ตอนที่แล้วบทที่ 6 กับดักในกับดัก?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 8 ว่านเฟิงอีกคน

บทที่ 7 แมลงวันซากศพ


หลังกำแพงเป็นทางเดิน ลึกและไกลออกไป เขาไม่รู้ว่ามันนำไปสู่ที่ใด

ได้ยินเสียงลมของค่ายกลที่ดัง 'วู้วู้' มาจากช่องทางนี้อย่างต่อเนื่อง แสดงว่าช่องทางนี้เชื่อมต่อกับโลกภายนอก

"น่าแปลก ในตอนที่ข้าอยู่ข้างนอก ข้าได้กลิ่นเหม็นที่มิอาจอธิบายได้ แต่เมื่อเข้ามาข้างในแล้วทำไมกลิ่นเหม็นนั้นกลับหายไป?"

ว่านเฟิงถือไข่มุกราตรีไว้ในมือ มันเปล่งประกายแสงออกมาทำให้บริเวณโดยรอบของช่องทางนี้สว่างขึ้น

"กลิ่นเมื่อครู่เป็นเพียงกลิ่นของสุสาน เมื่อเปิดสุสานออกกลิ่นนั้นก็ระบายออกมา เป็นธรรมชาติที่จะไม่มีกลิ่นอีกต่อไป"

ลู่อวิ๋นอธิบาย

"โอ้"

ว่านเฟิงแล้วดูเหมือนว่าจะเข้าใจ

"ร้ายกาจ ร้ายกาจจริงๆ ! ไม่ว่าเราจะไปทางไหน สุดท้ายก็จะต้องตกหลุมพรางกลับไปทางใต้ของภูเขาชื่อฉวน"

ลู่อวิ๋นพึมพำกับตัวเอง

โชคดีที่ก่อนจะเข้ามา เขาได้คำนวณแผนผังของสุสานเซียนตามรูปร่างของอิฐสีเขียวบนผนังด้านนอกไว้แล้ว มิเช่นนั้นหากเดินต่อไปเขาอาจจะตกหลุมพรางได้

"แต่มีลมในสุสานนี้ หนึ่งในนั้นน่าจะเป็นทางออกแรก"

ว่านเฟิงถามอย่างสงสัยเมื่อได้ยินลู่อวิ๋นพูดกับตัวเอง

"นี่คือสถานที่อันร้ายกาจที่มีคนจัดวางไว้ ลมในทางเดินนี้ไม่ใช่ลมจริงๆ แต่มันคือค่ายกล ไม่ว่าเราจะไป ที่ใดมันก็เป็นทางตันทั้งหมด"

ลู่อวิ๋นมาที่กําแพงหินอีกด้านของทางเดิน และยังคงลูบต่อไปด้วยมือของเขา

ตอนนี้ ลู่อวิ๋นได้เข้าสู่รูปแบบฮวงจุ้ยแล้ว แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นรูปแบบทั้งหมดอย่างชัดเจน แต่เขายังสามารถคำนวณเค้าโครงทั่วไปของสุสานทั้งหมดผ่านก้อนหินและรูปแบบได้

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าดูเสือดาวผ่านรู(1) ซึ่งสามารถมองเห็นได้บ้าง

"ว่านเฟิง เปิดกําแพงหินตรงนี้ที สุสานเซียนที่แท้จริง อยู่หลังกําแพงหินนี้!"

ทันใดนั้น ก็มีรอยยิ้มในดวงตาของลู่อวิ๋น

"แม้ว่ารูปแบบนี้จะแยบยล แต่มันก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมเช่นกัน"

ขณะที่ลู่อวิ๋นคิด ว่านเฟิงได้เจาะรูขนาดใหญ่บนกำแพงหินนั้นโดยใช้กระบี่

"นายท่าน กําแพงหินที่นี่แข็งมาก ถ้าบ่าวไม่มีอาวุธวิญญาณนี้ ข้าเกรงว่าจะทำอะไรไม่ได้"

เหงื่อปรากฏบนหน้าผากของว่านเฟิง นางพูดออกมาพร้อมหอบหายใจเล็กน้อย

"อาวุธวิญญาณหรือ?"

ลู่อวิ๋นถึงกับผงะ เขาไม่รู้ว่าอาวุธวิญญาณคืออะไร แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรมาก ถ้าเขาถามอีกครั้งเขาอาจจะเผยความลับออกมาก็ได้

หลังจากกลับไป เขาจะอ่านหนังสือมากขึ้นเพื่อที่จะได้รู้ทุกอย่าง

"ข้างในน่าจะเป็นสุสานเซียนที่แท้จริง"

"มีไฟไหม?"

ลู่อวิ๋นถาม

"ไฟ?"

ว่านเฟิงดีดนิ้วของนาง จากนั้นที่ปลายนิ้วก็มีเปลวไฟเล็กๆ เกิดขึ้น

"พอได้ไหมเจ้าคะ?"

ลู่อวิ๋นตกตะลึงอย่างอดไม่ได้

"นายท่าน นี่เป็นเพียงอาคมห้าธาตุธรรมดา ผู้ฝึกยุทธ์เซียนธรรมดาก็ทำได้เจ้าค่ะ"

เมื่อว่านเฟิงคิดได้ว่าลู่อวิ๋นไม่สามารถฝึกยุทธ์เซียนได้ นางจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

ลู่อวิ๋นพยักหน้า เขาหยิบกระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งขึ้นมาและจุดไฟบนเปลวไฟดวงน้อยนั้น แล้วโยนมันลงไปในหลุมที่ว่านเฟิงได้ทำไว้

ดวงตาของลู่อวิ๋นจ้องมองไปที่เปลวไฟ

"ถ้ามันไหม้ปกติ ก็จะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด พวกเราก็สามารถเข้าไปได้"

ลู่อวิ๋นถอนหายใจด้วยความโล่งอก

หากเปลวไฟนั้นมอดลงก่อนที่มันจะไหม้ ลู่อวิ๋นจะหันหลังกลับและออกไป และเขาจะไม่มีวันพลาดอีก

"นายท่านของบ่าวรู้มากเช่นนี้ เหตุใดว่านเฟิงถึงไม่รู้มาก่อน"

ว่านเฟิงมองไปที่ลู่อวิ๋น และพูดด้วยความสงสัยเล็กน้อย

"ข้าไม่รู้มาก ข้าจะเป็นผู้ว่าราชการได้อย่างไร? ว่านเฟิงเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับข้าอีกบ้าง?"

หัวใจของลู่อวิ๋นเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง

"เจ้าค่ะ"

ว่านเฟิงพยักหน้า และพูดด้วยความคับข้องใจ "ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา นายท่านก็รักษาระยะห่างจากข้า และไม่สนใจข้าอีก"

"ตอนนั้น?"

ลู่อวิ๋นกระพริบตา

ใบหน้าของว่านเฟิงเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที นางบิดไปมาและไม่พูดอะไรอีก

"เดาว่าไอ้เด็กนี่คิดจะกินตับว่านเฟิง แต่ไม่มีปัญญาทำ ก็เลยจงใจแยกตัวจากสาวงามตัวน้อยที่เหมือนกับดอกไม้นี้"

"แต่ดูจากท่าทางของว่านเฟิงแล้ว นางคงไม่ขัดขืนถ้าข้าจะกินนางตอนนี้"

ลู่อวิ๋นไม่ได้สนใจว่านเฟิงอีกต่อไป และก้าวเข้าสู่สุสานเซียน

"นายท่าน!"

ขณะที่ทั้งสองเข้าไป ว่านเฟิงก็กรีดร้องอย่างรุนแรง

"เกิดอะไรขึ้น?"

ลู่อวิ๋นมองย้อนกลับไป และเห็นเพียงความมืดสนิทที่อยู่ต่อหน้า เขามองไม่เห็นกระทั่งนิ้วของเขา

ลู่อวิ๋นมองเห็นลูกบอลไฟสีเขียวอ่อน ล่องลอยอยู่กลางอากาศ

นั่นคือไข่มุกราตรีที่อยู่ในมือของว่านเฟิง

"ข้า สัมผัสวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของข้าหายไป"

เสียงของว่านเฟิงเปี่ยมไปด้วยความวิตกกังวล

สัมผัสวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่ากับดวงตา หากสัมผัสวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกยุทธ์เซียนหายไป ก็เท่ากับว่าผู้ฝึกยุทธ์เซียนนั้นตาบอดไปข้างหนึ่ง

คืนนั้น ลู่อวิ๋นขอให้ว่านเฟิงอธิบายสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับวิธีฝึกยุทธ์เซียน ดังนั้น เขาย่อมรู้ว่าสัมผัสวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คืออะไร

"ไม่ต้องกลัว"

ลู่อวิ๋นเอื้อมมือออกไป และจับมือเล็กๆ ที่อ่อนนุ่มของว่านเฟิง "มีโครงสร้างฮวงจุ้ยอยู่ในนั้น… โอ้ มันเป็นค่ายกล เป็นค่ายกลที่จํากัดสัมผัสวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า"

"ไม่เพียงแต่จำกัดสัมผัสวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเท่านั้น แต่ดูแสงจากไข่มุกราตรีนี้แล้ว มันก็ถูกจำกัดเช่นกัน"

ในความมืด ว่านเฟิงพยักหน้าและอาวุธวิญญาณกระบี่ยาวในมือของนางก็ส่งเสียงคำรามเบาๆ ตื่นตัวอย่างเต็มที่

สำหรับสิ่งมีชีวิต ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าความมืด

แต่สำหรับลู่อวิ๋นที่ต่อสู้มาตลอด ความมืดเช่นนี้เขาคุ้นเคยกับมันมานานแล้ว

เรียกได้ว่าที่นี่เป็นสนามเหย้าของเขา

ลู่อวิ๋นจับมือของว่านเฟิงมาวางบนไหล่ของเขา

"จับไหล่ข้าไว้ และตามข้ามา"

ลู่อวิ๋นกล่าว

ว่านเฟิงตอบรับ

ร่างของลู่อวิ๋นแนบชิดติดกับผนังด้านหนึ่ง และเขาก็เริ่มคลำกำแพงไปเรื่อยๆ

"นี่น่าจะเป็นสุสาน"

ลู่อวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย

"หือ?"

ทันใดนั้น ดูเหมือนว่าลู่อวิ๋นจะไปโดนอะไรสักอย่างที่ยกอยู่ เขาจึงกดลงเบาๆ

ฟู่ว! ฟู่ว! ฟู่ว!

เปลวไฟประหลาด ส่องสว่างขึ้นในในสุสานเล็กๆ แห่งนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า

บนผนังรอบๆ สุสานนี้มีตะเกียงน้ำมันอยู่แปดดวง เพียงแค่เมื่อครู่นี้ลู่อวิ๋นชนเข้ากับบางอย่างและจุดตะเกียงน้ำมันทั้งแปดดวงนี้ให้สว่างขึ้น

แต่เปลวไฟบนตะเกียงน้ำมันทั้งแปดนี้ เป็นสีเขียวทั้งหมด

"เปลวไฟสีเขียว?"

ลู่อวิ๋นตัวสั่นทันที

ไฟสีเขียวส่องให้สุสานนี้กลายเป็นสีเขียวที่น่าสะอิดสะเอียน ใจกลางสุสานนั้นมีโลงศพขนาดใหญ่

เปลวไฟสีเขียวพุ่งตรงไปยังโลงศพ ซึ่งดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง

"ที่นี่… เป็นสุสานเซียนจริงๆ !"

ร่างกายของว่านเฟิงก็สั่นสะท้านเช่นกัน หลังจากที่นางเห็นโลงศพอย่างชัดเจน ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา

"อย่าแตะต้องโลงศพนั้น!"

ลู่อวิ๋นกลืนน้ำลาย ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่โลงศพ

"ช่างเป็นสถานการณ์จริงและเท็จ!"

"เนินเต่าดำหมอบในภูเขาชื่อฉวนนั่นเป็นจริงและเท็จ ในทางเดินข้างนอกมันยังคงเป็นความจริงและเท็จ… ตอนนี้อยู่ในสุสานมันก็ยังคงเป็นความจริงและเท็จ!"

"คนที่สร้างสุสานนี่ช่างน่ากลัวจริงๆ !"

ถึงแม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่โลก และลู่อวิ๋นก็ได้เปลี่ยนร่าง เปลี่ยนตัวตนของเขา แต่ประสบการณ์การปล้นสุสานที่น่ากลัวของเขาก็ไม่ได้หายไป ลู่อวิ๋นยังคงสามารถอนุมานทุกสิ่งที่อยู่ต่อหน้าเขาได้ตามเค้าโครงของสุสานนี้

"นี่คือจุดหยินอีกแห่งหนึ่ง บางทีอาจจะมีบางสิ่งที่น่ากลัวเกิดขึ้น… รีบไปกันเถอะ!"

ทันใดนั้น ลู่อวิ๋นก็รู้สึกตัว เขาดึงว่านเฟิงและวิ่งไปที่ประตูหินทันที

ในสุสานแห่งนี้ นอกจากหลุมขนาดใหญ่ที่ว่านเฟิงเพิ่งขุดแล้ว ยังมีทางออกอีกสี่ทาง แต่ในบรรดาทางออกทั้งสี่นั้น มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่เป็นของจริง

ส่วนอีกสามทางออกนั้น ถ้าเข้าไปแล้วจะต้องตาย

บูม——

แต่ตอนนี้ ฝาโลงศพที่อยู่ตรงกลางสุสานเริ่มขยับ

กลิ่นเหม็นอบอวลไปทั่วหลุมฝังศพทั้งหมดทันที

แขนดำสองข้างยื่นออกมาจากโลงศพ

"นั่น นั่นอะไรน่ะ?"

ว่านเฟิงเสียงสั่น ถามด้วยความหวาดกลัว

ตั้งแต่เล็กจนโต นางไม่เคยเห็นสิ่งที่แปลกประหลาดและน่ากลัวเช่นนี้มาก่อน

"ซ่งสือ(2) ตัวใหญ่!"

ลู่อวิ๋นคำราม "นั่นคือผีดิบ ถูกเนรเทศโดยฟ้าดิน ถูกห้ามโดยทุกสิ่ง เป็นอิสระจากสามภพหกวิถี(3) ความเป็นความตาย เป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่มีชีวิตหรือตาย"

"ไปกันเถอะ!"

ซ่งสือตัวใหญ่ลุกขึ้นนั่งจากโลงศพ เห็นเพียงเงามืด ลู่อวิ๋นยังมองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของมันอย่างชัดเจน

หึ่ง หึ่ง หึ่ง…

ทันใดนั้น เสียงเหมือนกับแมลงวันหวี่ดังจากโลงศพ

ทันทีหลังจากนั้น แมลงวันสีแดงเลือดจำนวนมากก็บินออกจากโลงศพ และพุ่งเข้าใส่ลู่อวิ๋นและว่านเฟิง

"นายท่าน ไปเจ้าค่ะ!"

เมื่อเห็นฉากนี้ว่านเฟิงก็ตกใจมาก นางปัดมือของลู่อวิ๋นและผลักลู่อวิ๋นเข้าไปในประตูหินข้างหน้านาง

กระบี่ยาวในมือของว่านเฟิงเปล่งประกายแสงสีน้ำเงิน และแสงของกระบี่ก็พันกันในความว่างเปล่า ก่อตัวเป็นตาข่ายกระบี่ขนาดใหญ่

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!

พวกแมลงวันสีแดงเลือดถูกบดขยี้โดยตาข่ายขนาดใหญ่

"นายท่านอย่าเข้ามานะเจ้าคะ แมลงวันสีแดงเลือดเหล่านี้ล้วนเป็นสัตว์อสูร เทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์เซียนในระดับก่อปราณ!"

ลู่อวิ๋นเห็นแสงสีเขียวสองดวงพุ่งออกมาจากดวงตาของว่านเฟิง

พายุหมุนสีเขียวขนาดใหญ่ล้อมรอบตัวนาง

ให้สังหารคน ว่านเฟิงไม่กล้า

แต่การจัดการกับแมลงวันเหล่านี้ ว่านเฟิงไม่มีความกดดันทางจิตใจใดๆ ทั้งสิ้น

ฮู้ ฮู้ ฮู้!

ลมหมุนนั้นมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็สูงเหนือหลุมฝังศพ กลายเป็นพายุลูกใหญ่ที่มีความกว้างหนึ่งเมตรกวาดไปทางแมลงวันเหล่านั้น

แมลงวันกระหายเลือดเหล่านั้นดูเหมือนจะปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า แต่ภายใต้พลังเหนือธรรมชาติของว่านเฟิง จึงไม่มีการต่อต้านใดและพวกมันทั้งหมดถูกสังหาร

ความแข็งแกร่งของเขตแดนแก่นแท้ผู้ฝึกยุทธ์ของว่านเฟิง จะถูกเปิดเผยจริงๆ เฉพาะในตอนนี้เท่านั้น

บูม!

ก่อนที่ว่านเฟิงจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก เสียงที่เหมือนกลองใหญ่ก็ดังออกมาจากหูของนาง

เมื่อจิตใจของนางเกิดความปั่นป่วน ว่านเฟิงก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก

ว่านเฟิงได้รับบาดเจ็บ พลังอาคมของนางก็หายไปในทันที

ผีดิบสีดำตัวนั้นคลานออกมาจากโลงศพ และยืนอยู่หน้าโลงศพ มองไปที่ว่านเฟิงอย่างเงียบๆ

'เสียงกลอง' ที่ดังขึ้น ว่านเฟิงรู้ได้ชัดว่าเป็นเสียงที่เกิดขึ้นเมื่อเท้าของผีดิบแตะลงบนพื้น

แมลงวันสีแดงเลือดบินออกมาจากโลงศพอย่างต่อเนื่อง

"นายท่าน ไปกันเถอะเจ้าค่ะ!"

ว่านเฟิงหันหลังกลับ แต่เห็นว่าลู่อวิ๋นกลับมาอยู่ข้างๆ นาง ก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนอย่างกระวนกระวาย

"นี่คือแมลงวันซากศพที่สามารถเติบโตได้บนร่างของผีดิบอายุนับพันปีเท่านั้น"

ลู่อวิ๋นพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ และคิดกับตัวเองว่า "ข้าเคยเห็นสิ่งนี้ในคัมภีร์โบราณเท่านั้น ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้เห็นแมลงวันซากศพซึ่งทำให้บรรพบุรุษของข้าจะต้องกลัวหากมายังโลกเซียน!"

"และนั่นก็เป็นซ่งสือตัวใหญ่ มีอายุนับพันปี"

"โลกเซียน ช่างเป็นโลกที่น่าตื่นเต้นจริงๆ!"

ร่างกายของลู่อวิ๋นสั่นเทิ้มไปด้วยความตื่นเต้น

สัตว์ประหลาดที่บันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณมันมีอยู่จริง ในฐานะโจรปล้นหลุมฝังศพผู้คร่ำหวอด ไม่มีอะไรทำให้เขาตื่นเต้นมากไปกว่าการค้นพบสิ่งที่ไม่รู้จัก

—-------------------------------------

(1) 管中窥豹 ดูเสือดาวผ่านรู (สำนวน) หมายถึงการมองเสือดาวผ่านรูเล็กๆ ในกระบอกไม้ไผ่ และเห็นเพียงจุดบนตัวเสือดาวเท่านั้น อุปมาอุปไมยเห็นเพียงบางส่วน หมายความว่า เห็นไม่ทั่วถึงหรือเห็นได้เพียงเล็กน้อย สำนวนนี้มักใช้เป็นภาคแสดงหรือคำวิเศษณ์ในประโยคโดยมีความหมายในเชิงดูถูก

(2) ซ่งสือ ชื่อเรียกของผีดิบจีน

(3) 三界六道 สามภพหกวิถี สามภพ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ หกวิถี คือ วิถีนรก วิถีเปรต วิถีสัตว์ วิถียักษ์ วิถีมนุษย์ วิถีสวรรค์ (ถอดความจากเว็บจีนโดยย่อ)

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด