ตอนที่แล้วบทที่ 25: ความลับของศิษย์พี่หญิง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 27: ลูกศิษย์อันดับหนึ่ง

บทที่ 26: ทำไมคนรับกรรมถึงเป็นข้า?


บทที่ 26: ทำไมคนรับกรรมถึงเป็นข้า?

“เอ่อ…”

จื่ออู๋เซียพูดไม่ออก ทำไมศิษย์น้องคนนี้ถึงดูผิดปกติจัง?

อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดดูอีกที สิ่งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ทั้งศิษย์และอาจารย์ของที่นี่ล้วนผิดปกติอยู่แล้ว

ทุกคนผิดปกติ… ยกเว้นเธอ!

“ลืมมันไปเถอะ ข้าจะจดมันลงในบันทึกประจำวันก่อน หลังจากนั้นเมื่อศิษย์น้องคนใหม่มาถึง ข้าก็จะต้องบันทึกเรื่องราวให้มากขึ้น”

นี่เป็นนิสัยที่จื่ออู๋เซียได้พัฒนามานานหลายปี ท้ายที่สุดแล้ว เธอก็คือคนที่เพิ่งเข้ามายังพระราชวังจักรพรรดิสันติราชาหลังจากที่อาศัยอยู่ข้างนอกมาเป็นเวลานาน ภาระที่เธอต้องแบกรับนั้นหนักหนากว่าพี่น้องคนอื่นๆ ของเธอถึงสิบเท่า

ด้วยเหตุนี้เอง ไม่ว่าจื่ออู๋เซียจะทำอะไร เธอก็มักจะบันทึกมันเพื่อช่วยให้เธอจดจำและศึกษามันได้

ในขณะนี้ ลู่เสี่ยวหรันก็มาถึงห้องโถงนิกายแล้วเช่นกัน

หลี่เต๋าหรันเดินไปที่ประตู เมื่อเขาเห็นลู่เสี่ยวหรันเดินเข้ามา เขาก็รีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความตื่นตระหนกในทันที

“ผู้อาวุโสลู่ เราควรทำอย่างไรดี ตอนนี้เรากำลังมีปัญหาใหญ่แล้ว ผู้อาวุโสสูงสุด ผู้นำนิกาย ผู้อาวุโสหนึ่งและคนอื่นๆ ต่างก็เสียหน้ากันหมด นอกจากนี้ ข้าก็ยังได้ยินมาว่าการนัดดูตัวของผู้อาวุโสฮวงถูกทำลายลงเพราะเรา เจ้าน่าจะได้เห็นว่าดวงตาของเขาเบิกกว้างขนาดไหนในตอนที่เขามองมาที่ข้าก่อนหน้านี้!”

ลู่เสี่ยวหรันพูดอย่างโกรธเคือง “เราจะทำอะไรได้อีกล่ะ เราก็แค่ต้องยอมรับความจริง”

“ถ้าเจ้าพูดแบบนั้น ข้าก็คิดว่าคราวนี้เราอาจจะถึงวาระแล้วก็ได้”

“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าโง่เขลาและเกียจคร้าน เราสองคนก็คงจะไม่ต้องวุ่นวายกันใหญ่โตขนาดนี้หรอก ไปเถอะ ยังไงพวกเราก็มีแต่ต้องเผชิญหน้าเท่านั้น”

ขณะที่เขาพูด ลู่เสี่ยวหรันก็ก้าวเข้าไปในห้องโถงขณะที่หลี่เต๋าหรันเดินตามมาด้วยท่าทางหดหู่

ทั้งสองมาถึงห้องโถง ผู้อาวุโสทุกคนอยู่ที่นั่น

ทั้งสองป้องมือไปทางผู้นำนิกายและกล่าวว่า “ทำความเคารพท่านผู้นำนิกาย”

บนบัลลังค์สูง การแสดงออกของผู้นำนิกายก็ดูเย็นชา

“พวกเจ้าออกจากตำแหน่งโดยไม่ได้รับอนุญาตและไปที่กลุ่มอาคาเซีย พวกเจ้าทำให้ผู้อาวุโสในนิกายหลายคนเสียหน้า พวกเจ้าทั้งสองคนรู้ความผิดของตนหรือไม่?”

“ข้ายอมรับความผิดพลาดของข้า”

“ดีที่เจ้ายังรู้ความผิดพลาดของตน ก่อนที่ข้าจะลงโทษเจ้า ข้าก็ต้องถามเจ้าให้ชัดๆ เจ้าทั้งสองคนเป็นคนตั้งค่ายกลด้วยกันหรือมีแค่คนเดียวที่ทำ?”

ลู่เสี่ยวหรันป้องมือของเขาและกล่าวว่า “เรียนท่านผู้นำนิกาย การซ่อมแซมประตูหลักทั้งหมดถูกทำโดยข้าเพียงคนเดียว เต๋าหรันรับผิดชอบการจัดตั้งค่ายกลที่ประตูข้าง เรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา”

“เสี่ยวหรัน”

ดวงตาของหลี่เต๋าหรันเปลี่ยนเป็นสีแดงในขณะที่เขากำหมัดแน่น

อันที่จริง ผู้ร้ายหลักของเรื่องนี้ก็คือหลี่เต๋าหรัน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาลืมเอาเหรียญตราไปให้ศิษย์ เรื่องแบบนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น

และในท้ายที่สุด ลู่เสี่ยวหรันก็กลายเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่างโดยไม่พูดอะไรสักคำ

นี่แหละคือมิตรภาพที่แท้จริง!

“พี่ชายที่แสนดีของข้า ข้าจะจำความโปรดปรานนี้ไว้ ข้าจะไม่มีวันลืมมัน!”

ผู้นำนิกายพยักหน้า

“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าขอประกาศว่าแม้ว่าผู้อาวุโสเสี่ยวหรันจะเป็นผู้กระทำผิดในครั้งนี้ แต่ด้วยทัศนคติและความจริงใจของเขา เราจึงจะไม่ดำเนินการลงโทษใดๆ กับเขาในเรื่องนี้”

“สำหรับผู้อาวุโสเต๋าหรัน เพราะเจ้าก้าวเข้ามาในห้องโถงช้ากว่าผู้อาวุโสเสี่ยวหรัน และความตั้งใจของเจ้าในการยอมรับผิดนั้นก็ด้อยกว่าผู้อาวุโสเสี่ยวหรัน เจ้าจึงจะต้องถูกลงโทษสำหรับเรื่องนี้ เจ้าจะถูกลงโทษให้ต้องทำงานเป็นกรรมกรเป็นเวลาหนึ่งเดือนในหอหลอมอาวุธของนิกาย”

หลี่เต๋าหรัน: "???"

ในหัวของเขาเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม และเขาก็ตกตะลึง

“ท่านผู้นำนิกาย ท่านล้อข้าเล่นใช่ไหม? ข้าไม่ใช่คนจัดตั้งค่ายกลที่ประตูหน้าของภูเขานะ อย่างมากที่สุด ข้าก็เป็นแค่ผู้สมรู้ร่วมคิดเท่านั้น”

“เจ้ากล้าดียังไง! เจ้ากำลังสงสัยในการตัดสินใจของข้าหรอ ผู้อาวุโสฮวง!”

ผู้อาวุโสฮวงยืนขึ้นและเดินออกมาจากฝูงชนในทันที

“ครับท่านผู้นำ!”

“พาหลี่เต๋าหรันไปที่หอหลอมอาวุธและดูแลเขาอย่างใกล้ชิด ฝึกฝนเขาให้ดีและทำให้เขาตระหนักถึงความผิดพลาดของเขา”

“ข้าเข้าใจแล้ว”

หลังจากตอบรับเสร็จ ผู้อาวุโสฮวงก็หันไปมองหลี่เต๋าหรันอย่างเยาะเย้ย

“หลี่เต๋าหรัน เจ้าทำผิดพลาดครั้งใหญ่แล้ว ข้าได้รับแต่งตั้งจากผู้นำนิกายให้ดูแลการลงโทษของเจ้าในหอหลอมอาวุธ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่โทษข้านะ ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดีเลย!”

ผู้อาวุโสฮวงเน้นคำว่า “ดูแลอย่างดี” อย่างชัดเจน สิ่งนี้ทำให้หลี่เต๋าหรันตัวสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ดวงตาของเขาเผยให้เห็นความกลัวทันที

คงจะแปลกถ้าหลี่เต๋าหรันจะเชื่อจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะดูแลเขาอย่างดี การนัดดูตัวของผู้อาวุโสฮวงถูกทำลายลงก็เพราะเขา ด้วยเหตุนี้เอง ผู้อาวุโสฮวงจึงเต็มไปด้วยความโกรธ ตอนนี้เขามีโอกาสแล้ว และเขาก็จะต้องใช้มันในการแก้แค้นอย่างแน่นอน”

หลี่เต๋าหรันจับมือลู่เสี่ยวหรันและอ้อนวอนด้วยความสิ้นหวัง “ผู้อาวุโสลู่ เจ้าจะทิ้งข้าไม่ได้นะ ช่วยข้าร้องขอความเมตตาด้วย ฮือ... ถ้าข้าไปที่หอหลอมอาวุธเป็นเวลาหนึ่งเดือน ข้าก็อาจจะไม่สามารถรอดกลับมาได้ก็ได้นะ”

“เอ่อ…”

พูดตามตรง ลู่เสี่ยวหรันก็ไม่ได้คาดคิดเอาไว้เหมือนกันว่าสิ่งต่างๆ จะกลายมาเป็นแบบนี้

เดิมทีเขาคิดว่ามันเป็นการดีที่คนคนเดียวจะถูกลงโทษมากกว่าคนสองคน มิตรภาพระหว่างเขาทั้งสองมีอายุมากกว่าสิบปีและการลงโทษนี้ก็ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิตเช่นกัน เดิมทีเขาคิดว่ามันจะดีกว่าสำหรับเขาที่จะอดทนกับมันด้วยตัวเอง”

อย่างมากที่สุด เขาก็แค่ต้องเผชิญหน้ากับกำแพงและไตร่ตรองการกระทำของเขาเป็นเวลาสองสามปี

อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าผู้นำนิกายจะทำให้พวกเขาประหลาดใจและลงโทษหลี่เต๋าหรันแทนเขา

นี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงจริงๆ

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คิดอย่างรอบคอบแล้ว เขาก็เข้าใจได้

ด้วยความสำเร็จที่ล้ำลึกของเขาในการสร้างค่ายกล อีกฝ่ายก็จะต้องรักเขาอย่างแน่นอน นิกายอสูรสวรรค์อาจเพียงต้องการจะผูกมัดเขาเท่านั้น แบบนั้นแล้วพวกเขาจะไปเต็มใจลงโทษเขาได้อย่างไร?

อย่างไรก็ตาม ในทำนองเดียวกัน พวกเขาก็ยังทำให้ผู้อาวุโสหลายคนขุ่นเคืองในครั้งนี้ และแม้แต่ผู้นำนิกายก็ยังเสียหน้า ดังนั้นหากพวกเขาไม่พบคนที่จะลงโทษ ทุกคนก็คงจะไม่สบายใจเป็นแน่

ด้วยเหตุนี้เอง แม้ว่าหลี่เต๋าหรันจะไม่ผิด แต่เขาก็ยังไม่สามารถหลบหนีจากการลงโทษไปได้

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ลู่เสี่ยวหรันก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและตบหลังมือของหลี่เต๋าหรัน

“ถ้าเจ้าต้องการอะไรจากข้า เจ้าก็มาเข้าฝันข้าเอานะ”

หลี่เต๋าหรันยังคงต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผู้อาวุโสฮวงก็ได้เดินไปเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มที่น่ากลัวแล้ว เขาคว้าคอเสื้อของหลี่เต๋าหรันและดึงเขาออกมาอย่างแรงราวกับนกอินทรีจับลูกเจี๊ยบ

“เจ้ายังต้องการจะอ้อนวอนขอผ่อนผันอีกหรอ? อย่าว่าแต่เสี่ยวหรันเลย แม้ว่าท่านจักรพรรดิจะเสด็จลงมาในวันนี้ แต่มันก็จะไม่มีใครสามารถช่วยเจ้าได้! เตรียมรับความทุกข์ยากได้เลย!”

หลี่เต๋าหรันตกใจมากจนเกือบทำกางเกงเปียก

เขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “ผู้อาวุโสลู่ ช่วยข้าด้วย ใครก็ได้ช่วยข้าที ม่าย… ข้าไม่ต้องการจะไปที่หอหลอมอาวุธ ข้าไม่ต้องการให้ผู้อาวุโสฮวงดูแลข้า ช่วยข้าเถอะ โปรดเมตตาข้าด้วย”

หลังจากที่หลี่เต๋าหรันถูกผู้อาวุโสฮวงลากออกไป การแสดงออกที่เคร่งขรึมบนใบหน้าของผู้นำนิกายก็หายไปในทันที จากนั้นเขามองไปที่ลู่เสี่ยวหรันและหัวเราะเบาๆ

“เสี่ยวหรัน เจ้าอยู่ในนิกายมาก็นานมากแล้ว แต่ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าความสำเร็จของเจ้าในด้านการสร้างค่ายกลนั้นจะทรงพลังขนาดนี้! มันเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมจริงๆ แม้แต่ข้าเองก็ยังประหลาดใจ”

ลู่เสี่ยวหรันเลิกคิ้วและกล่าวว่า “ท่านผู้นำนิกาย ท่านชมข้าเกินไปแล้ว พรสวรรค์ของเสี่ยวหรันในการฝึกตนนั้นยังไม่เพียงพอเสมอมา ดังนั้นข้าจึงใช้เวลาว่างในการศึกษาค่ายกลเพิ่มเติมเล็กน้อย โชคดีที่ความพยายามของข้าได้ผล”

“แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดและข้าก็ยังไม่สามารถฝ่าค่ายกลออกไปได้ เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของเจ้านั้นไม่ธรรมดา ยังไงก็ตาม เสี่ยวหรัน ชีวิตของเจ้าที่ยอดเขาจื่อฉุ่ยเป็นอย่างไรบ้าง? ถ้าเจ้าต้องการ เราก็สามารถพาเจ้าไปยังยอดเขาที่ใหญ่และสูงกว่าได้นะ”

“มันยังมียอดเขาใหม่ๆ อีกสองสามแห่งที่ทางนิกายยังไม่ได้ทำอะไรกับมัน พวกมันทั้งหมดล้วนสูงและมีพลังวิญญาณมากมาย ตำแหน่งของพวกมันเองก็ดีกว่าและมีแสงแดดส่องมากกว่า ไม่ต้องพูดถึงฮวงจุ้ยของที่นั่นเลย มันยอดเยี่ยมมากเช่นกัน ข้าแน่ใจว่าต้นหญ้าทุกต้นของที่นั่นจะต้องเป็นสีเขียวขจี แบบนั้นแล้วเจ้าอยากจะย้ายไปไหมล่ะ?”

0 0 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด