ตอนที่แล้วบทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 16 หมาป่าและหนังสือเชื้อเพลิง ( Wild Wolf and Fuel Book )
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 18 การปิดล้อมที่โฟลิก ( Siege of Folic ) (1)

บทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 17 ภายใต้พระพิโรธของพระองค์ (Under Wrath of God)


ภายใต้พระพิโรธของพระองค์

 (Under Wrath of God)

ราชอาณาจักรทูเดีย เมืองโฟลิก ภายใต้การปกครองของกองกำลังอาณานิคม

ผ่านมาได้เกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว หลังจากเข้ายึดเมืองโฟลิกอันสำคัญ รางบางในห้องทำงานของเจ้าเมืองคนก่อนนั่งฟังสหายอาณานิคมด้วยความเครียด ผ่านมานานขนาดนี้เจ้าตัวก็ยังไม่ได้รับข้อความใดๆจากทัพหลักของเขา ความกังวลของลาสและทหารอาณานิคมมากขึ้นเรื่อยๆ แถมตอนนี้ข่าวลือที่ว่าชาวลีโอเนียกำลังหักหลังพวกเขาก็กำลังกระจายไปทั่วกองกำลังอาณานิคม แต่ถึงอย่างนั้นเหล่าผู้บัญชาการก็สามารถสร้างกำลังใจให้เหล่าทหารได้อยู่

ช่างน่าแปลกที่ชาวเมืองโฟลิกกลับสามารถใช้ชีวิตได้ปกติสุข หากได้เหมือนถูกยึดครองไม่ แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่ไม่ดีอยู่บ้าง อย่างการปล้นของทหารบ้างกลุ่ม หรือแม้แต่พยายามขมขื่นหญิงชาวทูเดีย แต่ก็ถูกควบควุมในบริเวณที่ชาวเมืองรับได้ ทหารผู้ใดที่ทำเรื่องที่ไม่ดีถูกลงโทษอย่างรุงแรง แต่ในขณะเดียวกันชาวเมืองที่มีท่าทีที่จะก่อความวุ่นวายก็ถูกเก็บกวาดอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตามที่ชาวเมืองสามารถมาใช้ชีวิตปกติได้นั้น ก็เป็นเรื่องที่แปลกใหม่สำหรับหลายๆคน ฝีมือนั้นก็มิใช่ใครไหนไกลแต่เป็น ผู้นำกองกำลังอาณานิคมนั้นเอง แน่นอนว่าดักลาสนั้นไม่ได้ถนัดการเป็นทหารนิยมอยู่แล้ว พอตััวเขาได้ปกครองเมืองโฟลิก ลาสก็เริ่มจัดการทุกอย่างใหม่หมด ชายหนุ่มทำตัวเสมือนว่าเป็นเจ้าเมืองทั่วไปของอาณาจักรทูเดีย จัดการบริหารบ้านเมืองเหมือนกับว่าเมืองโฟลิกที่พึ่งถูกยึดครองโดยทหารต่างชาติ เป็นเพียงเหมือนแค่การสับเปลี่ยนเจ้าเมืองผู้ปกครองเท่านั้น

ลาสยกมอบอริสระในกับกิจกรรมทุกอย่างแก่ชาวเมืองโฟลิก ซึ่งขอสิ่งตอบแทนเพียงแค่ความร่วมมือที่ดี เมืองโฟลิกเป็นเมืองที่เน้นไปด้านประเภทไมและการค้ามากกว่าไร่นาซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกเป็นส่วนมาก สิ่งเดียวที่ขัดขาของเขาอยู่ก็คือเงินที่มีจำกัดและทูเดียก็ใช้เงินสกุลเงินต่างจากลีโอเนีย การทำให้เลือดของเมืองเดินอีกครั้งก็คงต้องให้พ่อค้าแม่ค้าติดต่อค้าขายได้ตามปกติ แน่นอนว่ามันอันตรายอย่างมาก พวกพ่อค้าเหล่านี้สามารถเผยแพร่เรื่องราวเมืองโฟลิก หรืออาจจะขายข้อมูลก็เป็นไปได้ แต่าสซึ่งตอนนี้ไม่มีทั้งเงินทุนหรือกองหนุนซึ่งเป็นกองกำลังหลักก็ไม่มา ผิดแผนทุกอย่างจนลาสได้แค่กุมท้องน้อยที่ปวดเพราะความเครียด

ขณะที่ลาสกำลังนั่งวางแผนอยู่นั้น เสียงประตูห้องดังจนร่างบางบนเก้าอี้ถึงกับสดุงด้วยความตกใจเล็กน้อย ถูกเปิดด้วยมืออย่างรุนแรงของ ชายชาวโดสสเลเลน อัมลักเป็นผู้ที่เปิดประตูบานนั้นเอง เขาเดินตรงมาข้างหน้าลาสด้วยใบหน้าที่จริงจัง ซึ่งเป็นใบหน้าที่ปกติสุดของอัมลัก ขนาดที่ว่าใบหน้าที่อ่อนโยนแทบไม่เคยได้พบเจอ ลาสที่ตกอยู่ภายได้ความคิดก็ถูกเรียกสติ ด้วยนํ้าเสียงอันดุดัน

แนวป้องกันทุกทิศสร้างเสร็จหมดแล้วเหลือเพียงแค่ฝั่งแม่นํ้าส่ายหลักเท่านั้น

' อย่างน้อยก็มีข่าวดีๆอยู่บ้าง ' ลาสยิ้มออกมาเล็กน้อยแต่ก็ไม่มีใครสังเกต หากตัวเขาไม่มีใครสนับสนุนก็ต้องกำลังสนับสนุนขึ้นมาเอง ต่อให้เริ่มต้นจากศูนย์ก็ตาม

……

.

.

.

.

.

.

ฤดูหนาวในทูเดียนั้นมีเพียงแค่ลมหนาวเย็นและใบไม้ที่ลงร่วงโรย ลดพัดลงใต้แต่สิ่งที่ต้านลมหนาวนั้นคือเกาะสีขาวอันสูงส่ง อัศวินม้าขาวในนิทานพร้อมอาวุธประจำตัวของพวกเขา ธงสีนํ้าเงินเข้มพร้อมตราสัญลักษณ์รูปมงกุฎที่ถูกถือด้วยนางฟ้า อันเป็นตราประจำชราชวงศ์แฟแลงซ์ แต่ธงนั้นไม่ได้ใหญ่เท่ากับ ผืนธงสีขาวที่ชู่อย่างโด่ดเด่นสูงยิ่งกว่าธงราชวงศ์แฟงแลงซ์ หนึ่งในกลุ่มอำนาจในอาณาจักรแฟแลงซ์อันศักดิ์สิทธิ์ผู้ปกครองโดยเทวาธิปไตย ศาสนจักรแห่งพระเจ้าที่แท้จริง และสาวกของพระองค์

ข้างในกลางขบวนกองทัพของแฟแลงซ์ ผู้ถือธงศาสนจักร นักบวชแห่งสงคราม นักแสวงบุญ ผู้ศรัทธาในคำสอนที่แรงกล้า และ ผู้นำกองกำลังแห่งนี้ กลุ่มหญิงสาวในชุดนักบวชสุขาวสะอาด นักบุญแห่งแสงและสตรีศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่านักบุญผู้ติดตามจะไม่ใช่เผ่ามนุษย์พวกเธอหากเป็นเผ่าซองทูอา(1) ยกเว้นเพียงสตรีศักดิ์สิทธ์ที่เป็นมนุษย์

หญิงงามผู้มีสีผมสีบลอนด์ประกายทอง ในคราบอัศวินอันสูงส่ง นามของเธอคือ มิราเบลล์ เดอ ฟลอริเต้ ( Mirabell de Florité) สตรีศักดิ์สิทธิ์คนปัจจุบัน

ในอดีตของแฟแลงซ์ว่ากันว่าเหล่าผู้ศรัทธาทั้งหลายถูกกดขี่มาอย่างยาวนานนับพันปีโดยอดีตคนเถื่อนในแฟแลงซ์ ผู้ใดที่มีความศรัทธาต่อพระเจ้า ผู้นั้นต้องถูกทำโทษอย่างรุงแรง เหล่าผู้ศรัทธาต่างอ้อนวอนต่อสรวงสวรรค์ขอพลังให้หลุดพ้นจากเหล่าคนเถื่อน พระเจ้าของพวกเขารับคำร้อง พระองค์มอบพลังให้เหล่าผู้ศรัทธาที่แรงกล้า และหนึ่งในผู้นำที่ได้รับพลังอันยิ่งใหญ่คือหญิงพรหมจารี(Maiden)คนหนึ่งนามคือ แคโรไลน์ (Caroline) สตรีศักดิ์คนแรกของแฟแลงซ์ เธอเป็นชาวบ้านทั่วเพียงแค่เธอมีแรงศรัทธาที่ใหญ่กว่าร่างกาย เธอนำผู้ศรัทธาขับไร้คนเถื่อนออกจากดินแดนได้สำเร็จก่อนจะช่วยสถาปนาอาณาจักรแฟแลงซ์และก่อตั้งศาสนจักร

แคโรไลน์มิได้มีคู่ครองแต่อย่างไร นั้นจึงทำให้ในช่วงแรกที่เธอได้จากไป เกิดความวุ่นวายในอาณาจักร จนกระทั่งอัครมุขนายกองค์แรกค้นพบว่า ผู้ที่มีพลังของพระองค์อันสูงส่ง ไม่จำเป็นต้องสืบสายเลือด พวกเขากล่าวต่อมาว่า ผู้สืบทอดพลังอันยิ่งใหญ่นั้นคือผู้ที่สามารถใช้บทเวทศักดิ์สิทธิ์ในพระคัมภีร์ได้ และสตรีศักดิ์ในปัจจุบัน มิราเบลล์ ก็คือผู้ถือครองพลังนั้นอยู่

“ท่านเจ้าข้า” นักบวชหญิงกล่าว “เหตุใดกัน… ที่องค์มุขนายกจึงได้กล่าวว่าเมืองโฟลิกอันห่างไกล ห่างเกินกว่าแนวหน้ามากโข ถูกปีศาจครอบงำได้กันเจ้าค่ะ”

“ท่านมุขนายกคงจะเห็นนิมิตสวรรค์ลิขิต” มิราเบลล์ชะงัก “หากแต่ตอนแรกเรามิอาจเชื่อได้ว่าเมืองโฟลิกจะถูกยึดภายในวันเดียว…”

“พระเจ้าทรงโปรด! ช่างน่าแปลกที่ชาวเมืองโฟลิกไม่ถูกพวกมันปล้นสะดม เอาเถอะเพราะเช่นนั้นพวกเราถึงได้มาปลดปล่อยเมืองโฟลิกและลงทัณฑ์พวกนอกรีต พระองค์ยังคงอยู่ข้างเราเสมอ” นักบวชหญิงเผ่าพันธุ์ซองทูอากล่าว

กลุ่มผู้ศรัทธาอันแรงกล้าจากเมืองโฟลิก ที่อ้างว่าหนีออกมาในขบวนพ่อค้า สร้างความแปลกใจให้กับชาวแฟแลงซ์อย่างมาก ไหนจะมีการคุมกันพ่อค้าที่ต้องการออกจากเมืองหรือไปค้าขายที่เมืองอื่น จากปากคำเล่าของผู้หลบหนี กล่าวไว้มากมาย แม้ว่าจะเป็นข้าศึกที่ยึดครองเมืองโฟลิกอยู่ พวกมันกลับให้โอกาสในการใช้ชีวิตปกติ ในคราวแรกหลายคนก็คิดเช่นเดียวกับชาวแฟแลงซ์ว่ากองกำลังเหล่านี้เป็นเพียงแค่โจรจำนวนมากที่ฉวยโอกาสในช่วงสงครามเข้ายึดเมือง แต่ธงลีโอเนียนั้นไม่สามารถหลอกลวงได้ ไหนจะอาวุธที่ทันสมัยเกินกว่าที่โจรในทูเดียจะสามารถหามาได้ การศึกสงครามที่เหมือนกับทหารแท้ๆ ช่างน่าแปลกเหล่านักบวชคิดสงสัย

“จะอย่างไรก็ตาม เมืองโฟลิกก็เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรทูเดีย หน้าที่ของเราคือปลดปล่อยเมืองโฟลิกและมุ่งสู่เมืองหลวงทาเดีย” มิราเบลล์ไม่ได้รู้สึกถึงความสูญเสียของผู้ที่นำสารมาบอกกล่าว

จริงแท้แน่หรือที่เหล่าผู้นอกรีตจะเป็นผู้ใจกว้าง มิราเบลล์เคยพบเจอเหล่าผู้ที่ไม่ได้นำถือพระองค์ แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีความชั่วร้ายแต่อย่างใด เธอเองก็ลังเลหลายครั้งเช่นเดียวกัน แต่หญิงสาวก็มิได้เผยให้เห็นถึงความลังเลของเธอไม่ มิราเบลล์ยังคงมีความเชื่อมันในหลักคำสอนอย่างแรงกล้า

อีกไม่นานกองทัพศักดิ์สิทธิ์ก็จะเดินทางถึงเมืองโฟลิก สู้เข้าเวลาทั้งหมดไปใช้กับการศึกเสียจะดีกว่า มิราเบลล์คิดเช่นนั้นก็ใช้สายตาจับจ้องไปข้างหน้า หลังเนินเล็กข้างหน้าเธอค่อยลดลงเผยให้เห็นถึงเมืองขนาดกลางด้านหลังมีแม่นํ้าไหลผ่าน แต่ส่วนข้างนั้นเป็นกำแพงไม้อันแข็งแรง ข้างหน้ากำแพงมีหลุมเพลาะยาวลากเป็นสองแนว

ใบหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นคนเย็นช้าทันที สายตาจับจ้องไปยัง ธงที่โบกสะบัดท่ามกลางเมืองอันสวยงาม มันคืแธงของสหจักรวรรดิลีโอเนีย จักรวรรดิผู้รุกรานราชอาณาจักรทูเดียและศัตรูต่ออาณาจักรแฟแลงซ์ศักดิ์สิทธิ์

ขณะที่สตรีศักดิ์สิทธิ์กำลังคิดอยู่นั้นเสียงเรียกของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น

“ท่านเจ้าข้า” ชายในชุดขุนนางของอาณาจักรกล่าว “พวกมันน่าจะทราบว่าเรามา นักเวทของข้าตรวจสอบแล้วว่ามันประจำการในแนวป้องกันอยู่เต็มไปหมด พวกเราไม่สามารถเข้าตียึดได้ทันทีขอรับ”

“ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์โปรดสั่งให้ปิดล้อมเมืองโฟลิกเสียดีกว่า” นักบวชหญิงเผ่าพันธุ์ซองทูอากล่าวแนะ

“ให้เหล่าผู้ศรัทธาได้ลุกขึ้นต่อต้านพวกนอกรีต จากนั้นพวกเราจะเข้าปลดปล่อยชาวเมือ--”

ไม่ทันได้กล่าวจบก็ถูกขุนนางแฟแลงซ์เถียงกลับ “เจ้าจะให้ชาวเมืองต้องเสียตกตายเป็นตัวล่องั้นหรือ!?”

“แล้วท่านจะให้ทำเช่นไร” นักบวชหญิงส่ายหน้าพูด การที่ให้เมืองโฟลิกเกินความวุ่นวายเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพอย่างมาก การที่ผู้ป้องกันต้องถูกชาวเมืองต่อต้านและยังต้องสู้อีกฝั่งของแนวป้องกัน สามารถทำให้แนวป้องกันแตกได้

“เราขอบคุณคำแนะนำของขท่าน มาร์ควิส ฟราสโก้ แต่เราคือผู้ควบคุมกองกำลังในคราวนี้เราจำเป็นได้ยึดเมืองโฟลิกโดยเสียหายน้อยที่สุด”  มิราเบลล์ก้มหัวขอโทษขุนนาง ก่อนเริ่มตะโกนสั่งทุกคน

“จงฟังเรา เหล่าสาวกแห่งแสง ผู้ปฏิญาณต่อพระองค์ผู้สูงส่ง จงปลดปล่อยผู้ศรัทธาข้างในเมืองแห่งนั้นพระเจ้าประสงค์สิ่งนั้น และพวกเราสาวกอันเลื่อมใสจะปฏิบัติตามบัญชาของพระองค์! แสดงให้พวกเหล่าผู้ลงในความมืด แสดงให้พวกเขาได้เห็นแสงอันอบอุ่นของพระองค์ หากพวกเขาเชื่อมั่นในลักธินอกรีตเราจะทำให้พวกเขาตาสว่าง หากไม่! การลงโทษจากสวรรค์ จักปฏิเสธมิได้ ขอพระเจ้าทรงโปรด! ให้อภัยเหล่าลูกแกะที่หลงผิดเหล่านั้น!!

“เคลื่อนพลปิดล้อมเมืองโฟลิก!!”

เจ้าทรงโปรด!! โอ้!!!! ตึงๆ

 กลองศึกถูกตีเป็นจังหวะ พร้อมเสียเท้าและอาวุธเหล็กกล้า เยียบยําไปทั่วพื้นแผ่นดินด้วยความดุดั่น เพื่อกำจัดสิ่งชั่วร้ายให้ออกจากดินแดนแห่งนี้ เพื่อปลดปล่อยเหล่าผู้ศรัทธาในคำสอนของพระองค์

……

.

.

.

.

.

.

ในทางตรงกันข้าม หลังจากที่กองกำลังของสตรีศักดิ์สิทธิ์ตั้งค่ายเสร็จไปแล้ว

ลาสใช้กล้องส่อง จับจ้องกำลังของอาณาจักรแฟแลงซ์อันศักดิ์สิทธิ์ เต็นท์ทหารสีขาวถูกจัดตั้งห่างออกจากแนวป้องกันโฟลิกพอสมควร กำแพงป้องกันแคมป์ถูกก่อสร้างด้วยความรวดเร็ว หากสังเกตดีๆแล้วกำลังของแฟแลงซ์จะแยกออกเป็นสามส่วน หนึ่งคือทหารทั่วไปในชุดยุคกลางเหมือนในหนังที่ลาสเลยดูตอนเด็กๆ คาดว่าเป็นทหารราบของขุนนางในแฟลงซ์ และน่าจะเป็นทหารหลักของกองทัพนี้ แต่ยังสามารถเห็นนักเวทที่เคยสร้างกำแพงดินขึ้นมาป้องกันแคมป์ทหาร อีกส่วนเป็นของสาวกของศาสนจักรพวกเขามีนักบวชซึ่งน่าจะเป็นนักเวทเป็นส่วนมาก ดูเหมือนกลุ่มผู้นำจะเป็นเหล่านางฟ้า(ซองทูอา) สุดท้ายคือกองอัศวินสีขาว

แม้ว่าพวกทหารแฟแลงซ์จะดูโบราณ และน่าจะตกยุคไปนานแล้ว นั้นควรจะเป็นเรื่องจริง แต่ว่า… ไอเจ้าเกาะอัศวินที่เห็นอยู่ในตอนนี้ มันเป็นเกาะร่ายมนตร์ป้องกัน แฟแลงซ์ขึ้นชื่อเรื่องของเวทมนตร์อยู่แนวนั้นจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะยังคงใช้ยุทโธปกรณ์ที่โบราณ แค่เห็นกองทัพแบบนี้เป็นศัตรูลาสก็หมดกำลังใจ จนอยากจะยอมเจรจาหาทางรอดดีกว่า

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเวลาในการพักหายใจของเหล่าทหารอาณานิคมผู้รับใช้สิงโตแห่งแดนเหนือ เสียงร่ายบทคาถาเวทมนตร์จากอีกฝั่งก็เรียกความสนใจชายหนุ่ม หากไม่ใช่เพราะลาสรู้ภาษาฝรั่งเศส เขาก็คงไม่สนใจ

“Le Dieu de toute création, l'aurore du salut nous est donnée par sa volonté--”

“พระเจ้า พระผู้สร้างทั้งปวง, พระองค์ทรงประทานรุ่งอรุณแห่งความรอดแก่เรา-”

ฟังจากนํ้าเสียงนํ้าเสียงอันไพเราะไพเราะ ฟังแล้วไม่เหมือนกับการร่ายเวทที่เคยได้ยินทั่วไป ขนาดที่ว่าไวต์ยังร่ายเร็วกว่านี้ เสียงอันนิ่มนวลเขาหญิงคนนั้นเหมือนกับบทสวดเสียมากกว่า สิ้นเสียงบทสวด ท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีกลายเป็นสีเหลืองทอง ไม่นานมันก็กลายเป็นสีส้ม มันพุ่งลงมาคล้ายกับลูกไฟขนาดกลาง มีอยู่บนฟ้าราวๆ 5 ลูก

ลูกเพลิงที่เหมือนกับความโกรธเกรี้ยวของพระเจ้าที่เขาไม่ได้นำถือ

ฟิ้วว ตูม! กระทบกับกำแพงไม้ระเบิดออกกลายเป็นเพลิงไฟไหม้ลามไปทั่วเผาทหารอาณานิคมที่หลบหลังกำลังหลบหลังกำแพงเมือง

“ดักซ์!!!” ลาสกรีดร้องทันทีที่เขาหลบลูกไฟอันเป็นเวทของหญิงสาว ไม่ช้าสติที่แตกกระเจิงของลาสก็กลับมาร่วมใหม่อีกครั้ง ชายหนุ่มเรียกสั่งดักซ์ผู้ช่วยทันที

“ใช้เวทดับไฟก่อนที่มันจะลาม” ก่อนที่ลาสจะตะโกนสั่งอีกครั้ง “อัมลักเตรียมบอกแนวป้องกันแรกในเริ่มแผนที่หนึ่งทันที!” ทหารอาณานิคมทั้งสองทวีปต่างพากันช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากเวทของข้าศึก นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาถูกโจมตีด้วยเวทมนตร์ที่รุนแรง

แต่ด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้น เหล่าทหารอาณานิคมก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมด้วยความเร็วรวด ลูกเพลิงนั้นโดนกำแพงไม้เพียงแค่ 2 ลูก อีก 3 ลูกไม่ลงที่นอกกำแพงก็เป็นข้างในตัวเมือง เขตที่ใกล้กับกำแพง

บุก!! จงสังหารพวกนอกรีต!! ทหารแฟแลงซ์เคลื่อยทัพเข้าตีเมือง แม้ว่ากำลังจะเป็นจำนวนขนาดกลาง ไม่ใช่ทั้งหมดก็ตาม อย่างไรก็ตามศึกในครั้งนี้ก็คงนักหนาต่อฝั่งของผู้แทนอาณานิคมอย่่างแน่นอน ถึงกำลังของลาสจะน้อยกว่าก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย

 แนวป้องกันแรก! ยิง!! 


ซองทูอา Santua (1) : เผ่าพันธุ์ในอุดมคติของอาณาจักรแฟแลงซ์ รูปร่างของพวกเธอ/เขาเป็นเหมือนกับอัครทูตบนสวรรค์ในพระคัมภีร์แห่งเซนต์สโยนาร์ ปีสามคู่ และ วงแหวนออร่าอันศักดิ์สิทธิ์ เผ่าพันธุ์ซองทูอาถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่ชาวแฟแลงซ์นำถืออยู่มาก มีบทบาทในการเมืองการปกครองของอาณาจักรแฟแลงซ์มายาวนาน [ ซองทูอามีเผ่าย่อยคือ : ซองทูอาผู้ตกต่ำ (Fallen Santua) ]

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด