ตอนที่แล้วตอนที่ 1 สอบตกซ้ำซาก 
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 3 กระทิงบ้าอาโมรี่

ตอนที่ 2 แผ่นป้ายบรอนซ์


ฟ้ายังไม่สว่างแต่ถังเทียนตื่นแล้ว

พอล้างหน้าเสร็จถังเทียนเปิดไฟและนั่งอยู่อยู่โต๊ะคลี่กระดาษออกและเริ่มก้มหน้าก้มตาเขียน

“เชียนฮุ่ย, เธอสบายดีหรือเปล่า? ฉันคิดถึงเธอมาก ทุกอย่างสำหรับฉันเป็นไปด้วยดี ไม่ต้องเป็นห่วง ภาคเรียนใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้วและฉันยังได้รับตำแหน่งผู้ช่วยอาจารย์เฉินในคาบวิชากระบี่ ไม่มีเธออยู่ที่นี่ ฉันรู้สึกเบื่อมาก ทุกคนดูถูกฉัน ฉันไม่ชอบพวกเขาเลย เมื่อเร็วๆนี้สุขภาพอาจารย์เฉินไม่ค่อยดีนัก แต่เขาเป็นคนดีและฉันปรารถนาจะให้เขาสุขภาพดีตลอดไป ลุงหวีเป็นยังไงบ้าง? ช่วยทักทายเขาแทนฉันด้วยนะ ฉันหวังว่าจะได้เห็นน้ำตกดาราอมตะที่ธอเคยบอกไว้ ฉันไม่อาจนึกได้เลยว่าจะน่าตื่นเต้นเพียงไหน ฉันยังคงหมั่นเพียรฝึกซ้อมต่อไป อาจต้องใช้เวลานาน แต่ฉันจะไม่ยอมแพ้แน่...”

หลังจากเขียนข้อความมากมายซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องราวในชีวิตประจำวัน หลังจากพับกระดาษจดหมายอย่างระมัดระวังแล้ว ถังเทียนปิดผนึกซองจดหมาย

จ่าหน้าซองอย่างระมัดระวัง – เมืองอิงเซียนซิงจั่ว ถนนสายสิบห้า สถาบันไป่หง ซ่างกวนเชียนฮุ่ย ห้อง 3/1

เสร็จแล้วเขาล้วงแสตมป์เส้นทางอากาศที่ได้เตรียมไว้ก่อนแล้วออกมาและปิดไว้ที่หน้าซอง

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาลุกขึ้นอีกครั้งและเดินไปที่ลานบ้าน

อากาศยามเช้านำความสงบสุขมาสู่หัวใจผู้คน ถังเทียนกางมือข้างหนึ่งและข้างหนึ่งและยึดค้างไว้จนกระทั่งกล้ามเนื้อเขาสั่นก่อนเปลี่ยนตำแหน่งในการฝึกประจำวัน

สิ่งที่เขากำลังฝึกก็ยังคงเป็นวิทยายุทธพื้นฐาน

หลังจากฝึกฝนมาเกือบปี  ความรู้หมัดมวยของเขาแทบจะสมบูรณ์แบบ

พื้นฐานหมัดมวยประกอบด้วยการเคลื่อนที่ 3 รูปแบบคือ หมัดขว้าง หมัดแย็บ หมัดฮุค หมัดขว้างต้องใช้พลังมาก ลึกและมีพลังรุนแรงหมัดแย็บเป็นหมัดที่เบารวดเร็วที่ต้องใช้ให้เข้ากับจังหวะเท้า หมัดฮุคเป็นการผสมผสานระหว่างหมัดขว้างและแย็บแต่เน้นไปที่มุมมากขึ้น

ทุกๆพื้นฐานดูเหมือนง่าย แต่เมื่อความเคลื่อนไหวเหล่านั้นถูกใช้โดยถังเทียน  กลับมีความสง่างาม ทั้งนี้หลังจากฝึกซ้อมมาเป็นพันครั้งเพื่อให้ได้ความสมบูรณ์แบบ

ในสภาพที่เอาจริงจัง ถังเทียนฝึกหนัก ไม่มีสักครั้งเลยที่แววเหนื่อยล้าจะปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของเขา

ไม่ช้าเขาก็หลั่งเหงื่อทั่วทั้งตัวเสื้อผ้าเปียกโชก หยาดเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วไหลไปตามลำคอเขา

ถ้าดูให้ดีจะเห็นไอมัวๆ ระเหยออกมาทั่วตัวของเขา

เขาฝึกฝนครั้งแล้วครั้งเล่าในท่าเดิมบางครั้งก็หยุดชั่วขณะก่อนจะเปลี่ยนท่า แล้วย้อนกลับไปฝึกอีกครา เวลาผ่านไปเชื่องช้าขณะที่พระอาทิตย์ลอยสูง อากาศเย็นเริ่มสลายไป

ถังเทียนดื่มด่ำกับการฝึกมากเกินไป

ทันใดนั้นสัญญาณปลุกก็ดังขึ้นและถังเทียนหยุดการฝึกของเขาทันที หมดเวลาแล้ว

เฮ้อ..

เสียงหอบหายใจดังอยู่ที่ลานบ้าน ถังเทียนงอตัวยันเข่าเม็ดเหงื่อเท่าลูกปัดหยดจากคางลงพื้น เมื่อใดก็ตามที่เขาฝึก เขาจะคร่ำเคร่งกับการฝึกโดยไม่รู้สึกอะไร ซึ่งทำให้เหงื่อออกมากและชั่วครู่ก็หายไปหลังจากที่เขาหยุด

ห้านาทีต่อมา ถังเทียนหายจากอาการงุนงง เขายืดตัวตรงยกเข่าที่อ่อนแรงเดินไปที่มุมลานฝึกซึ่งมีบ่ออยู่บ่อหนึ่งมีน้ำเต็มเปี่ยม ถังเทียนเดินลุยลงบ่อจนได้ยินเสียงน้ำกระเซ็น

น้ำในบ่อยามเช้าตรู่เย็นเหมือนน้ำแข็งหนาวลึกจนถึงกระดูก ทันทีที่ลงบ่อได้เขาถึงกับสั่น

เขาเม้มปากแน่นเหมือนกับพยายามทนเจ็บปวด ผ่านไปสองนาทีเขาก็ปรับตัวเข้ากับความเย็นของน้ำในบ่อได้ จากนั้นเขานั่งขัดสมาธิเน้นการฝึกฝนที่ใจ

ได้อยู่ในสถาบันแอนดรูว์มาห้าปีการฝึกพลังสมาธิขั้นพื้นฐานของเขาทำได้สมบูรณ์ พื้นฐานการฝึกจิตนั้นเน้นฝึกที่แก่น  และตราบใดที่มีความพากเพียรอย่างเพียงพอก็อาจเข้าใจได้ในเวลา 1 - 2 ปี จากนั้นจึงถือว่าสำเร็จได้ ถังเทียนมีรากฐานที่ไม่แข็งแกร่งแน่นอนว่าเขาใช้เวลาทั่วไปถึงห้าปี แต่เขาไม่ได้ย่อท้อจนกระทั่งพื้นฐานพลังสมาธิของเขานั้นทำได้สมบูรณ์ ในไม่ช้าเขาเริ่มค้นหาการฝึกฝนพลังสมาธิขั้นที่สอง นั่นมีความจำเป็นต้องไปเข้าศึกษาในสถาบันอื่น

อีกอย่างถังเทียนไม่ต้องการเสียเวลา ดังนั้นเขาจึงมองหาวิธีการรอบๆ ตัวอาจารย์เฉินสังเกตเห็นสภาพของถังเทียนจึงขอให้เขามาเป็นผู้ช่วยสอน และเขาได้สอนเคล็ดวิชาลมปราณภายในขั้นที่สองเป็นการตอบแทน

จากนั้นเป็นต้นมาถังเทียนจึงเริ่มฝึกวิชาลมปราณขั้นที่สอง

เคล็ดลับฝึกปราณเหมาะกับคนที่จะพัฒนาวิทยายุทธในขณะที่มีพลังดั้งเดิมไม่พอผลดีก็คือมีปราณคอยเสริมความแข็งแกร่ง เคล็ดการฝึกลมปราณนี้ถังเทียนฝึกเองจนช่ำชองอย่างรวดเร็วขณะที่วิชาต่อสู้ระดับต่ำก็ใช้ออกง่ายๆ เน้นไปที่การขยันฝึก ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการที่หลากหลาย

หลังจากความอุ่นและพลังปราณกระจายไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย ขับไล่ความเย็นออกไป ช่วยให้ร่างกายที่เหนื่อยล้าคืนสภาพได้เร็ว

ถังเทียนลืมตาหลังจากผ่านไปชั่วโมงหนึ่ง

ความเมื่อยล้าถูกขับออกไปและเขารู้สึกว่ามีพลังวังชา เขาไม่ได้ลุกออกไปทันที กลับเอนตัวครึ่งหนึ่งนอนแช่ในน้ำและมองดูฟ้าสีคราม

ตอนนี้เชียนฮุ่ยทำอะไรอยู่

สายตาของเขาอ่อนโยนแต่กลับคืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็วและเขาถอดแผ่นป้ายทองแดงที่คอของเขาออก ป้ายทองแดงนั้นร้อยด้วยด้ายสีแดงหลายเส้น ด้ายเส้นนี้ร้อยโดยมารดาเขา อีกเส้นหนึ่งร้อยโดยเชียนฮุ่ย เมื่อเชียนฮุ่ยอยู่ในเมืองซิงฟง นางจะด้ายแดงร้อยแผ่นทองแดงให้ถังเทียนทุกปี

ขนาดของแผ่นป้ายทองแดงจะคล้ายกับเหรียญกษาปณ์ในแง่ลักษณะ มันดูเก่า อีกด้านหนึ่งของแผ่นป้ายทองแดงจะมีภาพคำว่า “สิบ”ส่วนอีกด้านเป็นภาพแม่น้ำที่คดเคี้ยว แม่น้ำที่ดูเหมือนมีดาวระยิบระยับนับล้านดวง ด้านล่างแม่น้ำมีเส้นตัวเลข มันเป็นสีเทาแต่สีนั้นจางไปมาก ทำให้ยากจะมองเห็นได้

ถังเทียนสวมแผ่นป้ายทองแดงนี้ตั้งแต่เขายังเด็กแต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้เขาสังเกตเห็นตัวเลข

นอกจากนี้เขาสังเกตตัวเลขจะเปลี่ยนไปเมื่อเวลาผ่านไป ตอนที่เขาเริ่มฝึกวิทยายุทธขั้นพื้นฐาน

เขามักจะสงสัยเกี่ยวกับการค้นพบครั้งใหม่บนแผ่นป้ายทองแดงของเขา

แม้จะไม่ค่อยระวังแต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ เขาพบรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขบนแผ่นป้ายทองแดงอย่างรวดเร็วทุกครั้งที่เขามีความก้าวหน้าในวิชาต่อสู้ขั้นพื้นฐาน ตัวเลขก็จะกระโดด

จากวันนั้นเป็นต้นมา เขาตระหนักได้ว่ามารดาที่เขาเคยคิดว่าเป็นคนธรรมดา ดูเหมือนจะไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป มันเริ่มบอกเขาว่าเขาไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับความตายของมารดาเขา

และเจ้าบัดซบที่ทอดทิ้งนาง (หมายถึงสามีของแม่)

ถังเทียนปรารถนาจะรู้ความจริง  เขาต้องการจะคลี่คลายความลี้ลับ

แผ่นป้ายทองแดงเป็นเพียงเบาะแสเดียวที่มีอยู่ในมือของเขา

เขาเริ่มต้นฝึกวิชาต่อสู้พื้นฐานเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงบนแผ่นป้ายทองแดง เมื่อเขาเชี่ยวชาญวิชากระบี่พื้นฐานหมายเลขก็หยุดกระโดด ดังนั้นถังเทียนเริ่มลองทำสิ่งที่แตกต่าง เขาพยายามฝึกวิทยายุทธระดับสอง แต่ตัวเลขก็ไม่ขยับจนกระทั่งเขาเปลี่ยนไปฝึกวิชาหมัดมวยพื้นฐานตัวเลขจึงเริ่มกระโดดอีกครั้ง

เป็นวิชาต่อสู้พื้นฐานที่ทำให้ตัวเลขกระโดด

ปีแล้วปีเล่าวิชาต่อสู้ก็เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่าจำนวนตัวเลขวิ่งวิ่งจากหลักหมื่นขึ้นไปถึงสองหมื่น... มันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระหว่างที่แผ่นป้ายทองแดงไม่มีปฏิกิริยา สายตาคนรอบข้างที่จับจ้องมองเขาค่อยๆ เปลี่ยนไปมีแต่แววตาเยาะเย้ยโถมเข้าหาถังเทียน

ถังเทียนก็คงเป็นเหมือนเมื่อห้าปีที่แล้ว

จำนวนเลขยังคงเปลี่ยนต่อไป

99,9400

ถังเทียนเอาป้ายทองแดงกลับมาคล้องคอ แต่เขาไม่ทันสังเกตเห็นว่าตัวเลขสีเทาเริ่มเรืองแสงเล็กน้อย ถังเทียนโดดออกมาจากบ่อเช็ดตัวให้แห้งและนุ่งห่มชุดใหม่ เขาคว้าจดหมายบนโต๊ะที่เตรียมจะส่งให้เชียนฮุ่ยและออกไปจากบ้าน

บ้านของเขาอยู่ไกลจากสถาบันแอนดรูว์และมีคนไม่กี่คนเดินอยู่บนถนน

มีเพียงที่เดียวที่รับไปรษณีย์อากาศในเมืองซิงฟงและนั่นก็คือที่ทำการไปรษณีย์ที่อยู่ทางทิศใต้ของเมืองความเร็วของถังเทียนมิได้ช้าเลย เขาเชี่ยวชาญวิชาตัวเบามานานแล้ว และสามารถทรงตัวในส่วนบนไว้และซอยขาอย่างรวดเร็ว เขาก้าวยาวหนึ่งก้าวสลับก้าวสั้นสามก้าวและทำซ้ำอย่างนี้อีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ขณะที่ยังเป็นเวลาเช้าตรู่ที่ทำการไปรษณีย์ยังไม่เปิดทำงาน จากนั้นถังเทียนหย่อนจดหมายในตู้ไปรษณีย์ด้านนอกที่ทำการ

อิงเซียนซิงจั้วอยู่ไกลมากต้องใช้เวลาสามเดือนกว่าเชียนฮุ่ยจะได้รับจดหมายของเขา

เขาเงยหน้ามองฟ้าและรู้สึกสงบ

เมื่อถังเทียนมาถึงหน้าสถาบัน มีกลุ่มคนรวมตัวออกันแน่นอยู่ข้างนอกสถาบันจนแม้แต่น้ำยังมิอาจหยดผ่านได้ ถังเทียนขมวดคิ้ว วันนี้เขาต้องดูแลชั้นสอนวิชากระบี่ คงไม่ดีแน่ถ้าเขาไปสาย อย่างไรก็ตามเขารู้สึกขอบคุณอาจารย์เฉินที่ช่วยเหลือและห่วงใย แน่นอนเมื่อเขาทำงานเขาเอาจริงมากและเขาไม่เคยสาย ถือเป็นเรื่องแตกต่างมากเมื่อเทียบกับตอนเป็นนักเรียนในชั้นเรียน

“ขอโทษนะ!”

เขาแหวกฝูงคนออกไป นักเรียนที่ถูกดันออกไปด้านข้างโวยวาย แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าเป็นถังเทียน พวกเขาถอยกลับทันที

“กู่เซี่ยวหวี่! ฉันจะปล่อยแกไป ถ้าแกคำนับฉัน!”

เด็กชายท่าทางหยิ่งจัดดูราวกับว่าจะเอาจมูกชี้ฟ้ากำลังยืนอยู่ในกลุ่มเด็กที่แต่งตัวดีใช้ของคุณภาพดีมาก ดูเหมือนว่าเขาจะมาจากตระกูลที่ดี  ข้างๆ เขาเป็นเด็กอีก 2 - 3 คนรูปร่างแข็งแรงมีสีหน้าเยาะเย้ย ข้างหน้าพวกเขาเป็นเด็กชายตัวผอมนอนตัวงอ ดูเหมือนเขากำลังเจ็บปวด

“คุกเข่า! เร็วเข้า, ได้เวลาเรียนแล้วนะ!”

“แม่งเอ๊ย, ดูเหมือนเรายังอัดมันไม่พอ!”

เด็กกร่าง 2 - 3 คนทำดุ

ถังเทียนเบื่อหน่ายกับภาพที่เห็น แม้ว่าเขาจะถูกมองว่าเป็นเด็กเกเรในสถาบันแอนดรูว์ แต่เขาไม่เคยรังแกเด็กและคนอ่อนแอ ที่สำคัญที่สุด คนพวกนี้ขวางทางทำให้การสัญจรติดขัด อีกไม่กี่นาทีก็จะเข้าเรียนแล้ว

“พวกแกเพิ่งมาที่นี่ใหม่หรือ?” ถังเทียนยืนเด่นจ้องมองด้วยความไม่เป็นมิตร “ไปซะ!”

“อะไรกันนี่แก, ไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน ถึงกล้ายุ่งเรื่องของคนอื่น?” เด็กหัวโจกเยาะเย้ย

ถังเทียนรู้ว่า ถ้าเขายังแกร่วอยู่ในที่นี้ เขาคงจะสายแน่นอน เขาไม่สนใจจะพูดอะไรอื่นในชั่ววับเดียวเขาก้าวเท้าฉากออกไปด้านข้างและพุ่งเข้าหาเด็กหัวโจก แววตาหวาดกลัวปรากฏอยู่ในตาของเด็กหัวโจก ถังเทียนคว้าคอเขาบีบไว้แน่น

เหมือนกับจับไก่ เขาจับคอเจ้าเด็กนั่นยกด้วยมือเพียงข้างเดียว

อาการหายใจไม่ออกทำให้เด็กคนนั้นหน้าคล้ำ

“หยุดนะ! แกกล้าดียังไง ถึงได้ทำร้าย...”

“ตายเสียเถอะ แก!”

พวกเด็กผู้ชายรูปร่างแข็งแรงตกใจและรีบวิ่งเข้ามา ถังเทียนมีประสบการณ์ต่อสู้มากมายอยู่แล้ว เขาเหวี่ยงหมัดต่อยออกไปโดยไม่ต้องมองแล้วจากนั้นก็ไล่ทุบเด็กคนอื่นๆ

ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที เด็กคนอื่นๆ ก็โดนทุบตีหมดสิ้น

“เห็นไหม, ถังเทียนป่าเถื่อนโหดร้ายจริงๆ”

“นั่นธรรมดาอยู่แล้วเขาเป็นขาโหดเก่าประจำโรงเรียน! เอ...มันชักแตกต่างขึ้นทุกปีนะ ถ้าเขาไม่ชำระเรื่องยุ่งยาก พวกเด็กกลุ่มใหม่ๆจะไม่มีทางรู้ว่าที่นี่ใครใหญ่สุด!”

“ภาพลักษณ์ของโรงเรียนเรายังนับว่าดี แต่ถ้าจอมเกเรอย่างถังเทียนยังไม่ถูกกำจัด ก็ยังจะทำให้โรงเรียนหาข้ออ้างกำจัดวิญญาณที่เลวร้าย”

ถังเทียนไม่ยอมเหลือบมองกลุ่มเด็กที่นอนอยู่บนพื้น เขารีบวิ่งตรงไปยังสนามฝึกฝนทันที

ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในสนามฝึก ระฆังเตือนก็ดังทันที

เฮ้อ!

ถังเทียนถอนหายใจยาว เขาลอบชำเลืองมองไปที่นักเรียนวิชากระบี่ขั้นต้น หลังจากมีเรื่องซุบซิบเมื่อวานนี้แล้ว ชื่อเสียงโด่งดังของถังเทียนก็แพร่กระจายไปเรียบร้อย และนักเรียนทุกคนมองเขาอย่างระมัดระวังขึ้น

เขาแกล้งกระแอมและโบกมือ “เริ่มฝึกกันได้!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด