรียบเทียบให้เห็นก็ได้ ก็เหมือนกับนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับสาม สู้กับนักสู้ระดับเจ็ด หรือระดับแปด เป็นเรื่องง่ายๆ มาก” รอยยิ้มของเย่ว์หยางเหมือนกับยินดีกับความโชคร้ายของพวกเขา รอยยิ้มของเขาน่าหงุดหงิดเสียมากกว่า

“….” เพียงชั่วขณะ มารฟ้าวิบัติ, มารบาปฟ้า, มารเคราะห์ฟ้า, มารกระบี่ฟ้าถึงกับเงียบ

จักรพรรดิชื่อตี้ว่าจัดการได้ยากแล้ว และตอนนี้ยังมีสนมชื่อเฟยอีกคนหนึ่ง

ดูเหมือนว่าทวีปมังกรทะยานคงไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขอย่างแท้จริง

การกลั่นแกล้งของเย่ว์หยางได้ผล หน้าของเขายิ้มอิ่มเอมกับชัยชนะ เขาปรารถนาให้ตนเองเป็นเหมือนจูกัดเหลียง (ขงเบ้ง) และโบกพัดขนห่านพัดพลางส่ายหัวกระหยิ่มยินดี

ดูเหมือนมีน้ำเสียงโบราณดังก้องมาแต่ไกล เมื่อเย่ว์หยางได้ยิน เขารู้สึกว่าแปลกมาก หัวใจของเขารู้สึกว่าเสียงดังมากจากด้านหลัง แต่หูของเขารู้สึกว่าดังมาจากที่ไกล ไม่ต้องคาดเดาไปไกล เสียงนี้ต้องดังมาจากผู้นำวังมาร มารสัมฤทธิ์ฟ้าแน่นอน

มารสัมฤทธิ์ฟ้าพูดเพียงประโยคเดียว “เราจะร่วมมือกันก็ได้ แต่ต้องมีเงื่อนไข”

เย่ว์หยางพึมพำ “ข้ารู้ว่า เรื่องนี้คงไม่ใช่ง่ายๆ…”

เมื่อมารเคราะห์ฟ้าได้ยินเสียงนี้, นางดีใจมาก “ท่านประมุขบอกเรื่องนี้กับข้าไว้แล้ว เราชาววังมาร ไม่ขออะไรมาก มีเงื่อนไขเพียงสามข้อ ประการแรก จุนอู๋โหย่วต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทนทุกคนยอมรับผิดที่ต่อต้านการก่อตั้งของวังมาร โดยมีราชโองการและคุกเข่ายอมสำนึกผิด ประการที่สองหลังจากเอาชนะราชาเฮยอวี้ได้แล้ว ทุกคนสามารถสำรวจแดนล่มสลายแห่งทวยเทพได้ และแบ่งสมบัติกัน นอกจากนี้ยังแบ่งปันความลับบันไดสวรรค์อีกด้วย ประการที่สาม วังมารมีกฎอยู่ข้อหนึ่งต้องแก้แค้นตอบแทนปฏิปักษ์ ไม่ว่าเจ้าจะขอร้องมารกฎฟ้ายังไงเราก็ไม่สนใจ แต่เพราะเจ้าสังหารมารมังกรฟ้า เจ้าจะต้องถูกพวกเราล้อมฆ่าครั้งหนึ่ง ถ้าเจ้าหลบหนีไปได้ ก็ถือว่าเป็นความสามารถของเจ้า แต่ถ้าเจ้าแพ้ อย่างนั้นทิ้งชีวิตของเจ้าไว้ซะ”

“แล้วกันสิป้า! ถ้าเจ้าได้รับเงื่อนไขเหล่านี้ เจ้าจะยอมเห็นด้วยไหม? อย่าว่าแต่ข้าเลย ต่อให้เด็กที่เผลอกินผลปัญญาจนกลายเป็นคนปัญญาอ่อนก็ยังไม่ยอมรับเงื่อนไขเหล่านี้ ข้ายังเป็นคุณชายสามตระกูลเย่ว์ผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดไม่เคยประสบความสูญเสียใดๆ ข้ายอมกลั่นแกล้งคนอื่น แต่ไม่ยอมให้คนอื่นกลั่นแกล้งรังแกข้า” เย่ว์หยางต่อต้านแข็งขัน

“เงื่อนไขข้อแรกยังไม่ดีอีกหรือ?” มารเคราะห์ฟ้าสับสน เมื่อเทียบกับการล่มสลายของอาณาจักร การออกราชโองยอมรับผิดและคุกเข่าสำนึกผิดยังไม่ดีกว่าหรือ?

“พวกท่านไปขอผู้เฒ่าจุนอู๋โหย่วนั่นสิ ข้าไม่อาจยอมรับแทนเขาได้ ลูกผู้ชายไม่อาจคุกเข่าต่อหน้าคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าได้ อย่าว่าแต่ เขาเป็นจักรพรรดิพระองค์หนึ่งอีกด้วย” เย่ว์หยางปฏิเสธเงื่อนไขแรกอย่างชัดเจน

“อย่างนั้นเรื่องเงื่อนไขที่สองเล่า?” มารเคราะห์ฟ้าถาม

“พวกท่านทุกคนไม่อาจสำรวจแดนล่มสลายแห่งทวยเทพได้ และทุกอย่างขึ้นอยู่กับข้า แล้วมีเหตุผลอะไรที่ข้าจะแบ่งสมบัติให้? แน่นอน ข้าคงทำไม่ได้ ยิ่งกว่านั้น ถ้าท่านพบสมบัติ ท่านก็คงไม่เข้าถึงบันไดสวรรค์ มิฉะนั้นจะยังมาขอข้าด้วยหรือ? พวกท่านก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ พวกท่านทำอย่างกับข้าเป็นจับกังอย่างงั้นใช่ไหม? ไม่เลย ยกเว้นแต่พวกท่านช่วยข้ากำจัดราชันย์พันปีศาจ ไม่งั้นไม่ต้องคุยเรื่องนี้” เย่ว์หยางเป็นคนประเภทไม่ปล่อยให้ใครสำเร็จเกินหน้า ถ้าคนแบบนี้กลายเป็นนักเจรจา พวกเขาคงเป็นอัจฉริยะ

“อย่างนั้นเรามาคุยเรื่องเงื่อนไขประการที่สาม เนื่องจากเจ้าฆ่ามารมังกรฟ้า ก็ต้องให้เราล้อมสังหารเจ้าสักครั้งก่อน แล้วจากนั้นค่อยแล้วกันไป เงื่อนไขนี้มีอะไรผิดพลาดหรือไม่?” มารเคราะห์ฟ้าไม่อาจทำความเข้าใจได้

“สหายน้อย! เจ้าเคยเห็นลูกจ้างสุมหัวกับนายจ้างบ้างไหม? ข้าคือลูกพี่ในอนาคตของเจ้าที่จะมอบสมบัติให้เจ้า, เครื่องมือเทพ, อาวุธเทพและอสูรในตำนาน นอกจากเจ้ายังไม่ยกย่องเชิดชูข้า แต่ยังต้องการฆ่าข้าอีกหรือ? ถ้าเจ้าจะฆ่าข้า พวกเจ้าจะไปหาคนสำรวจแดนล่มสลายแห่งทวยเทพได้จากไหน? พวกเจ้าจะรู้วิธีก้าวหน้าได้ยังไง? พวกเจ้าเข้าใจเรื่องบันไดสวรรค์ไหม? พวกเจ้ารู้เรื่องทางเข้าแดนสวรรค์ไหม? ลูกน้องก็ควรรู้ว่าตนเองเป็นลูกน้อง บอกข้าซิว่า แก้แค้นให้มารมังกรฟ้าที่ต่อสู้แย่งชิงสตรีกับข้าผู้นี้ แน่นอนว่า ข้าจะต้องฆ่าเขา จะเป็นไปได้ยังไงว่าข้าจะต้องนับถือเขาเป็นเหมือนบรรพบุรุษ? พวกเจ้าทุกคนไม่ควรจะยืนกรานให้คนโง่อย่างเขา พวกเจ้ามีแต่จะนำเรื่องยุ่งยากมาให้ตัวเอง ข้าขอบอกให้ชัดๆ ไม่ว่าพวกท่านต้องการเรียกสินสอดเท่าใด คุณชายผู้นี้ก็จะมอบให้ ไม่ต้องเกรงใจจริงๆ โดยเฉพาะ ป้าคนที่โตขึ้นมาโดยไม่มีคนดูแล ถ้าเจ้าต้องการจะนอกใจใครละก็ ข้าจะรับไว้พิจารณาก็ได้” คนหน้าด้านจากโลกอื่นแสดงทักษะหลอกล่อสูงสุดขณะที่เขาพูดอย่างมั่นใจ

“พูดกับเจ้าไปก็มีแต่ปวดหัว!” มารเคราะห์ฟ้าไม่อาจทนคนผู้นี้ได้ ทันทีที่สถานการณ์กลับไปอยู่ด้านเขา เขาก็จะกลายเป็นคนมีเหตุผลทันที

ความจริง เย่ว์หยางยังขาดความมั่นใจในการทำความเข้าใจในวิชาลับสวรรค์

สำหรับดินแดนภายในแดนล่มสลายแห่งทวยเทพ เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าจะก้าวเข้าไปได้อย่างไร?

เขาไม่ได้ไปแม้แต่ดินแดนรอบนอกแค่เพียงตระเวนอยู่ตามชายขอบทางผ่านโบราณอยู่สองครั้ง เย่ว์หยางลอบยินดีว่าฝ่ายตรงข้ามก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้ชัดเจนนัก ไม่เช่นนั้นกลลวงเขาคงถูกเปิดเผย

ปกติเขาจะไม่แยแสเรื่องนี้

เขาไม่สามารถเปิดเผยจุดอ่อนได้ ถ้าเขาไม่เข้าใจ เขาก็ต้องแกล้งทำเป็นเข้าใจ เขาต้องควบคุมอีกฝ่ายให้ได้ก่อน

ตราบใดที่เขาสามารถหลอกคนเจ้าอารมณ์เหล่านี้และให้พวกเขาลงเรือลำเดียวกับเขา ต่อให้พบความจริง ก็คงสายเกินกว่าจะเสียใจ ปกติ เย่ว์หยางเข้าใจข้อมูลเรื่องนี้แค่บางส่วน ที่สำคัญแม่สี่ในตอนนี้อาจกำความลับของบันไดสวรรค์ก็เป็นได้ ยิ่งกว่านั้นความรู้สำหรับผ่านเข้าบันไดสวรรค์ มารดาของสหายผู้น่าสงสารก็ยังไม่เผยให้เห็นชัด ดังนั้นมีความเป็นไปได้ว่ายังคงรวมถึงความลับของแดนล่มสลายแห่งทวยเทพ

มารดาของสหายผู้น่าสงสารต้องเคยเข้าแดนล่มสลายแห่งทวยเทพแน่นอน นางต้องรู้อะไรบางอย่างแน่นอน ปัญหาก็คือเย่ว์หยางไม่มั่นใจว่าเขาสามารถรับความรู้ได้ทั้งหมด

“แม้ว่าเราจะร่วมมือกัน แต่เรายังต้องสู้กัน” มารบาปฟ้าลุกขึ้นยืนและโซ่สีทองหม่งกระทบกันกรุ๊งกริ๊ง

“ข้าคิดว่าท่านซื่อสัตย์ที่สุดแล้วนะ ข้าไม่คิดว่าท่านจะหัวรุนแรงที่สุด ข้าตอแยท่านหรือไง?” เย่ว์หยางงงงัน

“แม้ว่าเราจะไม่ล้างแค้นให้มารมังกรฟ้า แต่เราต้องทุบตีเจ้าสักครั้ง” มารบาปฟ้าพูด

“ทำไมล่ะ?” เย่ว์หยางงงงวยอีก

“เพราะดูเหมือนเจ้าต้องการโดนตบ….” มารเคราะห์ฟ้าอธิบายอย่างอารมณ์ดี เหตุผลนี้ทำให้เย่ว์หยางพูดไม่ออก

“เรายินดีให้เจ้าร่วมชั้นกับเราในฐานะที่เป็นหนึ่งในสิบมารฟ้า” เสียงที่เดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกลของมารสัมฤทธิ์ฟ้าบ่งบอกถึงการสิ้นสุดการเจรจา เมื่อเย่ว์หยางได้ยิน เขาตะโกนลั่นเหมือนแมวถูกเหยียบหาง “เรื่องนี้ข้าไม่เห็นด้วย อย่างนี้เขาเรียกว่าการบังคับขืนใจ ข้าไม่เห็นด้วย…”

“แค่เพียงเห็นด้วย พี่มารกฎฟ้าจึงค่อยคิดเรื่องความสัมพันธ์ของเจ้ากับนาง นางสาบานไว้ก่อนแล้วว่านางจะแต่งงานกับคนจากวังมารเท่านั้น” มารเคราะห์ฟ้าไม่ลืมซ้ำเติมขณะเย่ว์หยางเสียท่า

“บ้าชัดๆ” ในที่สุดเย่ว์หยางไม่อาจอดกลั้นได้

มารบาปฟ้า, มารกระบี่ฟ้า, มารเคราะห์ฟ้า, มารฟ้าพิโรธผู้เพิ่งวิ่งกลับมา, มารฟ้าสังหารผู้ซ่อนกาย และมารฟ้าวิบัติผู้คุ้มดีคุ้มร้ายค่อยๆ ล้อมเขา

ดูเหมือนว่าพวกเขาเตรียมกลุ้มรุมเย่ว์หยาง แม้ว่าเย่ว์หยางจะเข้าวังมารก็ตาม แต่ความตั้งใจเดิมที่ต้องการทุบตีเขาไม่มีเปลี่ยนแปลง

เย่ว์หยางถึงกับโกรธและชูดาบวิเศษฮุยจินและดาบจันทร์เสี้ยว “ถ้าข้ารู้เร็วๆ ว่านี่คือรังโจร บิดาจะไม่ยอมเสียเวลาพูด ใครกลัวใครกันแน่? มาจู่โจมข้าได้เลย มารเคราะห์ฟ้า เจ้าเป็นคนไม่ดี อย่าให้บิดาจับเจ้าได้นะ มิฉะนั้นข้าจับเจ้าแก้ผ้าต่อหน้าทุกคน เจ้าจะได้รู้ว่าเวลาพี่เขยโกรธแล้วจะเป็นยังไง”

มารฟ้า 2-3 คนถึงกับพูดไม่ออก

ยอมให้เจ้าหน้าด้านบัดซบนี่เข้าร่วมกับวังมาร เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ หรือ?

*********

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด