ตอนที่แล้ววันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0034
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปวันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0036

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0035


บทที่ 14 จัมชิล โซล, ออกล่า (1)

* * *

สถานีประตูมิติกรุงโซล

ดำเนินกิจการคล้ายกับสถานีรถไฟ สนามบิน หรือสถานีรถบัสด่วนพิเศษ จำเป็นต้องผ่านกระบวนการคัดกรองหลายขั้นตอน

ถ้าจะให้บอกความแตกต่างก็คงเป็น เรื่องที่เปิดทำการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง

เวรยามผู้มีหน้าที่เฝ้าทางเข้าประตูมิติ เดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยเปื่อยราวกับไม่มีกะจิตกะใจจะทำงาน

“นี่เพิ่งเริ่มกะ อีกตั้งนานกว่าจะหมด… ไม่ชอบกะดึกเลยให้ตายสิ”

ชายคนหนึ่งในชุดรปภ.สมัยใหม่ บ่นพึมพำกับรปภ.รุ่นน้องด้านข้าง

“แต่ผมกลับคิดว่างานแบบนี้หาเงินง่ายดี กะกลางคืนไม่ค่อยมีอะไรให้ทำอยู่แล้ว”

“แต่ว่า… พูดตามตรงนะ มันเข้าท่าแล้วหรือที่จะใช้แค่สองคนคอยปกป้องเจ้านี่?”

รปภ.แม่นปืนใช้นิ้วโป้งชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง

ประตูมิติขนาดใหญ่ด้านหลังกำแพง

“นายก็รู้ว่าฝั่งตรงข้ามมีอะไร โลกที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดยังไงล่ะ! แล้วทำไมถึงให้เฝ้ายามแค่สองคน? เห็นเราเป็นโล่เนื้อรึไง?”

“งานของเรามีแค่ยืนยามเองนะครับ แถมอีกฝั่งก็ยังมีเบสแคมป์ และไม่ไกลจากที่นี่ก็ยังมีค่ายทหารพิเศษ”

“แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเราคือโล่เนื้อ! ไม่เข้าใจระบบการแบ่งงานจริงๆ ชีวิตคนทั้งที แต่รัฐบาลกลับไม่ยอมเอาใจใส่ จะทุจริตก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยไม่ได้รึไง?”

“จริงอยู่ที่ชีวิตของพวกเรามีความเสี่ยง แต่ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะละเลยแค่พวกเราสักหน่อย ทุกอาชีพก็เดือดร้อนเหมือนกันหมด… ในตลาดแรงงานที่หางานทำได้ยากอย่างทุกวันนี้ ผมพอใจกับงานของตัวเองแล้ว… พวกเขายังสัญญาด้วยว่าจะปรับปรุงให้ดีขึ้น…”

“ได้ยินว่า OWIC ไม่คิดจะพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์ตั้งแต่แรกแล้ว เอาแต่สานสัมพันธ์กับเอเลี่ยนอีกฝั่ง”

“ยังเชื่อเรื่องนี้อยู่อีกหรือครับ… นั่นมันทฤษฎีสมคบคิดที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลกุขึ้น”

“จะบอกว่าเป็นการป้ายสี? พวกมันต่างหากที่พยายามทำให้เรื่องนี้เป็นแค่ทฤษฎีสมคบคิด! พยายามใส่ร้ายกลุ่มที่เชื่อให้เป็นคนโง่!”

รปภ.รุ่นน้องหัวเราะคิกคักราวกับอีกฝ่ายไม่ใช่รุ่นพี่

“ถ้าถูกจับได้ว่าแอบคุยในเวลางาน เราอาจโดนตำหนิได้ ผมขอกลับไปประจำตำแหน่งก่อน…”

ทันใดนั้น

“…?”

รปภ.รุ่นน้องหันหน้าไปทางประตู

รปภ.แม่นปืนพึมพำด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ก่อนจะพบว่ารุ่นน้องกำลังจ้องตนด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

ในเวลาเดียวกัน ชายคนหนึ่งเดินผ่านพวกมันไป

ผมยาวมัดหางม้าสั้น สวมแจ็กเกตที่ค่อนข้างยาว สะพายกระเป๋ากีฬาใบใหญ่กว่าปรกติ

“มีอะไร?”

“เมื่อครู่… รุ่นพี่มึนหัวไหมครับ? ผมเกือบจะล้ม”

“นายเป็นโลหิตจางรึเปล่า?”

“ไม่ครับ… อึก…”

รปภ.รุ่นน้องใช้มือจับศีรษะ

เราเป็นอะไรไป? ความรู้สึกประหลาด เวียนหัวเล็กน้อย

แม้จะกวาดสายตาไปรอบตัว แต่ทุกสิ่งยังเป็นปรกติ

ถ้าจะมีอะไรแปลก ก็คงเป็นชายที่แต่งกายคล้ายนักสำรวจที่เพิ่งเดินผ่านไป

“…ผมได้กลิ่น… กลิ่นบุหรี่หวานๆ”

เพิ่งได้กลิ่นหลังจากชายคนนั้นเดินผ่าน

แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อีกฝ่ายอาจใช้น้ำหอมกลิ่นพิเศษ

ทันทีที่รปภ.รุ่นพี่ได้ยิน มันกล่าวเสียงขรึม

“…ไม่ใช่ว่าโอวิคเริ่มฉีดแก๊สสะกดจิตแล้วหรือ? ถ้าเป็นพวกมันล่ะก็ทำได้แน่…”

“ให้ตายสิ ผมต้องทนฟังทฤษฎีสมคบคิดของรุ่นพี่ไปอีกนานแค่ไหน?”

ด้วยอาการโซเซ รปภ.รุ่นน้องกล่าวพลางมองแผ่นหลังชายที่เพิ่งเดินผ่าน

* * *

แก๊สสะกดจิต?

เซนส์แรงชะมัด

หลังออกจากประตูมิติ ฉันหยิบบุหรี่มวนใหม่ออกมาถือ

ดอกไม้ที่ทำให้ผู้คนเห็นภาพหลอน ของขวัญจากฮาวนด์ที่ลอบจู่โจมสำนักงาน

พวกมันคิดว่าฉันคงไม่รู้จักดอกไม้ และนั่นผิดมหันต์

ได้ยินมาจากลิลี่ ชาวต่างโลกเรียกดอกไม้ดังกล่าวว่า ‘ปีศาจฝัน’

สรรพคุณของมันคือการพ่นสารบางอย่างที่ทำให้เกิดอาการประสาทหลอน

แต่เมื่อโดนความร้อน สารดังกล่าวจะออกฤทธิ์ช่วยทำให้จิตแข็งขึ้น

อาศัยหลักการข้างต้น ฉันสร้างบุหรี่ที่มีโครงสร้างพิเศษขึ้นมา

“ลงเอยด้วย มันจะทำให้คนรอบข้างขาดการรับรู้ถึงตัวตนของฉันชั่วคราว และยังช่วยเสริมสภาพจิตใจให้ฉันอีกเล็กน้อย”

หลักการในเชิงลึกค่อนข้างซับซ้อน

ทำไมอาการประสาทหลอนถึงช่วยให้ฉันพรางตัวจากสายตาคนรอบข้าง?

เรื่องนั้นไม่สำคัญ

สำคัญที่สรรพคุณของมันมีประโยชน์กับฉันมาก

ครุ่นคิดสักพัก ฉันเก็บบุหรี่กลับและเตรียมออกเดินทางไปยังย่านจัมชิล

ขณะตรวจสอบความพร้อมอุปกรณ์พลางเดินผ่านป้ายแท็กซี่

“คุณครับ! คุณ!”

ชะงักฝีเท้า ฉันหันไปมองตามเสียงเรียกและเห็นแท็กซี่คนหนึ่ง

“คุณจะไปไหนครับ?”

“…”

การถูกแท็กซี่เรียกคือเรื่องปรกติในสนามบินหรือสถานีรถไฟ

ไม่อยากเชื่อว่าจะลามมาถึงที่นี่ด้วย…

เฉกเช่นก่อนที่จะถูกลากเข้าไปในต่างโลก ฉันทำเป็นเมินและเดินผ่าน

จนกระทั่ง

“คุณจะไปย่านจัมชิลใช่ไหม”

น้ำเสียงฟังดูปรกติ

ฉันชะงักฝีเท้าอีกครั้งและหันกลับไปมอง

“มาด้วยกันไหม? ผมกำลังจะขับไปย่านจัมชิลเหมือนกัน กะว่าเป็นเที่ยวสุดท้ายก่อนส่งรถ”

“…”

เขารู้ได้ยังไงว่าฉันจะไปจัมชิล?

ไตร่ตรองสักพัก ฉันยอมขึ้นแท็กซี่

คนขับรถเริ่มชวนคุยเรื่อยเปื่อย

ฉันไม่ได้บอกว่าให้ไปส่งที่ไหน จอภาพหน้ารถก็ไม่ได้เปิดเนวิเกชั่น ไม่สิ จอภาพกำลังดำสนิท

มิเตอร์ค่าโดยสารก็ดำสนิทเหมือนกัน

“ให้ตายสิ… ไม่ได้ล้อกันเล่นใช่ไหม”

อีกฝ่ายเริ่มพูดคนเดียว

“กล่องดำเสียได้ยังไง? วู้ว… ซ่อมแพงอีกแล้ว”

“…”

“ระบบเนวิเกชั่นทุกวันนี้ก็ห่วยแตก…”

ฉันนั่งฟังคนขับบ่นลอยๆ โดยไม่ตอบโต้

ใช้เวลาประมาณสี่สิบนาทีก็มาถึงจัมชิล

ในเมื่อคนขับไม่ได้เปิดมิเตอร์ ฉันจึงถือกระเป๋าและก้าวลงจากรถทันที

“คุณครับ”

คนขับเรียกฉัน

“อย่าเดินบนถนนใหญ่… เห็นตลาดค้าส่งแดซองตรงฝั่งข้ามไหม? ข้ามถนนและเดินเข้าไปในซอยดีกว่าครับ”

“…ทำไม?”

“ช่วงนี้ตลาดค่อนข้างเงียบ บรรยากาศดีมาก ผมชอบไปเดินเล่นในนั้นบ่อย ขับรถนานๆ ก็ต้องยืดเส้นยืดสายกันบ้าง”

หลังจากปิดประตูหลัง แท็กซี่ขับออกไปทันที ป้ายไฟบนหลังคารถดับลง

เดินเข้าไปในซอยข้างตลาดตามที่คนขับบอก ซอยนี้เชื่อมกับเส้นทางที่นำไปสู่ภูเขา

เมื่อเดินถึงสี่แยกสุดท้าย ฉันเห็นคนงานกำลังปีนบันไดซ่อมกล้องวงจรปิด

…ตอนสี่ทุ่มเนี่ยนะ

“อ๊ะ! ขอโทษครับ แต่ช่วยอ้อมไปทางนั้นแทนได้ไหม? ไปดีมาดีนะครับ~”

ขณะฉันแหงนหน้ามอง คนงานที่กำลังถอด CCTV พูดด้วยเสียงสดใส

“กล้องตัวนี้จะซ่อมเสร็จประมาณหกโมงเช้าของพรุ่งนี้ครับ ขออภัยในความไม่สะดวก”

หมายความว่า ถ้าฉันสะสางให้เสร็จและย้อนกลับทางเดิมก่อนหกโมงเช้า ก็ยากที่จะถูกแกะรอย

“…โลกหมุนไปขนาดนี้แล้วหรือ”

ประตูมิติเปิดออก มีบริษัทหนึ่งเข้าควบคุม เป็นบริษัทที่ค่อนข้างใหญ่

ฉันเคยได้ยินมาแค่นั้น และบันทึกไว้ในสามัญสำนึกมาตลอด

เฉกเช่นที่ชาวโลกประเมินต่างโลกต่ำเกินไป ฉันก็คงประเมินโลกมนุษย์ต่ำเกินไปเช่นกัน

สงสัยต้องขอข้อมูลเพิ่มจากชาโซฮี จินซอยอนด้วย

“…ไม่สิ ถามจองจีฮุนอาจจะดีกว่า”

ดูเหมือนว่าหมอนั่นจะรู้ลึกที่สุด

แต่นั่นยังไม่ใช่ประเด็นที่ต้องเก็บมาคิด

กร็อบแกร็บ!

บนสันเขา บนหน้าผาหิน

ฉันซ่อนตัวในพุ่มไม้ฝั่งตรงข้าม เป้าหมายการล่าอยู่ไม่ห่างออกไป

หลับตาลง

“ธาม-ทัตซาTham-tatha”

การใช้งานครั้งที่สาม

สองครั้งก่อนหน้า ฉันตัดทุกการรับรู้ออกจนเหลือเพียงหนึ่งเดียว

แต่คราวนี้

ฉันยืมทัศนวิสัยของนกกระจอกที่บินอยู่เหนืออาคารและกำลังก้มมองเพดาน

ชายสองคนกำลังยืนสูบบุหรี่

ฉันแอบฟังบทสนทนาโดยยืมโสตประสาทของนกนางแอ่นที่เกาะข้างหน้าต่าง

ทุกคืนจะมีเวรยามสามคน ได้ยินว่าสองคนคอยเฝ้าซอจีอา ส่วนอีกคนคอยเฝ้าด้านนอก

นอกจากนั้น ฉันยืมประสาทสัมผัสเท้าของหนูที่วิ่งไปตามช่องว่างกำแพงและเพดาน

อาคารสูงสี่ชั้น ห้องใต้ดินหนึ่งชั้น

แต่ละชั้นมีแปดห้อง โครงสร้างเป็นแบบระเบียงทางเดิน ห้องด้านในสุดเสียหายและมีน้ำขัง

จะเริ่มลงมือในอีกสามชั่วโมง

เตรียมตัวก่อนล่าหนึ่งชั่วโมง

ระยะเวลาในการล่ายี่สิบนาที

* * *

ช่วงเช้ามืดที่ท้องฟ้ายังเป็นสีดำ

บนหนังสือพิมพ์มีหม้อรามยอนและแก้วโซจูวางกระจัดกระจาย ฮาวนด์ร่างใหญ่กำลังกระดกขวดในรวดเดียว ส่วนฮาวนด์ร่างเล็กกำลังใช้มือสะกิดซอจีอา

“…”

ซอจีอาที่กำลังนอนอยู่บนพื้น ดูเหมือนจะไม่หายใจแล้ว

“ตายหรือยัง?”

“จับชีพจรสิ”

“ผมจับไม่เป็น”

“เฮ้อ… ไอ้โง่เอ้ย! ชีพจรเอลฟ์อยู่ตรงไหนนะ? ต้นขา?”

“ไม่ใช่ครับ”

“นังนี่สักมาด้วยหรือ? รอยสักของต่างโลก…”

ฮาวนด์ร่างใหญ่แสยะยิ้ม

“ไม่เคยเอะใจเลยว่าไม่ใช่มนุษย์”

“บางทีหล่อนก็ทำอะไรแปลกๆ … เช่นตอนที่กินแฮมเบอร์ด้วยตะเกียบ ผมคิดว่าเป็นแค่ไอ้บ้านนอกหรือไม่ก็ชาวต่างชาติ เพราะหน้าตาหล่อนก็ค่อนข้าง… ทำให้พวกเราไม่เคยสงสัย”

“พวกเราโง่เองมากกว่า”

“ใครจะไปคิดว่าเป็นชาวต่างโลก? ไม่สิ ลูกพี่ นังนี่เรียนภาษาเกาหลีจากไหน? แถมยังพูดอังกฤษได้ด้วย”

“ฉันจะรู้ได้ยังไง? ชิ! นังตัวแสบนี่ไม่ยอมบอกรหัสผ่านตู้เซฟจนวินาทีสุดท้าย น่าหงุดหงิดจริงๆ”

“ลูกพี่ พวกเราเอาไงต่อดี?”

ฮาวนด์ร่างใหญ่โยนบุหรี่ลงพื้นและกล่าว

“ฉันบอกให้ลูกพี่เรียกล็อกพิกเกอร์*มาแล้ว” (Lock Picker)

“ไอ้วิปริตที่คลั่งการไขตู้เซฟต่างโลกน่ะหรือ?”

“มันจะมาถึงพรุ่งนี้ช่วงเย็น ถ้ายังเปิดไม่ได้ค่อยมาคิดกันใหม่ เพราะยังไงพวกเราก็มีงานต้องทำก่อนหน้านั้น”

“งาน?”

“แวมไพร์ไง เจ้าโง่”

“อ้อ”

ฮาวนด์ร่างใหญ่หยิบบุหรี่มวนที่สองออกมา

แชะ! แชะ!

ขณะเสียงไฟแช็กดังสองสามหน

เปรี้ยะ!

ฟุ่บ!

หลอดไฟกะพริบหนึ่งครั้งและดับสนิท เสียงเครื่องปั่นไฟสำรองในห้องใต้ดินดังขึ้นครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็เงียบไป

ฟุ่บ!

มันได้ยินเสียงแผ่วเบาของบางสิ่งดังมาจากกำแพง

“เฮ้ย! ไอ้งั่ง รีบลงไปเอากล่องฟิวส์มาเปลี่ยน! ถึงจะดับไม่นาน แต่เราอาจมีปัญหาได้”

ด้วยอาการแตกตื่น ฮาวนด์ตัวใหญ่เผลอทำบุหรี่และไฟแช็กหล่น

แกร่ก กึก แกร่ก กึก แกร่ก!

“…?”

ท่ามกลางเสียงไฟแช็กกลิ้ง เสียงฝีเท้าของบางสิ่งดังปะปน

ไฟดับกะทันหัน ผนวกเสียงฝีเท้าประหลาด

จริงอยู่ อีกฝ่ายอาจเป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊ง แต่มันอดไม่ได้ที่จะขนลุก

เสียงฝีเท้าที่กำลังดัง แตกต่างจากเสียงเท้าคนปรกติเล็กน้อย

มันรีบมองไปทางลูกน้องด้วยความกระวนกระวาย

“เฮ้ย! ไอ้งั่ง ทำไมไม่ขานตอบฉัน? พอไฟดับก็ทำตัวปัญญาอ่อนอีกแล้ว…”

คำพูดชะงักกลางคัน

ท่ามกลางแสงจันทร์สะท้อน ลูกน้องกำลังนั่งจ้องมองมันด้วยดวงตาเบิกโพลง

ปากอ้ากว้าง ลิ้นจุกปาก ริมฝีปากพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่ง

แต่ก็ไม่มีเสียงใดออกมา

“ค่อก!”

ท้ายที่สุด สิ่งที่พ่นออกจากปากไม่ใช่เสียง แต่เป็นเลือดคำใหญ่

ฮาวนด์ตัวโตยืนจ้องลูกธนูไม้ที่ปักลำคออีกฝ่ายด้วยดวงตาสั่นเทา

“เฮ้ย! บัดซบ…”

โดนจู่โจม?

ไม่มีฮาวนด์แก๊งไหนขัดแย้งกับพวกมัน

ซอจีอารักษาความสัมพันธ์ได้ค่อนข้างดี แม้จะไม่มีมิตร แต่ก็ไม่มีศัตรู

ไม่มีทางที่บุคคลภายนอกจะรู้สถานการณ์ปัจจุบันของซอจีอา

ไม่สิ ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่คือแหล่งกบดานของเธอ

แม้แต่ OWIC ก็จนปัญญา

กึก!

เสียงฝีเท้ากะทันหันดังขึ้น มันตกใจจนต้องหันไปมอง

แสงจันทร์เจือจางส่องผ่านหน้าต่าง สะท้อนกับพื้นห้อง

นั่นคือแหล่งกำเนิดแสงเพียงแห่งเดียวที่เหลืออยู่ มันจึงยังไม่ทราบตัวตนของผู้มาเยือน

แต่ที่แน่ชัดก็คือ อีกฝ่ายไม่ใช่ฮาวนด์ที่ตนรู้จัก

“…แกเป็นใครวะ!”

ทางนั้นไม่ได้ปรี่เข้ามาพร้อมอาวุธ และไม่ได้พยายามย่องเงียบ

เป็นย่างก้าวที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจ

ฮาวนด์ร่างใหญ่ตกตะลึงจนมิอาจตอบสนองได้ตามปรกติ

ฉากตรงหน้าดูไม่จริงจนยากจะทำใจเชื่อ

กึก กึก!

อีกฝ่ายเดินอย่างสบายใจจนถึงกลางห้อง

สมองของฮาวนด์ที่ชะงักไปชั่วขณะ กลับมาประมวลผลได้อีกครั้ง

“ไอ้เวรเอ้ย! แกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง…!”

มันคว้ามีดแล่ปลาด้านข้างและปรี่เข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง

ระหว่างนั้น ผู้มาเยือนก้มหยิบไฟแช็กที่ตกอยู่บนพื้น

ด้วยอากัปกิริยาผ่อนคลาย

แชะ แชะ!

จากนั้นก็หายตัวไป

ฮาวนด์ร่างใหญ่รู้สึกประหนึ่งโลกหมุน

ศีรษะวิงเวียนกะทันหัน ทิวทัศน์มีสีสันฉูดฉาด

“…?”

บนพื้นไม่ไกลออกไป มันเห็นร่างกายตัวเอง

ร่างที่ไร้หัว

“เฮือก…?”

ไม่มีโอกาสได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ราวกับมันไม่มีสิทธิ์นั้น

ชายปริศนาทำเพียงเช็ดเลือดบนมีดด้วยกางเกงและเดินออกจากห้อง

______________________

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์

ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:

https://www.facebook.com/bjknovel/

หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel

5 2 โหวต
Article Rating
2 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด