ตอนที่แล้วยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 10 ถ่ายทอดฐานการบ่มเพาะสำเร็จได้รับ...
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 12 ปรมาจารย์ขุนเขาวารีนภา

ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 11 แสดงให้อาจารย์เห็น


ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 11 แสดงให้อาจารย์เห็น

“อืม หลังจากบุกเข้าไปในขอบเขตชีวาเร้นลับข้ารู้สึกแตกต่างอยู่บ้าง” เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งเขารู้สึกถึงพลังอันไร้สิ้นสุดอยู่ภายในร่างกายของตน เขายิ้มเบา ๆ ความมั่นใจทั้งหมดล้วนมาจากความแข็งแกร่ง ด้วยพละกําลังมหาศาลนี้ทำให้เขารู้สึกเส้นทางข้างหน้าง่ายดายขึ้นมาก

ในไม่ช้าหลินชิงจู้ก็ตื่นขึ้นมา นางมองดูฝ่ามือและรับรู้ถึงพลังในร่างกายของตน นางดีใจอย่างยิ่ง “นี่คือพลังของขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 1 หรือ? น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก...”

หลังจากช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้น หลินชิงจู้ก็ขบคิดถึงอย่างอื่น? “ท่านอาจารย์เหมือนจะบอกว่าตราบใดที่ข้าบุกเข้าไปในขอบเขตนิ้วทมิฬเขาจะสอนทักษะกระบี่ให้ข้า นี่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะได้เรียนรู้ทักษะกระบี่ที่ทรงพลังในวันพรุ่งนี้หรอกหรือ” เมื่อนึกถึงสิ่งนี้นางรู้สึกถึงคลื่นแห่งความสุขในทันที นางลุกขึ้นยืนและหันไปมองเย่ชิว ทันใดนั้นนางก็ต้องนิ่งงัน

“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าท่านอาจารย์แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เหมือนจะคล้ายเซียนมากขึ้นเรื่อย ๆ... เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร” หลินชิงจู้คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก แต่นางไม่ได้สนใจนัก ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนเขาก็ยังคงเป็นอาจารย์ของนาง

“ขอบคุณท่านอาจารย์ที่มอบฐานการบ่มเพาะให้ข้า ตอนนี้ข้าได้ทะลวงไปถึงขอบเขตนิ้วทมิฬแล้ว” หลินชิงจู้เดินไปคุกเข่าต่อหน้าเย่ชิว นางรู้สึกขอบเจ้าอย่างแท้จริง นางดีใจมากที่อาจารย์เหล่านั้นในโถงหยกพิสุทธิ์ไม่ได้เลือกนาง มิฉะนั้นนางจะเจออาจารย์ที่ดีเช่นอาจารย์ของนางได้อย่างไร?

แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงสี่วันที่นางได้เข้าสู่สำนัก แต่เย่ชิวก็ช่วยเหลือนางมากมาย เขาให้เม็ดยาเซียนและเม็ดยาอายุวัฒนะแก่นางและยังให้ฐานการบ่มเพาะของเขาอีกด้วย มีอาจารย์ที่ไหนในโลกที่นางสามารถพบได้อีก? นางให้ความสำคัญกับอาจารย์คนนี้ยิ่ง โชคดีที่มีเย่ชิวเป็นอาจารย์ของนาง นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่นางเคยทำในชีวิตของนาง

“เอาล่ะลุกขึ้น เจ้ากับข้าเป็นอาจารย์และศิษย์ ไม่จำเป็นต้องกล่าวคำขอบคุณใด ๆ ตราบใดที่ในอนาคตเจ้าจดจำได้ว่าอาจารย์ของเจ้าดีต่อเจ้าขนาดไหน” เย่ชิวยิ้มเบา ๆ

หลินชิงจู้พูดอย่างจริงจังว่า “ไม่ต้องห่วงท่านอาจารย์ ข้าจะไม่มีวันลืมความเมตตาของท่านที่มีต่อข้า ข้าไม่ได้เคยมีความทะเยอทะยานมากนัก ข้ามีเพียงอย่างเดียวที่อยู่ภายในใจ—แก้แค้นให้บิดามารดา หลังจากที่ข้าแก้แค้นข้าจะกลับมาอยู่ที่ขุนเขาเมฆาม่วงและอยู่รับใช้เคียงข้างท่านอาจารย์ตลอดไป...”

หัวใจของเย่ชิวอ่อนโยนลงเมื่อนางเอ่ยถึงบิดามารดา สําหรับสัตว์อสูรที่อาละวาดเขาก็ไม่พบเบาะแสจนถึงทุกวันนี้ ในตอนแรกเย่ชิวไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้มากนักเพราะความแข็งแกร่งของเขา ตอนนี้เขามีความสามารถพอแล้ว เขาอาจสามารถช่วยนางตามหาผู้ที่กระทำผิดได้

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเย่ชิวก็กล่าวว่า “เอาล่ะ หลังจากการประลองยุทธ์เจ็ดขุนเขาสิ้นสุดลงข้าจะพาเจ้าลงจากภูเขาเพื่อฝึกฝน ในเวลาเดียวกันข้าจะช่วยเจ้าค้นหาผู้กระทำผิดที่สังหารบิดามารดาของเจ้า...”

เมื่อได้ยินเช่นนี้หัวใจของหลินชิงจู้ก็สั่นไหว นางไม่ได้กล่าวอะไรเพียงแต่กลั้นน้ำตาให้คลอเบ้า นางรู้ว่าในโลกนี้มีเพียงเย่ชิวเท่านั้นที่ปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจ เขาไม่เพียง แต่เต็มใจที่จะมอบเม็ดยาอายุวัฒนะให้นางเท่านั้น เขายังเต็มใจที่จะช่วยนางแก้แค้นด้วยนเช่นกัน

“ท่านอาจารย์...” ขณะที่รู้สึกซาบซึ้งหลินชิงจู้ก็ตกอยู่ในอ้อมแขนของเย่ชิวราวกับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ และหลั่งน้ำตาออกมา นางทำตัวหัวแข็งมาโดยตลอดและไม่เคยร้องไห้นับตั้งแต่เข้ามาสำนัก เหตุผลนั้นเป็นเพราะนางรู้ว่าไม่มีใครสนใจอารมณ์ของนาง คนเดียวที่นางไว้ใจได้คือท่านอาจารย์ที่รักนางมากที่สุด

“เอาล่ะหยุดร้องไห้ได้แล้ว! อย่าทำให้ตนเองดูน่าเกลียด” เย่ชิวปลอบโยนนาง ไม่นานหลินชิงจู้ก็คืนฟื้นสู่ความสงบและระงับอารมณ์ของนาง

เมื่อนางตระหนักว่าตนช่างกล้าหาญยิ่งนักที่กระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของอาจารย์ ใบหน้าของนางก็ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงและผละหนีออกจากอ้อมกอดของเย่ชิวอย่างรวดเร็ว

“ไม่อย่างแน่นอน ท่านอาจารย์ช่างชื่นชอบการทำให้คนอื่นกลัวยิ่งนัก” หลินชิงจู้กล่าวขณะที่เขาเช็ดน้ำตา ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้งหลังจากคิดถึงการกระทําที่บ้าคลั่งของตน

เย่ชิวมองหน้านางด้วยความสุข เขาไม่ได้ปรารถนาให้ลูกศิษย์ของตนเย็นชาและปลีกตัวออกจากโลก บุคคลเช่นนี้ไม่ต่างจากศพที่เดินได้ซึ่งสูญเสียจิตวิญญาณของตนเองไปโดยสิ้นเชิง เหตุผลที่เขาทําเช่นนั้นคือการหว่านเมล็ดไปยังหัวใจที่หลงใหลของหลินชิงจู้ และทําให้นางรู้สึกมีชีวิตชีวา อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่านางจะเป็นเช่นนี้เมื่ออยู่กับเขาเท่านั้น นางยังคงเย็นชาต่อผู้อื่นเช่นเคย

นี่อาจเกี่ยวข้องกับกระดูกเหมันต์เร้นลับในร่างกายของนาง ท้ายที่สุดมันคือกระดูกของนาง ในระหว่างการบ่มเพาะนั้นกระดูกเหมันต์เร้นลับมีบทบาทอย่างยิ่ง เมื่อระดับการบ่มเพาะของนางเพิ่มขึ้นนางอาจเย็นชาขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่สําคัญ ตราบใดที่นางไม่มีเจตนาที่จะตายและจมอยู่ในความเจ็บปวดของนางเอง

ไม่สําคัญว่านางจะเย็นชาขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ความเย็นชาแบบนี้ทําให้นางดูสง่างามมากขึ้น นางเป็นเหมือนเทพธิดาจากสวรรค์ทั้งเก้าที่ให้ความรู้สึกสูงส่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ สูงส่ง บริสุทธิ์ ไร้ที่ติ นี่คือศิษย์ผู้สมบูรณ์แบบที่เย่ชิวต้องการสร้าง

เย่ชิวมองไปยังหลินชิงจู้และกล่าวอย่างใจเย็นว่า “เอาล่ะ! ในเมื่อระดับการบ่มเพาะของเจ้าได้มาถึงขอบเขตนิ้วทมิฬแล้ว ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปข้าจะสอนเจ้าเกี่ยวกับเคล็ดวิชากระบี่เมฆาม่วง”

“ตอนนี้สายแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อน อย่าลืมสร้างสมดุลระหว่างการบ่มเพาะและการพักผ่อน แม้ว่าการบ่มเพาะจะมีความสําคัญมาก แต่เจ้าไม่สามารถลืมพักผ่อนได้ ร่างกายเป็นต้นทุนสําหรับการบ่มเพาะ เจ้าเข้าใจหรือไม่”

หลินชิงจู้พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ท่านอาจารย์ ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตราบใดที่เย่ชิวพูดนางก็รู้สึกว่ามันถูกต้อง นางแค่ต้องทําตามที่เขาพูด

“ท่านอาจารย์ต้องการกินอะไรหรือไม่? ข้าจะทําอาหารให้ท่านเอง...” เมื่อบ่มเพาะเสร็จ หลินชิงจู้สังเกตว่าตอนนี้ก็เริ่มสายแล้วและนางก็ยังหิวอยู่เล็กน้อย นางจึงถามเย่ชิว

เย่ชิวจ้องมองอย่างว่างเปล่า “ข้าคิดว่าข้าลืมบางสิ่ง สตรีผู้นี้อยู่ในขอบเขตนิ้วทมิฬเท่านั้น นางยังต้องกินเช่นกัน บัดซบ...”

เย่ชิวเหงื่อตก ไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาจดจ่ออยู่กับการปิดด่านมากเกินไป เขาสงสัยว่านางรอดชีวิตมาได้อย่างไรในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา

ขุนเขาเมฆาม่วงแตกต่างจากขุนเขาอื่น ๆ ขุนเขาอื่น ๆ ไม่เพียงแต่จะมีศิษย์หลายคนเท่านั้น แต่ยังมีศิษย์แรงงานอีกหลายคน แต่ขุนเขาเมฆาม่วงมีคนอาศัยอยู่เพียงสองคนเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แต่พึ่งตัวเอง

เย่ชิวนั้นทําอาหารมาตลอดหลายปีนี้ ทันใดนั้นก็รับลูกศิษย์คนหนึ่งมา แต่จริง ๆ แล้วเขาปิดด่านโดยไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจนนัก โชคดีที่สตรีคนนี้มีไหวพริบรวดเร็วและรู้วิธีหาอาหาร มิฉะนั้นนางอาจจะต้องอดตายจริง ๆ

บางครั้งส่วนผสมที่สำนักรับผิดชอบในการซื้อจะถูกส่งไปไว้ในห้องครัว บางทีนางอาจจะหิวเกินไปและอาจรู้ตัวเมื่อนางเข้าครัวเท่านั้น

“เอาล่ะ เช่นนั้นก็จงทำอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ”

เย่ชิวคิดว่ามันน่าตลกไม่น้อย เขายังอยากรู้เกี่ยวกับทักษะการทําอาหารของลูกศิษย์ของเขาเช่นกัน จริง ๆ แล้วเขาไม่จําเป็นต้องกินอาหารอีกต่อไป ตราบใดที่การบ่มเพาะของบุคคลนั้นมาถึงขอบเขตสวรรค์ คนนั้นก็จะสามารถงดเว้นจากการกินได้ หลังจากเข้าสู่อนันตะมรรคาไม่จําเป็นต้องกินอีกเลย อย่างไรก็ตามหากเขาต้องการกินมันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขาเลยแม้แต่น้อย

“ท่านอาจารย์ ข้าจะรีบไปทําทันที” เมื่อได้ยินว่าเย่ชิวต้องการกินอาหาร หลินชิงจู้ก็วิ่งไปยังห้องครัวอย่างตื่นเต้นและเตรียมทําอาหารทันที นางต้องการถึงแสดงทักษะการทําอาหารให้อาจารย์ของนางเห็นในวันนี้เพื่อตอบแทนเขา

ทว่าเย่ชิวกลับรู้สึกลางร้ายหลังจากเห็นนางวิ่งออกไปไปอย่างตื่นเต้น

“สตรีคนนี้รู้วิธีการปรุงอาหารจริง ๆ งั้นหรือ? ข้าจะตายหรือไม่”

ทันใดนั้นเขาก็คิดเสียใจ...

[TL: เม้นเยอะ = ตอนเยอะ]

5 5 โหวต
Article Rating
6 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด