ตอนที่แล้วทาสแห่งเงา บทที่ 39 การเดินทางสู่ทิศตะวันตก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปทาสแห่งเงา บทที่ 41 ตัวเลขของความแข็งแกร่ง

ทาสแห่งเงา บทที่ 40 จุดอ่อน (ฟรี)


“หยุด!” ซันนี่กระซิบ มองดูกลุ่มสัตว์กินซากผ่านเงาของเขา

ทันทีที่เขาพูดจบ เนฟฟีสก็ชักดาบออกมาในทันใด หลังจากสำรวจพื้นที่โดยรอบอยู่ชั่วครู เธอก็หันหน้ามาหาเขาด้วยแววตาสงสัย

ในขณะที่แคสเซียยืนตัวแข็งและยกไม้เท้าอย่างกระอักกระอ่วน

ซันนี่นับจำนวนสัตว์อสูร หนึ่ง สอง สาม…. ห้า….

“บ้าเอ้ย!”

สัตว์อสูรร่างโตที่ดูเหมือนตัวที่อยู่ต่ำสุดของฝูงนั้นหน้าตาเหมือนกับตัวที่เขาพึ่งสังหารไปเมื่อก่อนหน้า แต่ว่าบาดแผลของมันนั้นไม่ได้รุนแรงมาก และพวกมันแต่ละตัวนั้นดูอันตรายมากกว่าไอ้ตัวน่าสมเพชเมื่อก่อนหน้านี้ อีกทั้งครั้งนี้พวกมันยังมีเกือบครึ่งโหลอีก

“พวกสัตว์กินซากอยู่ด้านหน้า หกตัว พวกมันกำลังเข้ามาใกล้”

เนฟฟีสจ้องไปข้างหน้า สีหน้าของเธอดูราวกับกำลังคำนวนอะไรบางอย่าง

“พวกมันกินซากเสร็จแล้วเหรอ?”

ซันนี่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว

“ไม มันไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่บางทีมันอาจจะไม่เหลือเนื้อพอสำหรับพวกมันทุกตัวอีก เพราะงั้นพวกสัตว์กินซากบางตัวจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปลีกตัวออกมาด้วยท้องหิว”

เนฟฟีสพยักหน้าและชี้ไปที่ทางแยกใกล้ๆ

"เราจะอ้อมพวกมันไป"

ผู้หลับไหลทั้งสามรีบมุ่งหน้าต่อไปและเปลี่ยนเส้นทาง เลี่ยงสัตว์อสูรกลุ่มนั้นด้วยระยะทางที่ไกล พวกเขาเดินต่อไปภายใต้ความตึงเครียด พยายามไปให้ถูกทางไม่ให้หลงในเขาวงกตนี้

อย่างไรก็ตาม ในชั่วโมงต่อจากนี้ พวกเขาก็ต้องเดินหลบพวกสัตว์กินซากไปด้วยทิศทางสุ่มๆ อีกครั้งแล้วครั้งเล่า และระยะทางระหว่างพวกเขาและรูปปั้นยักษ์ก็ไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย

เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง พวกเขาก็หยุดพักหายใจใกล้ๆ ทางตันที่มีมากมายภายในเขาวงกตแห่งนี้ พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรอ เพราะมีสัตว์อสูรจำนวนมากกำลังเคลื่อนตัวผ่านที่ซ่อนของพวกเขา แยกพวกเขาออกจากทางเดินปะการัง

ซันนี่ถอนหายใจและส่ายหน้า

“เราจะทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ด้วยความเร็วขนาดนี้ พวกเราจะไปไม่ถึงพื้นที่ปลอดภัยก่อนพระอาทิตย์ตกแน่”

แคสซี่เป็นคนแรกที่ตอบกลับมา

“หรือบางที… เราควรจะกลับไป?”

นั่นเป็นคำแนะนำที่สมเหตุสมผล แต่ว่า ซันนี่รู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วย

เนฟฟีสกล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พรุ่งนี้มีแต่จะยากขึ้น”

เธอพูดถูก หลังจากพรุ่งนี้ผ่านไป มันก็จะมีสัตว์กินซากในเขาวงกตมากขึ้นเท่านั้น

"แล้วเราจะทำยังไงดี?"

เนฟฟีสเอียงคอ คิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็หันไปหาซันนี่

"สู้"

สู้เนี่ยนะ? สู้กับไอ้พวกสัตว์ประหลาดพวกนั้นเป็นโหลเนี่ยนะ? บ้ารึเปล่า?

ซันนี่พยายามซ่อนความคิดขณะที่พูด

“ผมเข้าใจว่าเธอมั่นใจในฝีมือดาบตัวเอง แต่เธอลืมไปแล้วเหรอว่าพวกมันมีมากกว่าเราหลายเท่า? ถ้าเราสู้เยอะขนาดนั้นคงจะไม่รอดแน่”

เนฟฟีสพยักหน้า

“เราเลี่ยงกลุ่มใหญ่ จัดการกลุ่มเล็ก”

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็กล่าวต่อ

“ถ้าหากว่ามันมีแค่ตัวหรือสองตัว พวกเรามีโอกาส”

ซันนี่อยากจะโต้ แต่เขาหาโอกาสดีๆ ไม่ได้ ในท้ายที่สุด เขาก็ยอมแพ้

“ก็ได้”

เนฟฟืสจ้องหน้าเขาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเธอก็ถามขึ้นมา

“นายได้ลองศึกษาซากของเจ้าตัวสัตว์กินซากที่นายฆ่ารึยัง?”

หมายความว่ายังไง?

ซันนี่แปลกใจเล็กน้อย เขาส่ายหัว

"ยัง"

ตอนนั้นเขายุ่งอยู่กับการเจ็บตัวและพยายามจะกลับไปที่จุดปลอดภัยก่อนทะเลจะกลับมา เขาจะเอาเวลาที่ไหนไปสำรวจซากของมันล่ะ

‘เดี๋ยวนะ เหมือนว่าจูเลียสเคยพูดถึงเรื่องแบบนี้…’

หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เนฟฟีสก็กล่าว

“พวกสัตว์กินซากพวกนี้มีจุดอ่อนอยู่สามจุด จุดแรกคือข้อต่อ อะไรที่ยืดหยุ่นได้จะไม่มีทางที่จะแข็งเกินไปได้ ดังนั้นแล้วชุดเกราะต่างๆ จึงมีช่องว่างตรงข้อต่อ ถ้าเราเล็งไปที่ข้อต่อพวกนั้น เราจะสามารถลดความคล่องตัวและความสามารถในการโจมตีของพวกมันได้”

โอ้… ใช่ ถ้าเราศึกษาซากของสัตว์อสูร เราก็จะเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของพวกมันได้มากขึ้น เรื่องนี้นั้นเป็นอะไรที่ปกติมากจนเขาต้องตำหนิตัวเองที่ไม่รู้ตัวให้ไวกว่านี้

ในขณะเดียวกัน เนฟฟีสก็กล่าวต่อ

“จุดที่สองก็เหมือนกันตรงส่วนลำตัวของพวกมันที่เชื่อมกับกระดอง ถ้าหากว่าเราโจมตีได้ถูกจุด เราจะสามารถสร้างความเสียหายให้แก่สัตว์กินซากได้อย่างมาก แต่ว่าถ้าหากว่าเราตัดกระดูกสันหลังมันไม่ได้ แผลมันจะไม่ร้ายแรงและมันจะสุ้ต่อได้อีกระยะหนึ่ง”

ซันนี่สังเกตขึ้นมาว่าความกระอักกระอ่วนของเนฟฟีสได้หายไปเมื่อเธอพูดเกี่ยวกับสิ่งที่เธอมั่นใจ อย่างเช่นวีรบุรุษโบราณ หรือเรื่องวิธีการฆ่าอะไร

'น่าสงสัย'

“จุดอ่อนสุดท้ายอยู่บนหลังของมัน อยู่ในระดับเดียวกันกับตาของพวกมัน มันจะมีรอยเว้าที่เป็นช่องว่างของเกราะพวกมัน ตรงนั้นคือส่วนที่แผ่นเกราะทั้งหลายเชื่อมกัน ไคตินตรงนั้นค่อนข้างบาง ถ้าหากว่าทะลวงผ่านมันได้ เราน่าจะทำลายสมองมันได้โดยตรง”

‘ดีที่ได้รู้ แต่ว่าจุดอ่อนนั่นมันสูงเกินไปสำหรับมนุษย์ เพราะสัตว์กินซากพวกนี้มันสูงกว่าสองเมตร!’

ราวกับอ่านความคิดเขาได้ เนฟฟีสเสริม

“จดอ่อนนั้นโจมตีได้ยาก และการอ้อมไปข้างหลังพวกมันก็แทบเป็นไปไม่ได้เพราะขนาด ความเร็วและระยะในการโจมตีของก้ามพวกมัน”

เธอมองมาที่เขาและพูดอย่างใจเย็น

“ถ้าเราเจอสัตว์กินซากที่อยู่ตัวเดียว ฉันจะเป็นเหยื่อล่อให้ ฉันจะทำให้มันหันหลังแล้วก็จะสกัดมันไว้ เผยจุดอ่อนที่สาม แล้วนายก็ฆ่ามันซะ”

ซันนี่กลืนน้ำลาย

“ถ้ามีสองตัวล่ะ?”

เช่นเคย เนฟฟีสนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนตอบ

"อย่าตาย"

***

ไม่นานก่อนที่พวกเขาจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยายามฆ่าสัตว์กินซากพวกนี้ ข้างหลังพวกมันนั้นมีทางเดินยาวที่ไม่มีทางแยกสำหรับพวกเขาที่จะอ้อมไป และข้างหน้านั้นก็เป็นพื้นที่เล็กๆ ที่มีเพียงทางเดียวที่แยกออกไปได้

ไม่ห่างไปจากเส้นทางนั้น สัตว์กินซากตัวใหญ่กำลังเดินไปตามทางของมันอย่างช้าๆ

ซันนี่อธิบายสถานการณ์อย่างรวดเร็วและรอการตอบกลับของเนฟฟีส เธอพยักหน้าโดยไม่รีรอมากนัก

“พวกเราจะสู้ตรงห้องข้างหน้า”

หลังจากนั้น เนฟฟีสก็ค่อยๆ พาแคสซี่ไปตรงกำแพงเขาวงกตและช่วยหาที่นั่งให้เธอ

“รออยู่นี่ก่อน เดี๋ยวพวกเราจะกลับมา”

หลังจากครุ่นคิดอีกหน่อย เธอก็เพิ่ม

"ไม่นานหรอก"

ขณะที่เนฟฟี่กำลังจะเดินออกไป แคสซี่ก็คว้ามือเธอไว้ สีหน้าดูซีดและเครียด

“เนฟ เธอ… ระวังตัวด้วยนะ เข้าใจไหม?”

เนฟฟิสกระพริบตาและเอียงคอเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ยิ้มออกมา “อื้ม แน่นอน”

จากนั้น เธอและซันนี่ก็มุ่งหน้าไปยังพื้นที่ว่าง

ในตอนที่พวกเขาไปถึง สัตว์กินซากก็ใกล้จะปรากฏตัวออกมาแล้ว เงาของซันนี่พุ่งกลับมาจากทางและกลับเข้ามาเชื่อมกับเขา ไม่จำเป็นที่จะอธิบายอะไรเพิ่มเติมให้เนฟฟิส เขาซ่อนตัวอยู่ในเงาอย่างรวดเร็ว เฝ้ารอโอกาสในการโจมตี

ในทางกลับกัน เนฟฟิสนั้นเดินไปที่ตรงใจกลางพื้นที่โล่งและยืนอยู่อย่างใจเย็น ท่าทางของเธอดูผ่อนคลาย ดาบยาวงามสง่าปรากฏขึ้นมาในมือของเธอ ชี้ไปที่พื้นอย่างไร้กังวล

เขาไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้อีก ซันนี่ซ้ำคำของเธออย่างเงียบงัน

'อย่าตาย'

จากนั้น สัตว์กินซากก็เดินเข้ามาในพื้นที่โล่ง เมื่อดวงตาเล็กจิ๋วของมันเห็นเนฟฟิส ดวงตาของมันก็ประกายไปด้วยความชั่วร้ายในทันใด มันไม่เสียเวลาเพียงนิดและวิ่งรุดเข้ามาเพื่อจะโจมตีในทันใด

ก้ามขนาดยักษ์ของมันพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วอันน่าสะพรึงกลัว ทะลวงผ่านอากาศตรงหน้า

เนฟฟิสก้าวหลบอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถอยไปข้างหลัง เอาตัวเองออกไปจากเส้นทางที่อสูรก้ามปูรุดเข้ามา ในขณะเดียวกัน ดาบของเธอก็วาดผ่านอากาศ และตัดลงไปที่ข้อต่อของสัตว์กินซาก

เลือดสีฟ้ากระจายเต็มพื้น

แน่นอนว่าบาดแผลเล็กๆ นี้ไม่ทำให้สัตว์กินซากช้าลงอย่างแน่นอน และด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ มันหมุนร่างและฟาดไปข้างๆ เนนฟฟิสที่พึ่งจะตั้งหลักได้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปัดป้องการโจมตีด้วยดาบ เธอสามารถปัดป้องแรงส่วนมากได้โดยการตั้งดาบให้ถูกองศา แต่ว่าแรงที่เหลืออยู่ก็มากพอที่จะทำให้เธอเสียสมดุลได้

ในจังหวะนั้นเอง ก้ามที่สองก็ฟาดลงมา แต่แทนที่จะรักษาสมดุลเอาไว้ เนฟฟิสใช้จังหวะนี้เพื่อตีลังกาถอยด้วยมือเดียว เว้นระยะห่างระหว่างสัตว์อสูรออกมา ก่อนที่เธอจะฟาดดาบลงไปอีกครั้ง

และการโจมตีถัดไปก็ตามมาแทบจะในทันที

แต่ซันนี่ก็ไม่สนรายละเอียดอีกต่อไป สิ่งที่เขาสนใจอย่างเดียวคือ ด้วยการหลบหลีกที่เสี่ยงมากๆ ของเธอ เนฟฟิสสามารถวนไปอีกฝั่งของที่โล่งนี้ได้ ทำให้สัตว์กินซากต้องหันหลังมาทางเงาที่เขาซ่อนตัวอยู่

'จังหวะนี้แหละ!'

เขากัดฟันและพุ่งไปข้างหน้า

ก่อนที่เนฟฟิสจะหลบเสร็จ…

ก่อนที่ก้ามของสัตว์กินซากจะบดขยี้เธอได้…

ก่อนที่ซันนี่จะมีเวลามากลัว..

เขาย่นระยะห่างระหว่างสัตว์อสูรและกระโดดเต็มแรง เขาวางตัวลงบนกระดองของมันและใช้ทั้งแรงและน้ำหนักทั้งหมดในการแทงมือออกไป

ดาบสีครามส่องประกายในมือก่อนที่มันจะถูกกลืนกินด้วยเงาในทันที ในชั่วอึดใจ ดาบครามนั้นก็แทงเข้าไปที่รอยเว้าของเกราะในทันที เสียงปริแตกดังขึ้นมาพร้อมกับไคตินที่แตกสลาย ทำให้ปลายดายทะลวงเข้าสู่ร่างของสัตว์กินซากได้

สัตว์อสูรตัวสั่นสะท้าน ก่อนจะร่วงลงไปกับพื้นอย่างรุนแรง

ซันนี่ถูกเหวี่ยงลงมาจากกระดอง และกลิ้งลงไปกับพื้นโคลน

‘มัน… ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ?’

จบแล้วเหรอ?

ราวกับเป็นคำตอบ เสียงเวทมนตร์ดังก้องในอากาศ

[คุณได้สังหารสัตว์อสูร สัตว์กินซาก]

[เงาของคุณแข็งแกร่งขึ้น]

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด