ตอนที่แล้วบทที่ 11: ริ้วแสงกระบี่  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 13: เส้นทางที่เหมาะสม

บทที่ 12: เหมือนความฝัน นักเดินทางที่ผ่านไปจากไปอย่างรวดเร็ว


บทที่ 12: เหมือนความฝัน นักเดินทางที่ผ่านไปจากไปอย่างรวดเร็ว

จริงๆ แล้วการทำให้กระบี่บินนั้นก็ไม่ใช่เทคนิคที่ลึกล้ำอะไรมาก

หลังจากที่ซุยเฮ็งทำความเข้าใจเทคนิคนี้เรียบร้อยแล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่าเขาแค่ต้องใช้เพียงพลังปราณของเขาเพื่อควบคุมกระบี่ให้เคลื่อนที่ไปตามที่เขาต้องการ

เมื่อคิดดูอีกที ปกติแล้วผู้ฝึกตนเขาเตรียมกระบี่เอาไว้สองเล่มรึเปล่านะ? แบบว่าเล่มหนึ่งเอาไว้โจมตีและอีกเล่มเอาไว้บิน?

อย่างไรก็ตาม เทคนิคการปล่อยให้กระบี่แสงหมุนรอบตัวเขาและพาเขาขึ้นไปบนท้องฟ้านั้นก็เป็นเพียงเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่คล้ายกับการลอยอยู่ในอากาศ

แม้ว่าเขาจะบินด้วยความเร็วสูงสุด แต่เขาก็ยังไม่สามารถไปถึงความเร็วเสียงได้

ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ไม่ได้เร็วมากขนาดนั้น

และหากเขาต้องการจะโบยบินไปกับใครสักคน เขาก็จำเป็นจะต้องควบคุมพลังปราณและกระบี่แสงของเขาให้ได้อย่างสมบูรณ์ และเพื่อการนั้น มันก็มีเพียงผู้ฝึกตนขอบเขตก่อเกิดรากฐานขั้นกลางขึ้นไปเท่านั้นที่จะสามารถทำได้

นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่จู่ๆ ซุยเฮ็งก็ชวนเจียงฉีฉีขึ้นบิน

ในด้านหนึ่ง เขาก็สามารถใช้โอกาสนี้ในการลองของได้

แต่ในทางกลับกัน เขาก็ยังสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อมอบประสบการณ์และสร้างแรงจูงใจให้กับเจียงฉีฉีได้อีกด้วย

เช่นเดียวกัน สิ่งนี้ยังสร้างแรงจูงใจให้เขาอยากไปถึงขอบเขตก่อเกิดรากฐานเร็วๆ อีกด้วย

ความคาดหวังนี้เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ฝึกตน

และเนื่องจากเขาได้มอบวิชาให้กับเจียงฉีฉีไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงคาดหวังจะให้เธอแข็งแกร่งขึ้นและประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน

เมื่อดูจากผลลัพธ์แล้ว มันก็ค่อนข้างดีทีเดียว

เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของเจียงฉีฉีที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ซุยเฮ็งก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอน เจ้าสามารถทำได้ ตราบใดที่เจ้าฝึกฝนศาสตร์กระบี่เซียนอรุณอย่างจริงจัง สักวันหนึ่งเจ้าก็จะสามารถโผบิดไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ได้อย่างแน่นอน”

“เยี่ยมไปเลย! ขอบคุณพี่ใหญ่เซียน!” เจียงฉีฉีโห่ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น

ความตื่นเต้นของเธอทำให้เธอเผลอตัวอ้าแขนจะไปกอดซุยเฮ็ง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอได้สติ เธอก็รีบหดแขนกลับมาและแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ซุยเฮ็งเห็นทั้งหมดนี้ แต่เขาก็ทำเพียงแค่ยิ้มและไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับมัน “ไปกันเถอะ ได้เวลากลับไปฝึกแล้ว ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายแล้ว”

“อ่า” เจียงฉีฉีตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นเธอก็พยักหน้าอย่างช้าๆ ดวงตาของเธอหรี่ลงเล็กน้อย และเธอก็ถอนหายใจ “มันเป็นวันสุดท้ายแล้วสินะ”

นี่เป็นคืนสุดท้ายของเจียงฉีฉีที่อยู่ที่นี่

เธอไม่ได้นอน แต่เธอกลับนั่งขดตัวอยู่ที่ปลายเตียงเหมือนคืนแรกที่เธอมาที่นี่ ถึงกระนั้น เธอก็ไม่ได้นั่งหดหัวและร้องไห้

ในตอนนี้ เธอกำลังเงยหน้าขึ้นมองแสงจันทร์ที่ส่องแสงสว่างไสวอยู่นอกหน้าต่าง ความทรงจำในช่วง 12 วันที่ผ่านมาแล่นผ่านจิตใจของเธอไปราวกับฉากหนัง

ทั้งความไม่สบายใจและความกลัวในตอนแรก ไปจนถึงความสงบสุขและความคาดหวังที่ตามมา และไปจนถึงความไม่เต็มใจที่จะต้องกลับไป...

“ราวกับฝันไปเลย”

ดวงตาคู่โตของเจียงฉีฉีสะท้อนแสงจันทร์ที่สดใสในขณะที่เสียงของซุยเฮ็งดังขึ้นในใจของเธอ มุมปากของเธอโค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัวในขณะที่เธอกล่าวกระซิบออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม

“พี่ใหญ่เซียน ท่านคือผู้มอบชีวิตใหม่ให้กับข้า ข้าจะตั้งใจฝึกวิชากระบี่เซียนที่ท่านสอนข้าอย่างอุตสาหะและจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อส่งต่อมันไปให้ถึงทุกๆ คน และในสักวันหนึ่ง ทุกคนบนโลกก็จะได้รับรู้ถึงความทรงพลังของศาสตร์กระบี่เซียนอรุณ!”

“นอกจากนี้ ข้าก็จะทำให้ความฝันและคำสัญญาที่ข้าว่าไว้เป็นจริงด้วย ข้าจะเดินทางไปทั่วโลก ท่องไปในยุทธภพ ช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ และเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ควรเปลี่ยน!”

“ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”

ในท้ายที่สุด เธอก็กำหมัดแน่นด้วยสายตาแน่วแน่

ในวันสุดท้าย ซุยเฮ็งไม่ได้สั่งสอนเจียงฉีฉีอีกต่อไป

แต่เขากลับพาเธอไปเดินเล่นรอบๆ พื้นที่มิติสำหรับผู้เริ่มต้นเพราะนี่เป็นคำขอของเจียงฉีฉี

เธออยากจะจดจำสถานที่ในฝันแห่งนี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ

และก่อนที่พวกเขาจะจากไป จู่ๆ ซุยเฮ็งก็ยกมือขึ้นและกดลงที่ระหว่างคิ้วของเจียงฉีฉีเบาๆ

“พี่ใหญ่เซียน ท่านกำลังทำอะไรน่ะ?” เจียงฉีฉีถามอย่างอยากรู้อยากเห็นในขณะที่เธอสัมผัสได้ถึงปลายนิ้วของซุยเฮ็งที่กดลงบนใบหน้าของเธอ

“นี่คือของขวัญสำหรับเจ้า” ซุยเฮ็งยิ้ม

พลังปราณของเขาไหลผ่านช่องว่างระหว่างคิ้วของเจียงฉีฉีและไหลเข้าสู่ทะเลจิตของเธอ มันกลั่นตัวเป็นแสงหลากสี

แสงเหล่านี้เป็นเหมือนข้อมูลที่ลอยอยู่ในจิตใจของเจียงฉีฉี

“ว้าว นี่มันน่าทึ่งมากจริงๆ!” ดวงตาเจียงฉีฉีเบิกกว้างขึ้นในทันใด “นี่คืออะไรกัน?”

เธอสัมผัสได้ถึงแสงหลากสีในจิตใจของเธอ เธอรู้สึกเพียงว่ามันงดงามและมีสีสันที่ดูพิเศษ

“นี่คือใจความ” ซุยเฮ็งถอนนิ้วออกและอธิบาย “แสงนี้คือความเข้าใจและความหมายที่แท้จริงของศาสตร์กระบี่เซียนอรุณ ข้าได้ใช้พลังของข้าเพื่อกลั่นกรองข้อมูลเหล่านี้ให้กลายเป็นแสงและใส่ลงไปในจิตใจของเจ้า”

“หากเจ้าพบกับความยากลำบากใดๆ ในการฝึกมัน เจ้าก็สามารถตั้งสมาธิไปที่แสงหลากสีนี้และหาคำตอบจากมันได้”

พูดง่ายๆ มันก็คือคู่มือฝึก

“จริงหรอ! ขอบคุณพี่ใหญ่เซียน!” เจียงฉีฉีรู้สึกยินดีและตื่นเต้น เธอสัมผัสได้ถึงออร่าของซุยเฮ็งจากแสงหลากสีนี้

ในขณะนี้ แสงสีทองจางก็ส่องออกมาจากร่างของเด็กหญิงตัวเล็ก ในเวลาเดียวกัน พลังงานบางอย่างก็พยายามจะดูดเธอออกไปราวกับว่ามันต้องการจะพาเธอไปยังสถานที่อันไกลโพ้น

การแสดงออกของเจียงฉีฉีดูสับสนเล็กน้อย ราวกับว่าเธอกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ เธอรีบถามออกไปว่า “พี่ใหญ่เซียน แสงหลากสีนี้จะคงอยู่ตลอดไปไหม?”

“หลังจากที่เจ้าเข้าใจศาสตร์กระบี่เซียนอรุณอย่างสมบูรณ์แล้ว แสงเหล่านี้ก็จะหายไปเอง” ซุยเฮ็งยิ้มและพูดว่า “ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า เจ้าก็จะต้องเข้าใจมันได้อย่างรวดเร็วแน่นอน”

เขาคิดว่าเจียงฉีฉีกลัวว่าแสงเหล่านี้จะหายไปก่อนที่เธอจะทันได้ทำความเข้าใจมันเสร็จ

เจียงฉีฉีเงียบลง

ในขณะนี้ ร่างกายของเธอก็ถูกห่อหุ้มไปด้วยแสงสีทองและกำลังจะหายไปแล้ว

ทันใดนั้นเอง เด็กหญิงตัวน้อยก็อ้าแขนออกและตะโกนว่า “พี่ใหญ่เซียน ขอข้ากอดหน่อยได้…”

ก่อนที่เธอจะทันได้พูดจบประโยค เธอก็หายตัวไปจากโลกนี้ไปแล้ว

ซุยเฮ็งยืนเฝ้าดูแสงสีทองจางหายไป

อันที่จริง ภายใต้แสงสีทองอันสว่างไสวนี้ เขาก็ไม่สามารถมองเห็นร่างของเจียงฉีฉีได้ด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรกับการเดินเข้าไปหาเธอ?

แม้แต่ประโยคสุดท้ายเขาก็ยังไม่ได้ยิน เสียงของเธอนั้นทั้งอู้อี้และไม่ชัดเจน

อย่างไรก็ดี ท้ายที่สุดแล้ว เจียงฉีฉีก็ได้จากไปแล้ว

หลังจากส่งแขกคนที่สองกลับออกไปแล้ว พื้นที่มิติสำหรับผู้เริ่มต้นก็กลับสู่ความเงียบสงบดังเดิม

และความเหงาเช่นเดียวกับเมื่อ 90 ปีที่ผ่านมา... ก็กลับมาอีกครั้ง

ซุยเฮ็งไม่ขยับ เขายืนอยู่ตรงนั้นทั้งวัน

เมื่อตกกลางคืน เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาและเดินกลับไปที่วิลล่า

เช้าวันรุ่งขึ้น

คนรับใช้สุดแกร่งก็ยังคงปฏิบัติตามคำสั่งของซุยเฮ็ง มันทำบะหมี่สองถ้วยแล้ววางทิ้งไว้บนโต๊ะอาหาร

หลังจากที่ซุยเฮ็งตื่นขึ้น เขาก็เดินลงมาที่ห้องอาหาร อย่างไรก็ตาม เขาเห็นบะหมี่ทั้งสองชาม เขาก็ผงะเล็กน้อย และหลังจากนั้น เขาก็ส่ายหัวเบาๆ และพูดกับคนรับใช้สุดแกร่งว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป แกเตรียมแค่ชามเดียวก็พอ”

“เพราะจากนี้ไป... ฉันก็คงจะต้องอยู่คนเดียวอีกตามเคย”

4.5 2 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด