ตอนที่แล้ววันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0106
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปวันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0108

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0107


บทที่ 34 สหายจากวันวาน (2)

* * *

เมื่อลองมานึกดูตอนนี้ จอห์นสันค่อนข้างเป็นชื่อที่ตลกสำหรับสุนัข แต่เมื่อก่อนฉันกลับไม่เคยรู้สึก

ทำไมกันนะ? หรือเพราะตอนนั้นสติสตังยังไม่สมบูรณ์?

โลกที่ไม่เหลือใครเลยนอกจากตัวเอง ฉันคงเครียดและหดหู่จนไม่สนใจการตั้งชื่อสักเท่าไร

ชื่อของสิ่งต่างๆ จึงเริ่มเลือนหาย

ด้วยความสัตย์จริง ฉันจำชื่อของตัวเองได้ก็เพราะถูกคนอื่นเรียก

ชื่อคือสิ่งที่น่ากลัว หากไม่เคยถูกใครเรียก ชื่อก็จะไร้ความหมายลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหลงลืมไป

เมื่อถึงตอนนั้นจะเกิดปัญหาใหญ่กับอัตตา

แต่นั่นก็แค่เรื่องในอดีต

สำหรับเหตุผลที่ฉันกำลังจมอยู่กับความทรงจำในอดีตที่ยากจะนึกถึง

“แฮ่กแฮ่กแฮ่ก—!”

เพราะไม่ว่าจะมองยังไง หมาผีโปร่งแสงที่กำลังมองมาทางฉันพลางกระดิกหาง คือตัวเดียวกับที่เคยอยู่ในความทรงจำ

ฉันเอาแต่ปิดปากเงียบ

ท่าทีดังกล่าวทำให้ตัวเอกในความทรงจำเก่าของฉัน ชะงักไปเล็กน้อย

อีกฝ่ายเอาแต่ยืนนิ่งพร้อมกับหายใจเสียงดัง

ทว่า แค่มองเข้าไปในตาก็บอกได้ทันที

เขาจำฉันได้

เป็นหมาที่ค่อนข้างเงียบหากเทียบกับหมาทั่วไป นิสัยติดคนคล้ายกับโกลเดนรีทรีเวอร์ แม้รูปลักษณ์จะคล้ายกับหมาป่าของโลกมากก็ตาม

หน้าตาเหมือนกันยังกับแกะ

เดี๋ยวนะ

“เท่าที่ฉันจำได้ แกไม่ได้เด็กขนาดนี้”

อีกฝ่ายดูเด็กกว่าสมัยที่เราเคยใช้ชีวิตร่วมกัน

จากความทรงจำที่เค้นออกมาได้ยากลำบาก จอห์นสันก่อนจะตายเป็นหมาตัวใหญ่ สูงประมาณต้นขาของฉันในท่ายืน

กลายเป็นผีแล้วเด็กลง?

ขณะครุ่นคิด จอห์นสันหันหลังให้ฉันและชะโงกหน้ากลับมาเล็กน้อย

“โฮ่ง!”

มันเห่าหนึ่งครั้งและเริ่มวิ่งหนีไป

ฉันเคยเลี้ยงเขาในฐานะหมาล่าเนื้อ แต่ก็ไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไร งานที่มอบให้คือการปิดฉาก หยิบของ หรือไล่ล่าเหยื่อที่บาดเจ็บ

ทุกครั้งที่จอห์นสันลงมือ เขามักจะหันหลังกลับ หันมาเห่าให้ฉันหนึ่งครั้งและเริ่มออกวิ่ง

ถึงแม้ความทรงจำจะเลือนราง แต่ก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้เห็นด้วยตาตัวเองอีกครั้ง

ความรู้สึกทำนองว่า ‘เมื่อก่อนเคยทำแบบนี้’ มักส่งผลให้สมองคนเราว่างเปล่าเสมอ

เด็กคนนี้ยังไม่เปลี่ยนไปแม้จะผ่านมาเนิ่นนาน

ฉันตัดสินใจวิ่งตามไป บรรยากาศน่าขนลุกในโลกแห่งความตายเลือนหายไปทันที

ฉันเริ่มเกร็งต้นขาเพื่อไล่ตามความเร็วเต็มฝีเท้าของจอห์นสันให้ทัน

สำหรับทิศทาง หากเทียบกับยุคปัจจุบันก็คือป่าเบอร์มิวด้า

ทว่า ในทิวทัศน์การมองเห็นกลับปราศจากผืนป่า

สองข้างทางมีเพียงสุสานหลากสีสันทอดตัวยาว

ผ่านไปราวสิบนาทีเห็นจะได้

ฝีก้าวของจอห์นสันเริ่มช้าลง อาจเพราะระยะทางเริ่มไกล พอรู้ตัวอีกทีพวกเรากำลังวิ่งข้างกัน

เมื่อเริ่มชินกับบรรยากาศ ฉันกล้ามองสำรวจไปรอบๆ

“หืม…”

พลังงานเย็นฉ่ำไหลเข้ามาในปอดหลังจากสูดลมหายใจยาว เป็นความรู้สึกคล้ายกับได้สูดวิญญาณ ไม่ใช่อากาศ ร่างกายสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้คิดไปเอง

เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ยิ่งกว่าประสบการณ์ใดในต่างโลกที่ผ่านมา

คิดถึงตรงนี้ ฉันหวนนึกถึงวัตถุหนักๆ ในกระเป๋าเสื้อ

กล้องฟิล์ม

ฉันอยากให้ทุกคนเห็นบรรยากาศรอบตัว

ขณะเตรียมกดชัตเตอร์ของกล้อง

「โฮก—!」

ผีลุกขึ้นจากหลุมศพพร้อมกับพุ่งมาทางฉัน

ร่างกายโปร่งใสเหมือนกับผีที่ทุกคนรู้จัก

ดูอ่อนแอกว่าผีที่เจอในหมู่บ้าน

ผีที่กำลังวิ่งไล่ฉันตัวนี้ดูธรรมดา ส่วนผีที่เจอในหมู่บ้านดูคล้ายกับสัตว์ประหลาด

ชิ้ง!

อัญมณีสีฟ้าในมือสว่างขึ้นและกลายเป็นดาบสีเงินทันที

ผีอาจรูปร่างน่ากลัว แต่มันอืดอาด

ไม่ว่าฉันจะฝีมือดาบห่วยแค่ไหน แต่เป้าหมายตัวใหญ่จนไม่มีทางฟันพลาดเป้า

ฉันจึงยังผ่อนคลาย มือขวาถือกล้องถ่ายรูป

“ทุกคนต้องได้เห็นภาพนี้”

ด้วยความอยากถ่ายฉากตรงหน้า ฉันกดชัตเตอร์ทันที

แชะ!

เมื่อสิ้นเสียง ดาบในมือซ้ายถูกวาดออกไป

วืด!

“หือ?”

ผีหายไปแล้ว

สมองของฉันหยุดทำงานชั่วขณะ

เกิดอะไรขึ้น? ภาพลวงตา? หรือภาพหลอนหลังจากฟังเรื่องผี?

ฉันเพิ่มความระแวงขึ้นทันที แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นเวลานาน

จึงก้มมองจอห์นสันอีกครั้ง

“แฮ่กแฮ่กแฮ่ก—!”

เด็กคนนี้ยังหายใจแรงและหันมาทางฉันเหมือนเดิม

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สัมผัสถึงอันตราย ฉันจึงวางใจ

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

ขณะครุ่นคิด ฉันหวนนึกถึงตำนานผีที่ค่อนข้างโด่งดังบนโลก

‘ถ้าถ่ายรูปผี ผีจะถูกขังอยู่ในกล้อง! เชี่ย… หลอนฉิบ’

ชาโซฮีเคยเล่าให้ฟังบ่อยๆ ฉันจึงรู้จักตำนานผีพอสมควร

เพื่อยืนยันข้อเท็จจริง ฉันเปิดฝากล้องและแกะม้วนฟิล์ม

ในช่องแรก ฉันเห็นภาพผีตัวเมื่อครู่

ภาพค่อนข้างมัวเพราะยังอยู่ในม้วนฟิล์ม แต่ดูเหมือนว่าผี ‘กำลัง’ พยายามหนีออกมา

ไม่สิ ไม่ใช่แค่ดูเหมือน แต่มันกำลังขยับอยู่จริงๆ

“…”

ฉันยืนนิ่งทันที

เพราะผุดไอเดียใหม่ขึ้นมา

“จอห์นสัน”

“โฮ่ง!”

“ถ้าฉันทำลายแก่นของสุสาน ที่นี่จะหายไปใช่ไหม”

“โฮ่ง!”

“แกก็จะหายไปด้วยใช่ไหม”

จอห์นสันจ้องฉันด้วยดวงตาเปล่งประกาย

ถึงจะไม่หายไป แต่ก็คงไม่มีโอกาสได้พบจอห์นสันอีก

คิดถึงตรงนี้ ฉันไม่เดินไปไหน

คุกเข่าลงและมองจอห์นสันใกล้ๆ

ขนทุกเส้นถูกสลักลงในความทรงจำ

ฉันกำลังเศร้า?

ไม่ใช่ ตรงกันข้าม ฉันพึงพอใจกับสถานการณ์นี้มาก

นี่คือโอกาสที่จะได้มีจอห์นสันอยู่เคียงข้างอีกครั้ง

ฉันยังไม่สามารถทำลายดันเจี้ยนแห่งนี้เพียงเพราะต้องการช่วยเหลือเบสแคมป์

วางมือลงบนหัวจอห์นสัน

สัมผัสอันเย็นเยียบมอบความรู้สึกแปลกประหลาด

“ฉันจะหาวิธีช่วยแกออกไป อดทนรอหน่อยนะ”

“โฮ่ง!”

ทิ้งเด็กคนนี้ไว้ตามลำพัง ฉันเดินข้ามประตูมิติและกลับไปที่บ้าน

* * *

เมื่อกลับมาถึง ฉันเล่าเรื่องราวทั้งหมด

ชาโซฮีที่รับม้วนฟิล์มไป บอกว่าจะรีบข้ามประตูมิติเพื่อไปล้างฟิล์มที่สำนักงาน

โชคดีที่สัญญาณเตือนภัยลดระดับลง ความหนาแน่นหน้าประตูมิติจึงไม่สูงมาก

“สรุปก็คือ… ภายในนั้น คุณได้เจอวิญญาณของสุนัขที่สู่ขิตไปแล้ว?”

จินซอยอนพูดด้วยดวงตากลมโตราวกับไม่เชื่อ แต่ท่าทางการขยับกรอบแว่นแสดงให้เห็นว่าเธอเชื่อคำพูดฉัน

ฉันยิงคำถามที่คาใจมาสักพัก

“หมาตัวนั้นไม่ได้ตายแถวนี้… อาจจำจุดได้ไม่ชัดเจน แต่มั่นใจว่าไม่ใช่ที่นี่”

“…วิญญาณสุนัข”

ลิลี่ก้มมองแก้วกาแฟสักพักก่อนจะเงยหน้า

เธอยังไม่เข้าใจว่าซอจีอาดื่มของขมๆ แบบนี้เข้าไปได้ยังไง

ลิลี่นั่งไตร่ตรองครู่หนึ่งและพูด

“เด็กคนนั้นอาจจะตามเจ้าไปทุกที่ก็ได้”

“…”

ช่วงเวลาที่ฉันเคยดิ้นรน มีสภาพแวดล้อมแตกต่างจากปัจจุบันมาก

กล่าวคือ รอยแยกที่ฉันเคยเข้าไป กับรอยแยกในปัจจุบัน ไม่เพียงจะแตกต่างด้านสถานที่ แต่ยังรวมถึงมิติของเวลา

ในแง่ดังกล่าว หากจะให้เป็นไปตามที่ลิลี่พูด จอห์นสันต้องรอคอยการกลับมาของฉันนานแค่ไหน?

คิดถึงตรงนี้ ในหัวฉันเต็มไปด้วยข้อสันนิษฐาน

และข้อสันนิษฐานทั้งหมดรวมกันเป็นข้อสรุปหนึ่ง

“ลิลี่”

“อื้อ”

“ใครก็ตามที่อุทิศตัวเองเพื่อปกป้องบางสิ่ง สมควรได้รับการตอบแทนที่เหมาะสมใช่ไหม”

“…”

ลิลี่พยักหน้า

เป็นประโยคที่แวมไพร์ตนนี้มักเน้นย้ำเสมอ อาจทำไปเพื่อค้ำจุนจิตใจของตัวเอง

และแน่นอน ฉันเห็นด้วย

“จอห์นสันก็เช่นกัน”

ฉันลุกขึ้นยืน

จินซอยอนที่ฟังบทสนทนามาสักพักเปิดปาก

“ฉันชอบแนวคิดของคุณ แต่จะทำยังไงล่ะ?”

ฉันส่ายหน้า

จินซอยอนมองตอบเป็นนัยว่าไม่มีอะไรจะพูดต่อ

ฉันเดาเจตนาได้จากริมฝีปากที่สั่นระริกของเธอ

‘ฉันเข้าใจหัวอกคุณ แต่ทำไมพวกเราไม่แก้ปัญหาบนพื้นฐานความจริงล่ะ?’

คล้ายกับเธอต้องการส่งคำนั้นมาถึงฉัน แต่ไม่กล้าเปิดปาก

“ต้องเจอทางออกแน่ ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น”

“…พวกเราจะพบคำตอบจริงหรือ? ขอโทษที่ต้องพูดแบบนี้ แต่ว่า…”

“ฉันจะหาให้เจอ”

“นี่… คุณนักวิจัย”

ซอจีอาที่นั่งกอดอกไขว่ห้างฟัง เปิดปากพูด

“ชายผู้เคยฆ่ายักษ์และขี่มังกร กับแค่ช่วยวิญญาณหมาจะทำไม่ได้เชียวหรือ”

“ถ้าเธอพูดแบบนั้น… ก็จริงนะ ฉันผิดเอง”

จินซอยอนตอบพลางยิ้ม

ฉันเดินออกไปข้างนอก ขึ้นหลังเรลิกซิน่าและวิ่งไปทางตะวันตก

ปลายทางคือบ้านของเซลฟี เหมืองร้างตะวันตก

เซลฟีออกมาต้อนรับในร่างฝูงผีเสื้อที่มีชีวิตชีวา

ฉันหลับตาพลางดื่มด่ำไปกับบรรยากาศอันสูงส่งและพลังธรรมชาติที่ท่วมท้น

แค่ปล่อยให้ไหลผ่านผิวหนังก็มีความสุขแล้ว

พลังงานแห่งชีวิต — พลังธรรมชาติที่ไหลเวียนไปตามรากภูเขา

เซลฟีคือสปริกแกน ภูตวิญญาณที่เกิดจากการรวมตัวของพลังงานชีวิต

“ฉันเชื่อว่า ถ้าเป็นนายคงมีทางออก”

「เจ้านายหมายถึงวิธีนำสิ่งที่เคยสูญเสียชีวิต กลับมายังดินแดนแห่งชีวิตอีกครั้ง? 」

หงึก

ผีเสื้อนับพันตัวขนาดเท่าเล็บมือ ซึ่งทั้งหมดคือเซลฟี กำลังขยับตัวไปมาประหนึ่งทุ่งต้นอ้อ

ต้นอ้อโยกเอนซ้ายขวาราวกับมีลมพัดผ่าน

「พวกเราเจ็บปวดหัวใจอย่างยิ่งที่ต้องทำให้ท่านผิดหวัง แต่เราไม่รู้วิธีจริงๆ … ชีวิตและความตายคือสัญลักษณ์ของเทพไกร่า ผู้ร่วงหล่นและกลายเป็นผืนธรณีหลังความตาย 」

“หืม…”

「…แต่พวกเราทราบมาว่า เจ้านายเตรียมจะมุ่งหน้าลงใต้」

ต้นอ้อที่ส่องแสงสีเขียวอ่อน งอกเงยเป็นต้นไม้ในพริบตา

ต้นไม้กลายเป็นหอคอย

「เราได้ยินมาจากนักเดินทางแถวนั้น ทางทิศใต้มีจอมเวทที่ศึกษาเกี่ยวกับความตาย」

“งั้นหรือ ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน”

「พวกเขาอาจจะมีข้อมูล」

“นั่นสินะ”

ฟังดูสมเหตุสมผลดี แต่ว่า

“ฉันไม่อยากเสียเวลาลงใต้ด้วยข้อมูลที่ยังคลุมเครือ คงต้องรอให้เบาะแสชัดเจนกว่านี้ก่อน”

เซลฟีเปลี่ยนกลับไปเป็นผีเสื้อนับพันตัวที่เติมเต็มโพรงถ้ำอีกครั้ง

จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเมืองใหญ่

ฉันเข้าใจว่าภาพนี้จะสื่อถึงอะไร

「ยุคสมัยที่จะไม่ทรยศต่อความเชื่อใจและการอุทิศตัว」

「นายท่านเป็นคนประกาศเริ่มต้นกับมือ」

ฉันฉีกยิ้มกว้าง

ใช่แล้ว ยังจะมัวกล้าๆ กลัวๆ อะไรอยู่?

คงเพราะได้พบเจอความทรงจำที่ห่างหายไปนาน ฉันจึงกลายเป็นคนขี้กลัวและอ่อนไหว

“ขอบใจมาก”

「ด้วยความยินดี」

ฉันขึ้นหลังเรลิกซิน่าทันที

ระหว่างนั้น ชาโซฮีกลับมาจากการล้างภาพ

รูปใบหนึ่งถูกวางลงบนโต๊ะใกล้กับโซฟา ทุกคนมองด้วยสีหน้าต่างออกไป

“อ๊าา! เอามันออกไป! น่ากลั๊ว!”

ชาโซฮีรีบเกาะแขนซอจีอา

ลิลี่ถอยห่างด้วยสีหน้ากังวล

“ข…ขอเอาไปวิจัยได้ไหม? ฉันอยากได้จริงๆ!”

ดวงตาจินซอยอนกำลังเปล่งปลั่ง

เมื่อฉันเปิดประตูเข้ามา ทุกคนหลีกทางให้เล็กน้อย

ก้มหยิบรูปขึ้นมาดู

「กี๊—!」

ผีในรูปกำลังกระเสือกกระสน

แม้จะดูไม่เหมือนวิดีโอเสียทีเดียว แต่ก็คล้ายกับการเล่นภาพนิ่งซ้อนทับกันด้วยเฟรมเรตต่ำ

“ช่างภาพที่ล้างรูปสลบไปเลย นายต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ ทำไมถึงไม่บอกกันก่อน!”

ได้ยินคำพูดชาโซฮี ฉันเกาท้ายทอยอย่างช่วยไม่ได้

「ฆ่า!」

ผีตะโกนเป็นภาษาโบราณ

「แก้แค้น! เอาคืน! พลังอาฆาตของวิญญาณจะไล่ล่าเจ้า!」

ดูเหมือนมันจะไม่รู้สถานะตัวเอง

ฉันหยิบเหรียญออกมาและลองขูดภาพดู

「เจ้าประมาทพลังของวิญญาณเกินไปแล้—ว๊าาาาาก!」

“…”

แค่ลองทำเล่นๆ แต่ดูเหมือนจะได้ผลกับข้างใน

“…เธอรู้ไหมว่าภูตผีสร้างความรำคาญในต่างโลกมากแค่ไหน”

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง… จีอา เธอรู้ไหม?”

มองไปทางซอจีอา เธอพยักหน้าเป็นนัยยอมรับ

“จัดการได้ง่ายๆ แบบนี้เลย… น่าเบื่อไปหน่อยแฮะ”

“เห็นด้วย”

ซอจีอาพยักหน้า

ลิลี่มองภาพดังกล่าวด้วยอาการตกตะลึง

“อุปกรณ์จับผีใส่กระดาษ… นวัตกรรมใหม่… อาวุธสำหรับต่อกรภูตผี”

อ๋อ มันเรียกว่ากล้องถ่ายรูปน่ะ

ช่างน่าขันที่อุปกรณ์บันทึกความทรงจำ ถูกมองว่าเป็นอาวุธในต่างโลก

หลังจากนี้ พวกเรามีเหตุผลหนักๆ ที่ต้องพกกล้องติดตัวไปไหนมาไหน

ฉันมีดาบตัดนิรันดร์อยู่แล้ว แต่ลิลี่จำเป็นต้องพกอุปกรณ์ป้องกันตัวในกรณีฉุกเฉิน

“ซอยอน ช่วยหากล้องโพลารอยด์ตัวเล็กให้หน่อย เอาแบบที่ลิลี่พกพาสะดวก”

“ได้ ไม่ยากเท่าไร”

พูดจบ ฉันเข้าใกล้ประตูข้ามภพอีกครั้ง

“เจ้าจะทำอะไร?”

“พาเด็กคนนั้นกลับมา”

ทุกคนเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูด

ฉันข้ามประตูมิติไปยังอีกฝั่ง

สิ่งแรกที่เห็นคือสุนัขที่เคยเป็นเพื่อนในยามยากของฉัน กำลังนั่งมองมา

ขนนุ่มฟูยังกับโมจิเกาหลี

หลังจากเด็กคนนี้แก่ตัวลง ความน่ารักจะหายไปและกลายเป็นหมาป่าสีขาวที่ดูเหมือนอาศัยบนภูเขาหิมะ

อันที่จริง ตอนนั้นก็ยังไม่โตเต็มที่เท่าไร

แม้สุนัขและสัตว์จะแสดงสีหน้าไม่ได้ แต่ใบหน้าของเด็กคนนี้ดูยิ้มแย้มตลอดเวลา

ใช่แล้ว ฉันชอบหน้าตาของเขา

“ขอบใจที่รอ”

“แฮ่กแฮ่กแฮ่ก—!”

“เข้ามาอยู่ในนี้สักพักนะ”

“โฮ่ง!”

แชะ!

ฉันใช้กล้องถ่ายภาพผีสุนัข

เมื่อจินตนาการภาพอีกฝ่ายถูกขังในม้วนฟิล์ม ฉันภาวนาให้เขาไม่อึดอัด

กลับออกจากประตูข้ามภพอีกครั้ง ฉันหยิบเข็มชี้ทองคำออกจากเสื้อ

เข็มชี้มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

ฉันมองกล้องถ่ายรูปโดยไม่ขยับตัวเป็นเวลานาน

ครั้งหนึ่ง ฉันเคยอยากพาเด็กคนนี้ท่องเที่ยวทั่วโลก

ความปรารถนาของฉันในตอนนั้น คงส่งไปถึงจิตใจเขา

ตอนนี้ฉันมีหน้าที่ต้องทำให้เป็นจริง

จอห์นสันก็คงปรารถนาสิ่งเดียวกัน ฉันเชื่อแบบนั้น

“มาเที่ยวไปด้วยกันนะ”

ชายแดนทิศใต้ — ดินแดนที่ขุมนรกแผ่ขยายอำนาจขึ้นมาบนโลก

ที่นั่นมีแนวป้องกันที่แข็งแกร่ง

มีเหตุผลอันแน่นหนักให้ฉันต้องเดินทางไป

______________________

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (4/4)

ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:

https://www.facebook.com/bjknovel/

หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด