ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 128 บดขยี้จ้าวเหลียงฉิง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 130 ทักษะควบคุมสิ่งของ

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 129 ลูกสาวเทพอินทรีย์


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 129 ลูกสาวเทพอินทรีย์

แปลโดย iPAT  

ในยามรุ่งเช้า หมอกหนาทึบปกคลุมภูเขาเอาไว้ทั้งหมด เมื่อหลี่ฉิงซานมองผ่านช่องหน้าต่าง เขาเห็นเมืองเจียเผิงถูกกลืนหายเข้าไปในทะเลหมอก อาคารขนาดใหญ่มีเพียงไม่กี่แห่ง หอเมฆาพิรุณเป็นหนึ่งในนั้นซึ่งตอนนี้มันดูเหมือนเกาะที่ลอยอยู่กลางทะเลสีขาว

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นเมื่อคืนนี้นอกจากหลี่ฉิงซาน เขาก้มศีรษะลงและมองมือขวาของตน มันเป็นมือที่หยาบกร้านซึ่งบ่งบอกถึงความตรากตำทำงานหนักตลอดหลายปีที่ผ่านมาและมันก็เป็นคู่มือเดียวกันที่เขาใช้บดขยี้ศัตรูจนตายในคืนก่อน ความรู้สึกที่บางคนระเบิดอยู่ในกำมือยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของเขา

คนธรรมดาอาจถอนหายใจที่มือของพวกเขาเต็มไปด้วยเลือดและรู้สึกโศกเศร้า อย่างไรก็ตามเขากลับดีใจและมีความสุขมาก มันไม่ใช่เพราะธรรมชาติของปีศาจที่ทำให้เขาเย็นชา เขาสามารถหลั่งน้ำตาเพื่อเสี่ยวอันและร้องไห้เพื่อซวนเยว่ แต่คนเลวเช่นจ้าวเหลียงฉิงไม่มีค่าแม้แต่จะให้เขาถอนหายใจ

เขาสามารถปฏิเสธที่จะยอมรับความมืดในใจและทำตัวเหมือนมนุษย์ธรรมดาต่อไปหรือเขาอาจยอมรับมันอย่างใจเย็นและเพลิดเพลินไปกับความสุขที่ได้กำจัดขยะเช่นจ้าวเหลียงฉิง

เห็นได้ชัดว่าหลี่ฉิงซานเลือกอย่างหลัง

ในวันแรกของการเข้าร่วมหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ สมาชิกใหม่สามารถพักผ่อนและทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม การฝึกอบรมจะเริ่มขึ้นในวันนี้ภายใต้คำแนะนำของผู้อาวุโส

เดิมทีคนผู้นั้นควรเป็นเก้อเจี้ยนแต่มันถูกแทนที่ด้วยเจ้าจมูกโตที่พนันว่าหลี่ฉิงซานจะตายในการแข่งขันคัดเลือกสมาชิกใหม่ เขาตบไหล่หลี่ฉิงซานพร้อมเผยรอยยิ้ม “เจ้าหนู เมื่อคืนเจ้าน่าประทับใจมาก หากเป็นข้า ข้าคงไม่กล้าพอที่จะทำเรื่องเช่นนั้น”

พิจารณาจากถ้อยคำเหล่านี้ หลี่ฉิงซานรู้สึกว่าคนผู้นี้อาจไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญาชาคนสนิทของจ้าวจื่อป๋อ แม้จ้าวจื่อป๋อจะต้องการผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทที่ไว้ใจได้แต่เขาก็ไม่ได้รับทุกคน

เตียวเฟยและเฉียนหรงจื่อนั่งอยู่ด้านข้างหลี่ฉิงซาน ทั้งสองมีความคิดของตนเองและไม่ได้กล่าวสิ่งใด

เจ้าจมูกโตกระแอมไออยู่ในลำคอก่อนจะเริ่มบทเรียนแรกของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ซึ่งก็คือประวัติของหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์

หลี่ฉิงซานตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าตนเองอยู่ในสถานที่เช่นไร เขาตกตะลึงกับเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของมัน เขาพึมพำ “อาณาจักรต้าเซี่ย?”

นี่เป็นอาณาจักรที่ก่อตั้งโดยผู้ฝึกตน สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าคือหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีอำนาจมากที่สุดแท้จริงแล้วเป็นปีศาจ นี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตามเขาเข้าใจว่าจักรพรรดิผู้ก่อตั้งอาณาจักรแห่งนี้คิดสิ่งใดอยู่ ภรรยาของเขาสามารถต่อสู้กันเองเพื่อผลประโยชน์ ขณะที่ลูกๆของเขาสามารถเข่นฆ่ากันเองเพื่อชิงบังลังก์ แม้แต่ขุนนางผู้ภักดีและนายพลผู้กล้าหาญก็อาจขัดแย้งกันเองในความเชื่อของพวกเขา หลังจากทั้งหมดจิตใจของมนุษย์ซับซ้อนเกินไป มีเพียงความภักดีของปีศาจเท่านั้นที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

แม้หลี่ฉิงซานจะปฏิเสธว่าเสี่ยวอันเป็นสัตว์เลี้ยงของเขา แต่เขาก็ไม่สามารถหาคำอธิบายที่ดีกว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน เหตุผลที่เขาไว้ใจเสี่ยวอันมากเนื่องมาจากจิตใจที่บริสุทธิ์และเรียบง่ายของเขา

เจ้าจมูกโตคล้ายกับนักเล่านิทานปรัมปราที่น่าประทับใจที่สุด น้ำลายของเขาพุ่งออกมาจากปากราวกับแม่น้ำขณะที่เขาบรรยายประวัติศาสตร์ส่วนนี้อย่างออกรส แต่เมื่อเขากล่าวไปถึงจุดหนึ่ง เขาก็หยุดอย่างกะทันหันและมองไปที่หลี่ฉิงซานด้วยรอยยิ้ม “เมื่อกล่าวถึงผู้บัญชาการสูงสุดของหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ ผู้พิทักษ์เทพอินทรีย์ ข้าก็ต้องกล่าวถึงลูกสาวของเขา...”

หลี่ฉิงซานที่จมอยู่ในความคิดของตนเงยหน้าขึ้น บุคคลที่เจ้าจมูกโตกล่าวถึงก็คือกู่เยี่ยนหยิน!

หลี่ฉิงซานปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆและจมดิ่งลงไปในความคิดของตนเองอีกครั้ง ร่างที่สง่างามในชุดขาวปรากฏขึ้นในใจของเขา เมื่อหยางซ่งพูดถึงกู่เยี่ยนหยิน เขาบอกว่านางมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาแต่หลี่ฉิงซานไม่เคยคิดว่ามันจะไปถึงระดับดังกล่าว

เจ้าจมูกโตกล่าวต่อ “แน่นอนว่าพวกเจ้าไม่สามารถบอกผู้อื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่เป็นความลับ แม้แต่ภายในหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ก็ห้ามพูดถึง แท้จริงแล้วมันเป็นกฎที่ไม่สามารถฝ่าฝืนของหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ของเขตรุ้ยอี้ พวกเจ้าเพียงทำเหมือนไม่เคยได้ยินมันมาก่อน ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี” ขณะที่เขากล่าว เขาก็มองไปที่หลี่ฉิงซานอีกครั้ง

หลี่ฉิงซานไม่ตอบ เขายังสงบนิ่ง สำหรับเขา เป้าหมายที่วัวดำมอบให้เขาอยู่ไกลเกินไป ด้วยเหตุนี้วิสัยทัศน์ของเขาจึงไม่เคยอยู่ที่โลกมนุษย์ตั้งแต่แรก

เป้าหมายของเขาคือการโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้า คนทั่วไปอาจคร่ำครวญว่าภูเขาเอเวอเรสต์สูงเพียงไหนและยากเพียงใดที่จะปีนป่าย แต่สำหรับหลี่ฉิงซาน เขาไม่รู้สึกกดดันเพราะเป้าหมายของเขาสูงยิ่งกว่า

การที่เขาสามารถสร้างสายสัมพันธ์กับกู่เยี่ยนหยินเป็นเพราะโชคชะตา หากเขาสามารถคว้านางมาครองได้ เขาจะทำอย่างแน่นอน เขาไม่กลัวที่จะถูกคนอื่นตราหน้าว่าเป็นพวกกลัดมัน เขายอมรับว่าตนเองกลัดมัน นอกจากนั้นเขายังชอบดื่ม ชอบกิน ชอบบดขยี้ศัตรูให้แหลกคามือ เขาชอบยาดีๆ และเขาก็ชอบสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณ

…..

หลังจากเดินผ่านถนนที่พลุกพล่าน หลี่ฉิงซานก็มาถึงหน้าสำนักงานของทางการที่มีสิงโตหินขนาดใหญ่คู่หนึ่งตั้งอยู่ เขาสามารถบอกได้ว่านี่ไม่เพียงเป็นการทำให้ประชาชนรู้สึกเกรงกลัวแต่ยังแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจองทางการอีกด้วย พลังปราณที่สิงโตหินปล่อยออกมาทำให้มันเหมือนสิงโตที่มีชีวิตจริงๆ เมื่อผู้คนเดินผ่าน พวกเขาจะรู้สึกว่าตนเองกำลังจะถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ยามสองคนที่ยืนเฝ้าประตูต้องการหยุดหลี่ฉิงซานแต่หลังจากได้ยินชื่อของเขา ยามคนหนึ่งก็รีบนำทางเขาเข้าไปทันที

สถานที่ราชการเป็นสถานที่ที่วุ่นวาย ผู้คนมากมายวิ่งไปมาตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาของพวกเขา

โจวเหวินปิงต้อนรับหลี่ฉิงซานในสวนด้านหลัง ภายใต้แสงแดดที่เจิดจ้า โจวเหวินปิงในชุดสีเขียวนั่งบนเบาะรองนั่งใต้ต้นหลิวขนาดใหญ่ริมสระน้ำขณะชื่นชมทิวทัศน์ เขาดูไม่เหมือนเจ้าเมืองแต่เหมือนนักพรตมากกว่า เขากำลังพักผ่อนขณะที่ผู้คนในสำนักงานกำลังทำงานอย่างชุลมุนวุ่นวาย

หลี่ฉิงซานป้องหมัดขึ้น “คารวะเจ้าเมืองโจว”

โจวเหวินปิงโบกมือ เบาะอีกใบหล่นลงมาด้านหน้าของเขาพร้อมกับชุดน้ำชาที่งดงาม

หลี่ฉิงซานนั่งลง เมื่อโจวเหวินปิงโบกมืออีกครั้ง ไอน้ำก็ลอยขึ้นจากบ่อและพุ่งมารวมตัวกันอยู่ในฝ่ามือของเขา จากนั้นมันก็ไหลเข้าไปในกาน้ำชาและสร้างกลิ่นหอมลอยอบอวลไปทั่ว สุดท้ายเขาก็เติมชาในถ้วยสองใบ

โจวเหวินปิงกล่าวอย่างสบายๆ “พวกเราผู้ฝึกตนไม่ควรถูกควบคุมด้วยหน้าที่การงานมากเกินไป”

หลี่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจ “เช่นนั้นเหตุใดท่านยังดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองอยู่? เหตุใดไม่ปักหลักอยู่ในสถานที่เงียบสงบและให้ความสนใจกับการบ่มเพาะเท่านั้น?”

“เจ้าอาจยังไม่รู้ นี่เป็นหนึ่งในวิธีการบ่มเพาะของลักธิขงจื้อ มันคือการรวบรวมพลังแห่งความเชื่อ สิ่งนี้จะทำให้การบ่มเพาะยกระดับขึ้นได้เช่นนี้ นั่นเป็นเหตุผลที่ข้ายังดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองของเมืองเจียเผิง”

โจวเหวินปิงอธิบายอย่างอดทน นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ฉิงซานเคยได้ยินเกี่ยวกับวิธีการบ่มเพาะเช่นนี้ มันเป็นวิธีการบ่มเพาะที่มีประสิทธิภาพและไม่ต้องใช้ความพยายามมากเกินไป บุตรบุญธรรมและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาช่วยจัดการงานต่างๆให้เขาขณะที่เขาต้องทำเพียงนั่งดื่มชาและชื่นชมดอกไม้อยู่ที่ลานด้านหลังเท่านั้น นี่ทำให้หลี่ฉิงซานได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ

หลี่ฉิงซานกล่าวเข้าประเด็น “ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านจึงเรียกข้ามาที่นี่?”

โจวเหวินปิงกล่าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าใช้ชีวิตอยู่บนเวลาที่ยืมมา”

หลี่ฉิงซานกล่าว “ข้าไม่เข้าใจ”

โจวเหวินปิงกล่าวต่อ “เจ้าทำให้จ้าวจื่อป่อขุ่นเคือง เขาเป็นคนขี้ขลาดมากซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาเลือกที่จะอดทน แต่เราทั้งคู่ต่างรู้ว่าเจ้าไม่มีการสนับสนุนเช่นนั้นจริงๆ ตาแก่หวังไม่ได้ชื่นชอบเจ้ามากนัก จ้าวจื่อป๋อจะรู้เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็ว”

หลี่ฉิงซานไม่สะทกสะท้าน “แล้วท่านจะแนะนำข้าอย่างไร? ข้าควรย้ายไปอยู่ในการบังคับบัญชาของท่านงั้นหรือ?”

โจวเหวินปิงตอบ “ข้าแน่ใจว่าต้องการผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นเจ้า ข้าได้ยินสิ่งที่เจ้าทำในเมืองชิงหยางมาแล้ว เจ้าเพิ่มตำแหน่งรองเจ้าเมืองให้ข้าโดยตรง ข้าต้องเสียค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆเพื่อเลี้ยงเขา”

หลี่ฉิงซานนึกถึงพี่เขยของเย่ต้าฉวนขึ้นมาทันที กล่าวไปแล้วเย่ต้าฉวนก็คงมาถึงเมืองเจียเผิงในช่วงเวลาใกล้เคียงกับเขา

“อย่างไรก็ตามเมื่อเจ้ากลายเป็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ไปแล้ว เจ้าก็ไม่สามารถหลีกหนีจากเรื่องทั้งหมดนี้ได้โดยง่ายอีกต่อไป”

หลี่ฉิงซานกล่าว “เช่นนั้นท่านจะบอกว่าทางเลือกเดียวของข้าคือหนีงั้นหรือ?”

โจวเหวินปิงส่ายศีรษะ “โทษของการละทิ้งหน้าที่หรือทรยศหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์จะร้ายแรงกว่านั้น มันเพียงพอที่จะทำให้ชื่อของเจ้าเข้าไปอยู่ในบัญชีรายชื่ออาชญากร แม้โลกจะกว้างใหญ่ แต่สถานที่ที่เจ้าสามารถอยู่อาศัยจะมีเพียงป่าเขา เจ้าต้องใช้ชีวิตไม่ต่างจากปีศาจเหล่านั้น”

หลี่ฉิงซานพิจารณา เขาคิด ‘นี่ไม่ใช่เรื่องยากที่จะรับมือ’

โจวเหวินปิงกล่าวต่อ “หากเจ้าต้องการหลีกเลี่ยงจ้าวจื่อป๋อ มีเพียงที่เดียวที่เจ้าสามารถไป”

หลี่ฉิงซานถาม “ที่ใด?”

“สำนักศึกษาร้อยจอมยุทธ์!”

“สำนักศึกษาร้อยจอมยุทธ์อยู่ที่ใด?”

“แน่นอนว่าในเมืองชิงเหอ”

“สำนักศึกษาร้อยจอมยุทธ์เป็นสถานที่เช่นไร?”

“มันเป็นสถานที่ที่คนทั่วไปเข้าไปเรียนรู้และฝึกฝน มันเป็นรากฐานของจักรวรรดิ ในฐานะเจ้าเมือง นอกจากข้าจะเป็นผู้ดูแลภูมิภาคนี้ ข้ายังมีหน้าที่คัดเลือกคนที่มีความสามารถให้กับจักรวรรดิ ข้าสามารถแนะนำจอมยุทธที่มีพรสวรรค์ให้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาร้อยจอมยุทธ์ กระทั่งหน้าที่ของเจ้าในฐานะผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ก็ยังสามารถหยุดไว้ชั่วคราว ด้วยวิธีนี้เจ้าจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับจ้าวจื่อป๋ออีกต่อไป ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า ข้ามาจากสำนักศึกษาร้อยจอมยุทธ์เช่นกัน ข้าสามารถบอกได้ว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของเจ้ามากกว่าหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์”

หลี่ฉิงซานกล่าว “ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านจึงต้องการช่วยข้ามากถึงเพียงนี้?”

โจวเหวินปิงตอบ “ความสามารถของเจ้าน่าสนใจ แต่ข้าชอบนิสัยของเจ้ามากกว่า ข้าไม่อยากเห็นเจ้าถูกทำลายด้วยน้ำมือของพวกอันธพาลเจ้าเล่ห์ แน่นอนว่าวันหนึ่งเจ้าจะต้องกลับหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ เมื่อวันนั้นมาถึง ข้าก็ไม่รังเกียจที่เจ้าจะมาอยู่ที่เมืองเจียเผิงและทำงานร่วมกับข้า”

บางคนอาจรังเกียจนิสัยของคุณแต่แน่นอนว่าย่อมมีบางคนที่ชื่นชอบคุณเช่นกัน

หลี่ฉิงซานคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบว่า “ขอบคุณสำหรับข้อเสนอที่ดีของท่าน วันหนึ่งข้าจะไปที่นั่นและลองดูแต่มันยังไม่ใช่เวลานี้ ข้ายังมีสิ่งที่อยากทำในเมืองเจียเผิง”

เขาคาดเดาว่าสำนักศึกษาร้อยจอมยุทธ์เป็นสถานที่ที่เหมือนกับโรงเรียน มันเป็นโรงเรียนสำหรับจอมยุทธ์พลังปราณเพื่อยกระดับความสามารถของพวกเขาและสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพให้กับจักรวรรดิต้าเซี่ย อย่างไรก็ตามตั้งแต่มันเป็นโรงเรียน มันก็ต้องมีค่าเล่าเรียนและกฎระเบียบต่างๆ อย่างน้อยที่สุดเขาก็จะไม่สามารถเข่นฆ่าบางคนอย่างสนุกสนานในนามของความยุติธรรมได้อีกต่อไป

ตอนนี้เขายังต้องการเลือดเนื้อเพื่อช่วยสร้างร่างกายให้กับเสี่ยวอัน เขายังต้องการเม็ดยารวบรวมพลังปราณจำนวนมากจากภารกิจเหล่านี้และเมืองเจียเผิงก็เป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับภารกิจดังกล่าว หากเขาทำภารกิจทั้งหมดสำเร็จ เขาก็ไม่ต้องกลัวจ้าวจื่อป่อแม้แต่น้อยนิด

โจวเหวินปิงขมวดคิ้ว “ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ขั้นหก”