ตอนที่แล้วตอนที่ 115 – ตอนที่ 112 ก้าวหน้าระหว่างสู้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 117 – ตอนที่ 114 ร่วมประสานฆ่าศัตรูแข็งแกร่งได้ทันที

ตอนที่ 116 – ตอนที่ 113 ทักษะลวงปะทะทักษะหกรับรู้


“ก็ได้, งั้นเราออกไปสู้กันข้างนอก ที่นี่เล็กเกินไป เราไม่สามารถสู้เต็มกำลังได้” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไม่ได้เรียกอสูรต่อ แต่เก็บกระบี่ขนาดใหญ่ของนางและชวนเย่ว์หยางไปสู้กันสัก 300 ยก โชคไม่ดีเมื่อเย่ว์หยางเห็นสีหน้าของเย่ว์ซาน ทำให้เขาเปลี่ยนใจกระทันหัน

ทันทีที่เขาออกไป เขาไม่สามารถตรวจสอบให้แน่ใจว่า จะไม่มีการลอบทำอันตรายกับแม่สี่

ถ้าแม่สี่ไม่จากไป เขาก็จากไปไม่ได้เช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น มีความเป็นไปได้ว่า การต่อสู้กับองค์หญิงมือกระบี่และเสวี่ยทันหลางอาจจบลงด้วยการบาดเจ็บหนักทั้งสามคนก็ได้ เขาไม่แน่ใจว่า เขาอาจจะไม่ได้เปรียบลุงใหญ่เย่ว์ซานและลุงรองเย่ว์หลิ่งก็ได้ เย่ว์หยางตัดสินใจว่ารักษาชีวิตตนเองไว้เป็นเรื่องสำคัญกว่าการต่อสู้และเข่นฆ่า

แม้ว่าเย่ว์หยางอยากรู้อยากเห็นอสูรขององค์หญิงมือกระบี่ก็ตาม แต่เขาเปลี่ยนใจและถอยกลับทันที เขาเรียกโคเงาและนางพญากระหายเลือดกลับมา

เขาแอบโดดลงจากเวทีแล้วหนีหน้าตาเฉย

เสวี่ยทันหลางและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเป็นผู้ที่เขาเห็นว่ารับมือได้ยาก ดังนั้นไม่ยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาดีกว่า

สำหรับทักษะต่อสู้ใหม่ที่เขาเพิ่งทำความเข้าใจ เขาต้องกลับไปปรับแก้ทบทวน ในที่สุดเขาจะใช้มันในความฝันและให้เทพธิดาสุดสวยช่วยเขาปรับแก้ทักษะต่อสู้ซึ่งไม่น่ามีปัญหาอะไร มีแต่คนโง่ที่เอาแต่เปิดเผยความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมด เนื่องจากพวกเขาได้ทำการต่อสู้มากบ้าง น้อยบ้าง ก็ควรจะรู้ว่าเมื่อไหร่ควรหยุด ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่อาจอยู่ห่างจากแม่สี่มากเกินไป ในขณะที่เขาไม่อาจประมาทจนทำให้เด็กหญิงกับแม่สี่ตกอยู่ในอันตราย

แม้ว่าชีวิตของพวกนางยังไม่ตกอยู่ในอันตราย แต่หากพวกนางถูกวางยาพิษที่ไม่มีทางรักษาได้เหมือนที่อาสี่เย่ว์หลิงประสบมา แล้วเขาจะทำอย่างไร?

มาถึงจุดนี้แล้ว เขาไม่อาจปล่อยให้พวกนางอยู่ตามลำพังได้ สำหรับเคล็ดวิทยายุทธเขาสามารถหาโอกาสฝึกต่อได้ในภายหลัง

“อย่าหนีนะ, เจ้าเด็กน้อย” ทั้งองค์หญิงมือกระบี่และเสวี่ยทันหลางงุนงงว่า ทำไมเย่ว์หยางถึงหนี ทั้งที่เริ่มการต่อสู้ไปแล้ว? ถ้าเขาไม่สู้ตรงนี้ เขาก็สามารถออกไปสู้ข้างนอกก็ได้

“แม่สี่! ข้าเคารพบรรพบุรุษเสร็จแล้ว กลับบ้านกันเถอะ” ทั้งเสวี่ยทันหลางและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนรีบร้อนไล่ตามมา อย่างไรก็ตามเย่ว์หยางโน้มคอลงไปอุ้มเด็กหญิง อีกฝ่ายที่เตรียมตัวจะโจมตี ไม่สามารถทำอะไรต่อไปได้ เพราะเกรงว่าจะพลาดพลั้งทำร้ายเด็กหญิง

“ข้าจะมองหาวันและสถานที่ๆ พวกเจ้ากับข้าสู้กันได้โดยไม่มีข้อจำกัด.. ข้ายังสามารถเรียกพายุหิมะที่แข็งแกร่งกว่า 10 เท่า 20 เท่า หรือแม้แต่ 30 เท่า ครั้งต่อไปที่เราพบกัน เราต้องตัดสินกันไปเลยว่าใครจะได้ชัยชนะไป” คุณชายน้ำแข็งเสวี่ยทันหลางไม่พอใจ เขารู้สึกว่าเขาเป็นบุรุษที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มคนที่มีพรสวรรค์ แม้ว่าเขาจะปฏิเสธไม่ได้ว่า คนหน้าด้านอย่างเย่ว์หยางยังเป็นผู้โดดเด่นก็ตาม แต่ในใจของเขา ก็ยังหวังจะพิสูจน์ว่าเขาโดดเด่นกว่านิดหน่อยก็ยังดี

“เมื่อฤดูร้อนมาถึง ข้าจะขอให้เจ้าจัดงานเลี้ยงน้ำแข็งภาคฤดูร้อน” ขณะที่เย่ว์หยางพูด เสวี่ยทันหลางก็หันหน้าเดินจากไปทันที

“คิกคิก” เย่ว์ปิงปิดปากหัวเราะคิกคัก

“นี่! เจ้ายังไม่ได้รับอนุญาตให้จากไปทั้งที่การต่อสู้ยังไม่จบ เราต้องมาสู้กันต่อ” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเกลียดคนพาลประเภทนี้ นางอยากจะใช้กระบี่ยักษ์ของนางทุบศีรษะเจ้าเด็กบ้านี่ให้แหลกเป็นเสี่ยง

ความจริงเขาวิ่งหนีแทบจะทันทีที่การต่อสู้เริ่ม เขาไม่มีความภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีลูกผู้ชายเลยหรือนี่?

เย่ว์หยางรู้สึกรังเกียจมาก คนเราอาจมีเกียรติได้ก็จริง แต่มันเอามากินไม่ได้ เมื่อลูกผู้ชายพยายามไล่ตามจีบสาวงาม เขาจะตระหนักในเกียรติอย่างแรงกล้า แต่ในการต่อสู้ธรรมดา ทำไมจึงต้องรู้สึกถึงเกียรติรุนแรงขนาดนั้นด้วยเล่า?

พออุ้มเด็กหญิงอยู่ เย่ว์หยางจงใจส่ายศีรษะถอนหายใจกล่าวว่า “งั้นข้าแพ้แล้ว ข้าเป็นแค่สวะชิ้นหนึ่ง หากมีใครบางคนรังแกข้าเมื่อไหร่ก็ตาม ข้าก็แค่ปล่อยไป แต่ท่านเป็นองค์หญิง ท่านควรจะถอดชุดและไปเล่นน้ำในทะเลสาบไม่ใช่หรือ? แทนที่จะมัวมาหาเรื่องรังแกสวะชิ้นหนึ่ง โปรดเมตตาและเหลือทางออกให้เราบ้าง เราโดนรังแกจนเกือบจะใช้ชีวิตปกติต่อไม่ได้แล้ว แม่สี่! ไปกันเถอะ”

หญิงงามส่ายศีรษะและกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ยังต้องพักที่นี่ต่ออีก 2 วัน ข้าอยากจะพบกับแม่นางเฟิงและสอบถามอาการของอาสี่ของเจ้า”

นางรับเด็กหญิงมาจากเย่ว์หยางและลูบศีรษะเย่ว์หยางเบาๆ “ไม่ทันได้รู้ตัว ซานเอ๋อของแม่ เจ้าโตมากแล้ว, ซานเอ๋อเก่งมาก แม่สี่มีความสุขจริงๆ เราค่อยคุยกันทีหลังนะ ตอนนี้เจ้าควรไปกับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนก่อน ในฐานะหัวหน้าครอบครัว เจ้าไม่ควรละเลยอาคันตุกะอย่างองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน”

เย่ว์หยางสวมบทลูกกตัญญูที่น่ารัก เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง “แน่นอน, แม่สี่เดินช้าๆ นะ ข้าจะต้อนรับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนตามสมควรเอง ข้ามั่นใจว่านางคงได้สำลักความสุขเป็นแน่”

โดยนิสัยแล้ว เขาไม่กล้าพูดประโยคสองแง่สองง่าม

องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเลิกคิ้วและสงสัยว่าทักษะ 6 รับรู้ของนางคงประสิทธิภาพลดลงนิดหน่อย ทำไมนางถึงไม่ได้ยินคำพูดที่เย่ว์หยางพูด?

เป็นเพราะความสับสนหรือเป็นเพราะนางถูกเย่ว์หยางหลอกในเรื่องไร้สาระ?

แปลก…

นางไม่รู้ว่าในโลกนี้, ยังมีบุรุษที่หน้าด้านใช้ทักษะโกง เรียกว่าทักษะลวง ทักษะหกรับรู้ของนางไม่แข็งแกร่งมาก นางคาดว่านางคงถูกหลอกแน่ ได้เผชิญหน้ากับทักษะลวง ระดับ 2 ทำให้นางสับสน เพราะคำ (2 แง่) ที่เย่ว์หยางใช้เป็นคำปกติแน่นอน

ถ้านางยังฟังต่อไปโดยไม่มีความสงสัยใดๆ อย่างนั้นมันอาจกลายเป็นหายนะได้ หากว่ามันเกิดขึ้นจริง นางจะถูกเขาหลอกปั่นหัวได้อย่างไม่มีที่สุด

“คำพูดของเจ้าไม่ถูกต้อง มันเหมือนกับว่าต้องการเอาเปรียบข้า เจ้าคิดบางอย่างที่เลวร้ายอยู่หรือ?” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนมีความรู้สึกรับรู้ที่ดีและเย่ว์หยางพึมพำว่าเกือบไปแล้ว โชคดีที่ทักษะลวงได้เพิ่มระดับไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้นางทำได้เพียงรู้สึกว่าเหมือนโกหกได้นิดหน่อย แต่ไม่สามารถยืนยันได้เหมือนที่ผ่านมา

ฮ่า ฮ่า เวลาหลอกล่อนาง มาถึงแล้ว

นางเป็นเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งไม่ใช่เหรอ?

ถ้านางได้รับการฝึกระเบียบวินัยมา เย่ว์หยางเชื่อว่ามีโอกาสดีที่จะทำให้นางกลายเป็นนางทาสเชื่องเชื่อได้…

เย่ว์หยางรู้สึกคันในหัวใจ แต่แสร้งทำท่าสง่างาม “เถอะน่า..ความคิดของข้าที่มีต่อองค์หญิงไม่เห็นมีอะไรต้องสงสัย และความชื่นชมที่ข้ามีต่อท่านไม่มีที่สิ้นสุดดุจสายน้ำไหลริน ข้าว่าจะเตรียมเชือดไก่เผากระดาษเงินกระดาษทองสาบานเป็นพี่น้องต่างเพศกับเจ้าหญิงด้วยซ้ำ ดังนั้น ถ้าข้าเคยทำไม่สุภาพไว้จริง ขอให้ฟ้าผ่าเถ้าแก่ร้านหล้าเมืองไป๋ฉือเลย”

“แล้วเถ้าแก่ร้านเหล้าเมืองไป๋ฉือเกี่ยวข้องอะไรด้วย?” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนยิ่งสับสนมากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของเย่ว์หยาง ทำไมทักษะหกรับรู้ของนางจึงล้มเหลว?”

“เหลวไหล..เกี่ยวข้องมากๆ เลย” เย่ว์หยางพูดอย่างมีเลศนัย “ข้าไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ใครๆ แต่เนื่องจากเป็นท่าน งั้นก็ดีแล้ว เพราะท่านเป็นพี่น้องร่วมสาบานของข้า ไม่สิ เดี๋ยวก่อน ท่านเป็นองค์หญิงของข้า ท่านไม่รู้เรื่องเถ้าแก่ร้านเหล้าทิศตะวันออกเมืองไป๋ฉือเลยเหรอ? เขาเป็นพ่อค้าที่หยาบช้า ไม่มีจิตสำนึกเมตตาปราณีเมื่อเทียบกับพ่อค้าฝ้ายเนื้อดีในโรงงานนรก? คนที่เป็นเถ้าแก่มักจะผสมน้ำในเหล้าเล็กน้อย แต่เขาไปไกลยิ่งกว่า เขาเอาเหล้าผสมในน้ำเปล่าแล้วเอามาขายเหมือนกับพวกซานลู่กรุ๊ป เอานมผงผสมเมลามีนมาขาย ถ้าสายฟ้าไม่ผ่าเขา ยังจะมีความยุติธรรมในโลกอีกหรือ?”

(ซานลู่กรุ๊ปปรากฏเป็นข่าวว่าผลิตนมผงสำหรับเลี้ยงเด็กโดยผสมเมลามีนเพื่อทำกำไรจนเป็นเหตุให้เด็กทารกเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากเป็นข่าวดังในจีนเมื่อ 8 ปีที่แล้ว)

“เมลามีนนี่คืออสูรชนิดใดเหรอ? แล้วพวกซานลู่ขายนมอะไร?” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนยิ่งสับสนมากกว่าแต่ก่อน กลายเป็นว่านางไม่เข้าใจแม้แต่เรื่องเดียว

“ท่านไม่รู้เหรอว่าซานลู่คืออะไร? มันคือสัตว์อสูรในตำนานที่ครอบครองความสามารถเปลี่ยนวัตถุให้กลายเป็นหิน โอว..สวรรค์เจ้าไม่ได้ยินคำขวัญนี้เหรอ”ดื่มซานลู่ จะกลายเป็นหินยกรุ่น“?” เย่ว์หยางแสดงอาการตกใจเมื่อเขาถามพร้อมกับตีสีหน้าตะลึงงันเหมือนคนโง่เง่า ลักษณะท่าทางของเย่ว์หยางกวนจนน่าซัดสักหมัด

“ข้าไม่เคยได้ยินมาเลย” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนปรารถนแรงกล้าที่จะซัดหนักๆ ที่ใบหน้าที่กวนโมโหของเย่ว์หยาง

“สหาย, ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สนใจเรื่องราวข้างนอก ท่านหมกมุ่นอยู่กับความเป็นหญิง แต่ท่านไม่รู้จักกระทั่งซานลู่ ข้าจะบอกอะไรให้ ซานลู่ก็เหมือนหญิงผู้ชำนาญการ ทั้งสองที่กล่าวมานั้นมี”นม” เย่ว์หยางกล่าวจริงจัง

“ข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังพยายามลวงข้า เจ้าจงใจลวงข้า” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนรู้สึกว่า ยิ่งนางฟังเรื่องไร้สาระมาก นางก็ยิ่งเวียนหัว นางสามารถรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็บอกไม่ได้ว่าอะไรผิด

“ข้าจะกล้าหลอกลวงท่านได้อย่างไร ท่านเป็นเจ้าหญิง? ข้าเป็นเพียงสามัญชน เป็นแค่เศษสวะ แล้วจะกล้าหลอกลวงท่านได้อย่างไร องค์หญิง? ตามธรรมดาแล้ว ข้าจะไม่กล้าทำอะไรมาก ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเป็นคนซื่อสัตย์และเป็นสุภาพบุรุษ ตลอดทั้งชีวิตข้าปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ พูดแแต่คำสัตย์ กระทำแต่เรื่องสุจริตและยังฝึกฝนอบรมให้ตัวเองเป็นคนดี ดังนั้นข้าจะโกหกได้อย่างไร? นี่ข้าบอกท่านอย่างรับผิดชอบแล้ว ข้าไม่เคยโกหกมาก่อนตลอดชีวิตของข้า” ขณะที่เย่ว์หยางพูดประโยคนี้ แม้แต่ตัวของเขาเองยังไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองพูดไป

“ทำไมเจ้าพูดว่าเจ้าเป็นนักบุญที่จะเป็นลมเมื่อมองเห็นเลือดเล่า?” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนถามอย่างขุ่นเคือง

“รอยเลือดทำให้ข้ารู้สึกย่ำแย่ มันคือจุดอ่อนในชีวิตของข้า ข้ามีนิสัยขี้อาย ไม่ใช่ ข้าใจอ่อนมาตั้งแต่เกิดแล้ว” เย่ว์หยางผู้สวมบทใช้เลือดเนื้อของคนอื่นตั้งแต่หัวจรดเท้าในตอนนี้ยิ้มกว้าง ราวกับว่ากำลังเพลิดเพลินอยู่ใต้แดดอบอุ่นในฤดูใบ้ไม้ผลิ

“ข้าเวียนหัว เจ้าเป็นคนหน้าด้านที่สุดที่ข้าเคยพบมาในชีวิต” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนกำลังปวดหัว

“ครั้งหนึ่ง ท่านพบว่าท่านเข้าใจผิดข้ามาตลอดเวลานี้ ท่านจะรู้สึกผิดอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ข้ายกโทษให้ท่าน อีกอย่าง ความอดทนเป็นคุณธรรมประจำตัวของข้าอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังเป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของข้า” ไม่กี่วันที่ผ่านมา เขายังฆ่าคนที่ขวางทางเข้าปราสาทตระกูลเย่ว์ที่มาล้างแค้นอยู่เลย วันนี้เขาเพิ่งซัดเย่ว์เทียน, เย่ว์เยี่ยนและแม้แต่เด็ก 7 ขวบเย่ว์เฟิงจนสลบบนเวทีล้างแค้นให้ตนเอง นี่เป็นก็ยังเป็นเรื่องที่เขาเอาไว้ประเมินตนเอง

“ลืมซะเถอะ ตอนนี้ไม่ต้องพูดเรื่องของเจ้าแล้ว ข้าคิดว่าถ้าคนที่หน้าด้านที่สุดในโลกมาพบกับเจ้า บางทีเขาคงรู้สึกจิตตกจนฆ่าตัวตายก็ได้ แต่ข้ายังทำความเข้าใจสิ่งที่เจ้าพูดมาก่อนหน้านั้นไม่ได้เท่านั้น…” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนรู้สึกสับสนบ้าง จึงตัดสินใจไม่คุยกับเจ้าเด็กบ้านี่ต่อไป มันมีแต่จะทำให้นางอารมณ์เสียยิ่งขึ้น จนฆ่าตัวนางเองเพราะความปวดหัวได้

“มาตรวจดูด้วยกันก็ได้ แล้วท่านจะเข้าใจทุกอย่างโดยทั่วถึง ท่านตั้งใจจะเริ่มตรงไหนล่ะ?” เย่ว์หยางพูดอย่างจริงใจ

“เจ้า!” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเข้าใจว่าเขาแทะเล็ม จึงโกรธจัด นางคว้าคอเสื้อของเขาและต่อว่า “เจ้ากล้าเหนี่ยวรั้งและเกาะแกะข้าหรือ?”

“ไม่ยุติธรรมเลย ข้าคิดว่า ต่อให้เป็นคนตาบอดก็รู้ได้ว่าใครหน่วงเหนี่ยว ใครเกาะแกะใครกันแน่” เย่ว์หยางโดนคว้าคอเสื้อ ตะโกนอย่างคับข้องใจ และดูเหมือนกับว่าเขาอยากจะโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย ทันทีที่เขาเห็นองค์หญิงมือกระบี่จ้องเขา เขาฉีกยิ้ม “ข้าต้องการเกาะแกะท่าน แต่บอกได้ว่าเป็นแค่ความตั้งใจแต่ไม่ได้ทำมัน, องค์หญิง, ท่านไม่มีหลักฐานอะไรนะ แล้วท่านจะยังพยายามแปะป้ายว่าข้าเป็นนักเกาะแกะลวนลามท่าน ประชาชนผู้นี้รู้สึกไม่พอใจนะ ทำไมท่านไม่รอจนกว่าข้าเกาะแกะท่าน ทันทีที่มันกลายเป็นจริง อย่างนั้นก็ยังไม่สายเกินไปที่องค์หญิงจะกริ้ว ท่านไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ข้าพูดมีเหตุผลอยู่บ้างหรือ?”

“หัวของเจ้า! องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนกริ้วแล้ว แต่ในที่สุดนางกลับหัวเราะแทน เจ้าเด็กบ้านี่อาจซื่อสัตย์ในบางครั้งก็ได้ เขาก็พูดเรื่องจริงอยู่บ้าง

“ขอบคุณ ในความเมตตาขององค์หญิง ประชาชนผู้นี้ขอตัวจากไปก่อน” เย่ว์หยางพยายามหลบลี้หนีออกมา

“เดี๋ยวก่อน, ก่อนหน้านี้เจ้าพูดว่า ข้าควรจะถอดชุดและไปอาบน้ำที่ทะเลสาบ เจ้าจะอธิบายเรื่องนั้นอย่างไร? ถ้าเจ้าไม่สามารถทำได้เช่นนั้น อย่างนั้นข้าจะถือว่าเจ้าใส่ร้าย” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนมีความทรงจำดี นางยังคงจำได้ชัดถึงเรื่องไร้สาระที่เย่ว์หยางได้พล่ามไว้ก่อนหน้านี้

“ท่านมีงานอดิเรกอย่างนั้นจริงๆ เหรอ?” เย่ว์หยางกระพริบตาโตและถามอย่างสงสัย

“ข้าไม่มีงานอดิเรกเพี้ยนๆ แบบนั้น” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนแจกแจง ใครกันจะเบื่อถึงขนาดวิ่งไปอาบน้ำริมทะเลสาบ?

“แต่มันถูกเขียนไว้ในนิยายชัดแล้วนี่ว่าเจ้าหญิงจะแข่งขันและพยายามเอาชนะกันด้วยการวิ่งไปอาบน้ำที่ริมทะเลสาบ จากนั้นผู้ที่หยิบเสื้อผ้าของเจ้าหญิงได้ก็จะได้รับความรักจากพวกนาง ตอนแรกข้าก็ตั้งใจไปและเตรียมพร้อมซุ่มจู่โจมอยู่ริมทะเลสาบ เพื่อดูว่ายังมีเจ้าหญิงองค์ไหนไปอาบนั้นที่นั่น…” เย่ว์หยางพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวังและบอกกลายๆ ว่าผิดหวัง

“หน้าโง่! เรื่องเล่าเช่นนั้น ไม่มีจริง ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่อ่านนิยายที่เขียนแบบไร้สาระอย่างนั้น” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนต่อยเข้าที่หน้าอกเย่ว์หยางอย่างแรง

“ข้าก็อยากให้เรื่องนั้นเป็นจริงนะ…” เย่ว์หยางทำหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้

“เจ้าแก้ไขไม่ได้แล้วแล้ว” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนพูดอะไรไม่ถูก

จากนั้นจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ส่งคนมาตามให้เย่ว์หยางมาพบพระองค์

ใครจะคาดกันว่าเย่ว์หยางปฏิเสธคำเชิญและหาข้ออ้างทำให้คนอื่นเหงื่อตกและหงุดหงิด

เย่ว์หยางคลำหน้าอกและทำท่าเหมือนจะล้มจากอาการบาดเจ็บบอกราชองครักษ์ว่า “ข้ารู้สึกเป็นเกียรติที่ฮ่องเต้ทรงเรียกหาสวะที่ไร้ประโยชน์อย่างข้าไปพูดคุยด้วย แต่เมื่อไม่กี่วันมานี้ข้าติดหวัดและยังไม่ฟื้นตัวดี ยิ่งไปกว่านั้น ข้าใช้พลังเกินพิกัดในการแข่งขันครั้งนี้ ส่งผลให้ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ดูข้าสิ เลือดเปรอะเชียว แสดงว่าข้ามีเวลาในชีวิตเหลืออีกไม่มากแล้ว ข้าต้องรีบกลับเดี๋ยวนี้ ต้องรีบไปเขียนพินัยกรรมและจ่ายค่างวดให้สมาคมเป็นครั้งสุดท้าย โอว..ผิดแล้ว ค่าธรรมเนียมชมรม เอ๊ย..ลืมไป ข้าไม่ได้เป็นสมาชิกชมรมอะไรเลยนี่.. ข้าจะไปฆ่าตัวตาย..ใครอย่าได้พยายามห้ามข้าเชียวนะ”

ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค เย่ว์หยางก็แว่บหายไปแล้ว

องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนตะลึงเมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ ได้แต่บ่นพึมพำตามอยู่พักหนึ่ง “สมองของเจ้าเด็กบ้านี่คงเสียหายบางส่วนแน่? ทำไมเขาถึงได้ดื้อนักนะ?”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” หลังจากจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ได้ยินองครักษ์รายงาน พระองค์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“เจ้าเด็กนี่ ร้ายจริงๆ ดูเหมือนว่าต้องรีบตามจับเขามาลงโทษบ้างเสียแล้ว ถ้าไม่ถูกลงโทษหนักๆ เสียบ้าง ข้าคาดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนนิสัยซุกซนของเขาได้” ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ก็พลอยหัวเราะด้วย

“เด็กหนุ่มทุกวันนี้ กล้าจริงๆ นึกถึงตอนที่ข้ายังเด็ก เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้ใหญ่เรียกข้าไปเตือนสติ บางครั้งข้าก็ไม่อยากไป ข้าต้องการบอกญาติผู้ใหญ่ของข้าว่า ข้าได้รับการสอนสั่งประจำวันมาพอแล้ว อย่างไรก็ตาม ข้าไม่กล้าเสี่ยงพูดออกไป พี่ไห่, ท่านตั้งใจจะทำอย่างไร? ปล่อยให้เขาห้าวสัก 2 ปีหรือว่าจะอบรมวินัยกันสักหน่อย? ทำไมไม่หาอะไรให้เขาทำล่ะ? เกรงว่าเขาจะคิดว่าพวกเราเป็นตาแก่หงำเหงือกที่กลายเป็นคนตาบอด มิฉะนั้นเราสามารถส่งเขาไปที่นั่นเพื่อหาประสบการณ์ ข้าเชื่อว่าเจ้าเด็กนี่จะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน” จุนอู๋โหย่วหัวเราะ

แม้ว่าสิ่งที่จุนอู๋โหย่วพูดจะดูเหมือนปกติ แต่เป็นเหมือนกับฟ้าผ่ายามกลางวันแสกๆ ทำให้ให้เฟิงเสี่ยวหยุน, เสวี่ยเวิ่นเต้า, หยานเชี่ยนจง, เย่ว์ซาน, เย่ว์หลิ่งและคนอื่นๆที่นั่งอยู่ตกใจกันหมด

พวกเขาทุกคนตกใจจนลุกขึ้นยืนทันที

“อะไรนะ? ฝ่าบาท จะส่งเด็กคนหนึ่งไปฝึกตัวในที่แห่งนั้น มันเร็วไปหน่อยไม่ใช่หรือ?” หยานเชี่ยนจงรีบลุกขึ้นยืนแสดงความวิตกกังวลแทน

“แน่นอน ที่นั่นอันตรายมากเกินไป” เสวี่ยเวิ่นเต้าพยักหน้าเห็นด้วย

“ฝ่าบาท, ทำไมเราไม่ปล่อยให้เขาฝึกในหอทงเทียนชั้นสามสักระยะ ให้เขาได้สั่งสมประสบการณ์ประสบการณ์เสียก่อนเล่า? ที่นั่นไม่สามารถคาดเดาอะไรได้มากเกินไป” เฟิงเสี่ยวหยุนก็มีข้อสงสัยบางอย่างเช่นกัน

“…” เย่ว์ซานและเย่ว์หลิ่งมองกันเอง แต่ไม่พูดอะไร ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนทั้งคู่ตอนนี้หมดสภาพไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาไม่มีโอกาสไปได้

“การส่งเขาไปที่นั่นเร็วไปหน่อยจริงๆ แต่เราไปเพียงชั่วคราว แค่เลาะๆ ชายเมืองของที่นั้น พวกเขาอาจไม่สามารถเข้าไปในวงในภายในช่วงสองปีมานี้ ดังนั้นก็คงไม่เป็นไร พวกท่านไม่ควรดูถูกเด็กๆ ในทุกวันนี้, โพ่จุน, ชิชา, ทันหลางและเจ้าเด็กบ้านี่ พวกเขาทั้งหมดเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่ข้าคิดว่าอยู่ในระดับสูง หลังจากพวกเขาบรรลุเข้าดินแดนนั้นและพบสิ่งที่ต้องการ ข้าจะแนะนำพวกเขาให้รู้จักผู้อาวุโสท่านนั้น ไม่มีความจำเป็นที่พวกเจ้าทุกคนต้องกังวล ข้ามั่นใจว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จเหนือพวกท่านแน่นอน พวกเขาเป็นคนของอาณาจักรต้าเซี่ย และยังเป็นอนาคตของสี่ตระกูลใหญ่อีกด้วย ปล่อยพวกเขาไปก่อน ท้องฟ้ากว้างใหญ่ให้นกไว้บิน ทะเลกว้างใหญ่ไว้ให้ปลาแหวกว่าย อาจเป็นไปได้ว่าพวกท่านทุกคนต้องการพึ่งพิงพวกเขาและจนทำให้พวกเขาเอาชนะความยากลำบากในชีวิตมิใช่หรือ? ความแข็งแกร่งก็มาจากการฝึกฝนที่ดี ยิ่งยากลำบากมาก พวกเขาก็จะยิ่งแกร่งมาก” จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้พูดปลอบโยนพวกเขาและให้คำมั่นสัญญา “โปรดมั่นใจได้ ทางราชสำนักแห่งอาณาจักรต้าเซี่ย จะไม่ตระหนี่ถี่เหนียวแน่ๆ , แผนที่, บันทึก, สมบัติ ฯลฯ จะถูกนำออกมาให้พวกเขาได้ใช้ เจ้าไม่คิดว่าข้าไม่ปรารถนาให้พวกเขาเป็นอัจฉริยะหรอกหรือ? หรือว่าข้าจะไม่ห่วงความปลอดภัยของพวกเขา? ตราบใดที่พวกท่านยินส่งพวกเขาไป ข้าสามารถสนับสนุนให้ทุกอย่างที่จำเป็นได้”

“เนื่องจากฝ่าบาทยอมรับคำขอเช่นนั้นของพวกเรา เรื่องของพระองค์ เราพอใจแน่นอน” หยานเชี่ยนจง, เสวี่ยเวิ่นเต้าและเฟิงเสี่ยวหยุนโค้งคารวะจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้สำหรับความโปรดปรานของพระองค์

“ข้าจะให้เวลาเจ้าเตรียมตัว 3 เดือน เย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนก็ควรไปด้วย แม้ว่าอสูรของพวกเขาจะตายไปแล้ว แต่พวกเขาสามารถทำสัญญากับอสูรอื่นๆ ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมีอสูรผู้พิทักษ์ของพวกเขา อสูรพิทักษ์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเสมอ ดังนั้นลืมเรื่องอสูรอื่นๆ ไปซะ นอกจากนี้ ความแข็งแกร่งของพวกเขายังจะก้าวหน้าได้ สำหรับความสูญเสียใหญ่ตอนนี้ ทางราชสำนักจะมอบอสูรชั้นทองแดงให้เขาเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง แต่นับจากวันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจะต้องสามัคคีกันป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมจนมีอัจฉริยะต้องตายอีก” จุนอู๋ฮ่องเต้พระราชทานประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ให้เย่ว์ซานและเย่ว์หลิ่ง ในขณะเดียวกันก็ทรงเตือนพวกเขาไม่ให้ลอบคิดร้ายใดๆ ต่อเย่ว์หยาง พวกเขาต้องไม่ซ้ำรอยโศกนาฏกรรมแบบเย่ว์ชิวอีก ถ้าไม่อย่างนั้น พระองค์จะเริ่มฆ่าคน

“พวกข้าพระองค์ ขอขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา” เย่ว์ซานและเย่ว์หลิ่งรับคำแต่เพียงผิวเผิน แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรในใจกันแน่

พอจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ กลุ่มผู้คนก็ถวายบังคมลากลับไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากให้ทุกคนออกไปหมดแล้ว จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้สนทนากับผู้เฒ่าเย่ว์ไห่อีกครั้ง

“พี่ไห่! ข้าเห็นด้วยนะ ดูเหมือนว่าเขาไม่ต้องการจะพบข้า ท่านในฐานะที่เป็นปู่ควรไปคุยกับเจ้าเด็กบ้านั่นสักหน่อย ข้ามีความรู้สึกเหมือนว่าเขาจะมีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้ แต่ความรู้เรื่องสัตว์อสูรน่าจะมีแค่เพียงผิวเผิน เอาอย่างนี้เป็นไร ในช่วง 3 เดือนก่อนเข้าโรงเรียน ให้เขาได้ศึกษาความรู้พื้นฐานก่อน? ท่านจะว่ายังไง?” แง่มุมมองของจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้แหลมคมเหลือเกิน พระองค์อ่านคนได้อย่างถูกต้อง คำพูดที่พระองค์ตรัสออกมามุ่งเน้นต่อความจริงที่ว่าเย่ว์หยางไม่มีประสบการณ์ในการแต่งตัวที่เหมาะสม ขณะที่เขาก็ไม่ให้ความสำคัญต่อตระกูลของเขา เจ้าเด็กบ้านี่เอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้าน ไม่เคยได้รับการอบรมพื้นฐานที่ดี หรือได้รับการศึกษาที่เหมาะสม อาศัยแต่ความแข็งแรงบ้าบิ่น ก็ไม่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับการเติบโตของเขา

“ข้าคิดว่าจะให้ของๆ เย่ว์ชิวแก่เขา หวังว่ามันจะเป็นประโยชน์กับเขา เด็กคนนี้มีความอดทนอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรก็ตาม เขาก็ยังอายุน้อยและคงยับยั้งชั่งใจได้ไม่นาน การสั่งสมชื่อเสียงเร็วเกินไป ไม่ใช่จะเป็นเรื่องดีมาก ถ้าเขาใช้เวลาสักสองปีเข้าสู่ขอบเขตระดับ 6 หรือเป็นไปได้ก็ระดับ 7 มันก็ยังไม่สายเกินไปสำหรับเขาที่จะกลายเป็นมีชื่อเสียง ตอนนี้เขามีชื่อเสียงเร็วเกินไป ข้าเกรงว่าจะไปกระตุ้นความอิจฉาริษยาของบางคน” ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ถอนหายใจเบาๆ

“คิดตอนนี้ไป ก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าเด็กนี่ฉลาดกว่าบิดาของเขาแล้วยังเจ้าเล่ห์มาก เขาจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้ โอว…จริงสิ ถ้าท่านต้องการให้ข้ามอบสิ่งนั้นให้เขา แน่นอนก็ต้องมีเงื่อนไขกันหน่อย ท่านต้องปล่อยให้เขาจัดการงานให้ข้า เจ้าสิ่งนั้นคือสิ่งที่ข้าจัดการอย่างระมัดระวังเพื่อดึงคืนมาจากเฒ่าผู้นั้น ข้าไม่อาจให้เจ้าเด็กนั่นฟรีๆ ได้” จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ขึ้นเสียงสูงและหัวเราะทันทีขณะที่พระองค์เห็นองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนกำลังเดินมา “เชี่ยนเชี่ยน เป็นยังไงบ้าง? เจ้าเด็กนั่น คุยอะไรกับเจ้า?”

“เจ้าเด็กแสบนั่นลวงข้า, แต่ข้าจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ทักษะหกรับรู้ไม่มีผลต่อเขา” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนตอบอย่างเศร้าซึม

“อ๋า..มันเป็นไปได้ด้วยหรือ?” จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้และผู้เฒ่าเย่ว์ไห่แทบไม่เชื่อสิ่งที่พวกท่านได้ยิน

************************

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด