ตอนที่แล้วบทที่ 12: เหมือนความฝัน นักเดินทางที่ผ่านไปจากไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 14: โอสถเซียนและแขกรับเชิญทั้งสองคน

บทที่ 13: เส้นทางที่เหมาะสม


บทที่ 13: เส้นทางที่เหมาะสม

ซุยเฮ็งรู้สึกเศร้าหมองเล็กน้อยเมื่อเขาต้องกลับไปใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเหมือนเช่นเคย

ท้ายที่สุดแล้ว ก่อนที่หงฟู่กุ่ยจะมาที่นี่ เขาก็อาศัยอยู่เพียงลำพังแค่เพียง 10 ปีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แต่ก่อนที่เจียงฉีฉีจะมาที่นี่ เขาก็อาศัยอยู่เพียงลำพังมาเป็นเวลาถึง 90 ปี!

ดังนั้นความรู้สึกที่พวกเขามอบให้ซุยเฮ็งนั้นจึงแตกต่างกันมาก

ตลอด 90 ปีที่ต้องใช้ชีวิตอย่างโดดนี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำติดต่อกันเป็นเวลา 30 ปี

เขาเกือบจะลืมความรู้สึกของการพูดคุยกันไปแล้ว

และเป็นเพราะเจียงฉีฉีนี้เองที่ทำให้เขาได้รับประสบการณ์ในฐานะมนุษย์กลับมาอีกครั้ง

สิ่งนี้ทำให้ซุยเฮ็งตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่ใช่เซียนหรือผู้ฝึกตนตามนวนิยาย เขาเป็นเพียงคนธรรมดาที่มีเลือดเนื้อและความผันผวนทางอารมณ์

จริงอยู่ที่ผู้ฝึกตนสามารถได้รับความแข็งแกร่งและอายุขัยที่ยืนยาวเพิ่มเข้ามาได้ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ต้องการจะกลายเป็นมนุษย์หินที่ไร้หัวใจ ไร้อารมณ์ และไร้ความรู้สึก

การมีชีวิตยืนยาวไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องกลายเป็นคนตายซาก ชีวิตยังคงต้องการความสนุกสนาน

ด้วยเหตุนี้เอง ซุยเฮ็งจึงเปลี่ยนวิธีการฝึกตนของเขา

เมื่อก่อนเขาจะนั่งสมาธิฝึกตนอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาฝึกตนจนแทบจะลืมไปเลยว่าเกมนั้นเล่นยังไง

ชีวิตของเขาในตอนนั้น การฝึกตนก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เขาใช้เวลามากกว่าครึ่งวันไปกับการฝึกตน

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ ซุยเฮ็งก็ไม่คิดจะใช้ชีวิตแบบนี้อีกต่อไปแล้ว

เขารู้สึกว่านอกเหนือจากการฝึกตนอย่างหนักแล้ว เขาก็ยังควรทำสิ่งอื่นๆ ให้หนักด้วยเช่นกัน

เขาจำเป็นจะต้องรักษาความเป็นมนุษย์ของเขาเอาไว้!

ด้วยเหตุนี้เอง ซุยเฮ็งจึงเริ่มจัดตารางการฝึกตนและการพักผ่อนของเขา เขาจะฝึกตนตอนพระอาทิตย์ขึ้นและจะพักผ่อนตอนพระอาทิตย์ตก

เขาปรุงอาหารและทำความสะอาดบ้านทุกวัน เขายังไถแปลงนาผืนใหม่ในฟาร์มของเขาและเริ่มปลูกพืชผลและผักของเขา

น่าเสียดายที่เนื้อสัตว์ที่ผลิตในฟาร์มสำหรับผู้เริ่มต้นนั้นเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปทั้งหมด ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะได้ลองเลี้ยงหมูดูแล้ว

แม้ว่าชีวิตแบบนี้จะทำให้เวลาในการฝึกตนของเขาหดน้อยลง แต่มันก็ทำให้ซุยเฮ็งรู้สึกมีความสุขและผ่อนคลายมากขึ้น

นอกจากนี้ ความก้าวหน้าในการฝึกตนของเขาก็ยังไม่ได้ช้าลง และในความเป็นจริง มันก็ยังเร็วขึ้นกว่าก่อนด้วยซ้ำ!

ในเวลาเพียง 30 ปี เขาก็ไม่เพียงแต่จะบรรลุขอบเขตก่อเกิดรากฐานขั้นกลางเท่านั้น แต่เขายังไปถึงขอบเขตก่อเกิดรากฐานขั้นปลายได้อย่างราบรื่นอีกด้วย!

ราวกับว่ามันไม่มีคอขวดอีกต่อไป

สิ่งนี้เกินความคาดหมายของซุยเฮ็งไปโดยสิ้นเชิง มันช่วยให้เขายืนยันได้แล้วว่าเส้นทางการฝึกตนที่เหมาะสมของเขาเป็นยังไง

ผลลัพธ์นี้ได้พิสูจน์แล้วว่าการตัดสินของเขาถูกต้อง!

หลังจากเดินบนเส้นทางนี้แล้ว ความเร็วในการฝึกตนของซุยเฮ็งก็เป็นเหมือนกับวิหคเพลิงที่กำลังสยายปีก เขาก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด!

ในเวลาเพียง 20 ปีนับตั้งแต่ที่เขาเข้าสู่ขอบเขตก่อเกิดรากฐานขั้นปลาย เขาก็ได้มาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตก่อเกิดรากฐานแล้ว!

รากฐานเต๋าในจุดตันเถียนของเขาได้เปลี่ยนกลายเป็นมหาสมุทรสีทองแล้ว วิญญาณและพลังปราณของเขาไม่ได้ถูกแยกออกจากกันอีกต่อไป สิ่งที่เขาต้องทำคือเหลือแค่การจุดเปลวเพลิงที่แท้จริงในมหาสมุทรสีทองนี้ และจากนั้นเขาก็จะสามารถสร้างแก่นแท้ทองคำทรงกลมขึ้นได้!

ในตอนนี้ ซุยเฮ็งก็สามารถดูดเอาพลังปราณสวรรค์และปฐพีในรัศมี 10 ลี้เข้ามาหาเขาได้ด้วยความคิดเดียว ในเวลานี้ การเรียกลมพายุนั้นก็ง่ายเหมือนกับการพลิกฝ่ามือ ทุกการเคลื่อนไหวที่เขาทำนั้นทำให้พลังรอบข้างต้องสั่นไหวตาม

พลังของวิชากระบี่ของเขาเองก็แข็งแกร่งขึ้นมากเช่นกัน

ด้วยการตวัดกระบี่ออกไปอย่างสบายๆ เขาก็สามารถสร้างเหวยาว 50 ลี้บนพื้นดินได้ และถ้าเขาใช้กระบี่บิน เขาก็ยังสามารถบินขึ้นไปบนภูเขาที่สูงหลายร้อยเมตรได้!

หากสิ่งนี้เกิดขึ้นบนโลก เขาก็คงจะได้กลายเป็นเทพเจ้าไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะได้รับความแข็งแกร่งมามากถึงเพียงนี้แล้ว แต่จิตใจของเขาก็ยังคงสงบนิ่งและไม่ได้หลงระเริงไปกับพลัง

เขายังไม่ลืมว่าโลกที่เขาอยู่นั้นเป็นโลกแห่งการฝึกตนของเทพเซียน มันมีความอันตรายมากกว่าโลกที่เขาจากมานับล้านเท่า

เขาในตอนนี้ยังคงไม่ต่างอะไรไปจากมด

แน่นอนว่าที่เขายังสามารถรักษาความคิดเช่นนี้เอาไว้ได้ก็เป็นเพราะเขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะรักษาความรู้สึกของการเป็นมนุษย์เอาไว้ในตลอดช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา

มิฉะนั้นแล้ว ในสภายแวดล้อมที่มีแต่ตัวเขาเอง เขาก็คงจะหลงระเริงไปกับพลังที่ได้รับมาไปเรียบร้อยแล้ว

ในทางกลับกัน เขาก็ยังคงพยายามตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอ

“ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ฉันก็จะต้องไม่ลืมสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้”

นี่เป็นคำเตือนและเป็นการปลุกเตือนตัวเองทุกวันของเขา

“มันเริ่มดึกแล้วสิ” ซุยเฮ็งยืนขึ้นและมองออกไปนอกหน้าต่าง พระอาทิตย์กำลังตกดินและดวงดาวก็กำลังปรากฎขึ้นบนฟ้า “ไปเก็บมะเขือเทศมาผัดกินดีกว่า”

ในชั่วพริบตา เขาก็ได้เตรียมอาหารเย็นสำหรับตัวเองเสร็จ

และใช่แล้ว เขากินไข่ต้มกับมะเขือเทศมาครึ่งปีแล้ว

มันเป็นมื้อที่ง่ายและช่วยแก้ปัญหาเรื่องการเสียเวลาได้!

ความเกียจคร้านเป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติของมนุษย์

อย่างไรก็ตาม เมื่อซุยเฮ็งมาถึงสวนผักที่เขาปลูก เขาก็รู้สึกว่าบรรยากาศนั้นดูแปลกไป แม้แต่เมฆบนท้องฟ้าก็ยังถูกย้อมไปด้วยสีม่วงแดงที่แปลกประหลาด

“ดูเหมือนว่ามันจะได้เวลาทำอาหารเพิ่มอีกจานแล้วสินะ” มุมปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม

หากเขาต้องกินอาหารคนเดียว อาหารจะเป็นอะไรก็ไม่สำคัญ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขามีแขกมาเยือน อาหารก็จะกลายมาเป็นเหมือนกับส่วนหนึ่งในหน้าตาของเขา

ฉันจะเพิ่มไข่เจียวเข้ามา!

แบบนี้แหละไม่เลวเลย!

“เกิดอะไรขึ้น? เมื่อกี้ข้ากำลังเรียนอยู่ที่บ้านไม่ใช่หรอ?”

เป่ยฉิงซูขมวดคิ้วและมองไปรอบๆ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย

“ข้าถูกพามายังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยในชั่วพริบตา นี่มันเรื่องอะไรกัน? เหลือเชื่อ!”

แม้ว่าเขาจะมาจากภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาและมีประสบการณ์กับความรู้มากมาย แต่สถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็เกินกว่าขอบเขตความรู้ของเขาไปไกลแล้ว เขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?

แม้แต่เซียนในตำนานก็ยังไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้เลย!

“สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการหาว่าที่นี่คือที่ไหน ใครเป็นคนพาข้ามา และจุดประสงค์ของพวกเขาคืออะไร!”

เป่ยฉิงซูพยายามสงบจิตสงบใจลงอย่างรวดเร็ว เขาหมุนรถเข็นไปรอบๆ และเริ่มตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบ

ใช่แล้ว ขาของเขาพิการ

เขาทำได้เพียงนั่งรถเข็นช่วยเท่านั้น

อุบัติเหตุร้ายแรงในอดีตได้ทำให้เด็กหนุ่มอายุ 13 ปีคนนี้สูญเสียความสามารถในการยืนและเดิน อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ทำให้เขาดูน่าสมเพชหรือน่าเวทนา

เป่ยฉิงซูเข็นตัวเองผ่านป่าและไปตามเส้นทางที่มีคนทำทิ้งไว้ ไม่นาน เขาก็พบเข้ากับสวนผัก

นอกจากนี้ เขาก็ยังเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเก็บผักอยู่ในสวน

ชาวนา?

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ถามอะไร มันก็ดูเหมือนชาวนาหนุ่มจะสัมผัสได้ถึงการจ้องมองของเขาและหยุดสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ลง ชาวนาหนุ่มหันกลับมาและโยนผลไม้สีแดงมาให้กับเป่ยฉิงซู

“นี่คืออะไร?” เป่ยฉิงซูยกผลไม้สีแดงขึ้นมองด้วยความตกตะลึง แม้เขาจะมีสถานะที่ไม่ธรรมดา แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นผลไม้ชนิดนี้มาก่อนเลยจริงๆ

“สิ่งที่จะทำให้เจ้ายืนขึ้นได้” ชาวนาหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้ม

5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด