ตอนที่แล้วบทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 14 บาดแผลที่ไม่มีวันถูกลืมเลือน ( Wounds that will never be forgotten ) (1)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 16 หมาป่าและหนังสือเชื้อเพลิง ( Wild Wolf and Fuel Book )

บทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 15 บาดแผลที่ไม่มีวันถูกลืมเลือน ( Wounds that will never be forgotten ) (2)


บาดแผลที่ไม่มีวันถูกลืมเลือน

 ( Wounds that will never be forgotten ) (2)

แนวป้องกันตะวันออกเฉียงเหนือ เมืองโฟลิก เวลาเที่ยงวัน

เสียงปืนพร้อมเขม่าควันสีขาวเต็มไปทั่ว ทั้งภายนอกกำแพงและข้างบนกำแพงไม้โฟลิก เป็นเวลาไม่นานหลังการมาถึงกองทัพในธงลีโอเนีย ทหารอาณานิคมทั้งสองทวีปเข้าประชิดตีล้อมเมืองโฟลิกทันทีเมื่อเดินทางมาถึง ซึ่งพวกเขานั้นทำตามคำสั่งทุกอย่างจากจักรวรรดิผู้เป็นเจ้า

ร่างบางในวคอลัมน์ที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วอย่างเป็นระเบียบ มีสีหน้าที่ซีดขาว แต่ก็มิมีผู้ใดสังเหตุ แม้ว่าร่างบางจะเคยเจอลูกปืนที่ปลิดชีพคนที่อยู่ข้างๆเขามาแล้ว แต่การที่ต้องมาอยู่ในจุดที่สามารถตายได้ง่ายๆมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก แต่หากว่าเขาไม่มานำทัพ เขาก็เชื่อว่าทหารอาณานิคมอาจจะไม่สามารถยึดกำแพงเมืองโฟลิกได้ภายในวันนี้เป็นแน่

“กระจายกำลังออกไปรอบๆ! อัมลักเอาหน่วยของนายเข้าไปประจำตำแหน่ง! เบลิซาอุสและอีวานยิงคุ้มกัน!!” เสียงคำสั่งถูกกล่าวออกมาหลังจากที่เข้าระยะยิงของปืนคาบศิลา สิ้นเสียงคอลัมน์ก็แยกออกเป็นแนวยิง

กำแพงป้องกันอยู่ข้างหน้าแต่เสียงแวกอากาศจากลูกกระสุนและศรธนูพุ่งใส่ผู้บุกรุกอย่างบ้าคลั่งบางทีการบุกซึ่งๆหน้ากับแนวป้องกันการอาจจะเป็นเรื่องที่แย่และโง่เขลาที่สุดก็เป็นได้.. เพียงไม่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกำแพงเมืองโฟลิก กำลังอาณานิคมจากสองทวีปก็ล้มตายไปหลายคนแล้ว

ยิง!!! คำสั่งจากหัวหน้าหมู่ดังลั่นไปทั่วพื้นที่สังหาร นายทหารแถวหน้ายิงเป็นวอลเลย์ เสียงปืนขับร้องด้วยความเกรี้ยวกราด ลูกกระสุนนับไม่ทวนพุ่งทะยานเข้าหากำแพงสูงปลิดชีพทหารรักษาการณ์เมืองโฟลิกข้างบน อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ากำแพงไม้นั้นจะปกป้องร่างกายของทหารเมืองโฟลิกได้พอสมควร ทำให้มีผู้บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ซึ่งต่างกับฝั่งบุกซึ่งกลายเป็นเป้านิ่งให้ทหารรักษาการณ์โฟลิก ถึงแม้ว่าผู้บาดเจ็บและจำนวนคนเสียชีวิตจะเป็นชาวอาริกาเซียเป็นส่วนมาก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ล้มเลิกการยึดตีกำแพงเสีย อย่างน้อยถูกลูกปืนเข้าที่ตัว คงเจ็บน้อยกว่าถูกมือเท้ายักษ์ของทรีแอ๊นบดขยี้

กำลังปืนจากบนกำแพงถูกทำให้ลดน้อยลง อัมลักและกองร้อยของชาวโดสสเลเลน ก็เริ่มวิ่งหลบห่ากระสุนปืนกระโดดลงสนามหลุมเพลาะอันเป็นแนวป้องกันที่ยังสร้างไม่เสร็จของโฟลิก ที่ควรจะเป็นแหล่งนํ้าขนาดเล็กตอนนี้กลายเป็นพื้นที่สนามเพลาะที่ป้องกันได้ดีพอๆกับกำแพง

กองกำลัง! เล็ง! อัมลักขู่ร้องอย่างเหี้ยมเกรียม ปืนทุกกระบอกที่พวกเขานำติดตัวมาด้วยนั้นถูกชูยกขึ้น เล็งไปยังบนกำแพงตรงหน้า เมื่อเห็นว่าทหารของตนเล็งกันหมดแล้ว อัมลักก็ส่งเสียงออกคำสั่งทันที

ยิงสกัด!! ปลายกระบอกปืนปลดปล่อยเสียงคำรามดังกึกก้องทั่วแนวปะทะ อย่างไรก็ตามกองร้อยของอัมลักมิใช่กองทหารราบทั่วไปไม่ หากแต่เป็นทหารราบเบาที่เน้นเชี่ยวชาญในการชุลมุน(Skirmisher) กองร้อยพิเศษของอัมลักยิงอาวุธแบบเป็นจังหวะไม่ได้ยิงแบบเป็นชุดวอลเลย์ ซึ่งหลังยิงเสร็จปืนของพวกเขาจะถูกส่งไปยังผู้ที่อยู่ข้างหลัง พร้อมรับปืนที่เติมกระสุนแล้วมายิงต่อ ความรวดเร็วของการยิงแบบนี้ทำให้ ทหารบนกำแพงไม่สามารถโผล่หัวออกจากแนวป้องกันได้ ซึ่งเปิดโอกาสให้ทหารชาวอาริกาเซียเข้าประชิดกำแพงเมืองโฟลิก

บันไดถูกพาดขึ้นกำแพงไม้ ก่อนที่ลาสจะตะโกนออกคำสั่ง “เข้ายึดกำแพง!!”  ไม่รีรอ ทหารอาณานิคมโห้ร้องก่อนจะก็พุ่งตัวปีนบันไดทันที ขนาดที่ว่าทหารทูเดียผู้รักษาการณ์แห่งเมืองโฟลิกยังต้องสะดุ้งเพราะตกใจ ก่อนที่จะผวากลัวเพราะกลุ่มคนขึ้นมาบนกำแพงแรกนั้นเป็นชาวอาริกาเซียที่เคยประจัญบานรบระยะประชิดกับชนพื้นเมืองมาแล้ว ผิดกับทหารรักษาการณ์ที่เป็นแค่ชาวนาหรือทหารยามดูแลเมืองเท่านั้นหาใช่นักรบไม่ กลับกัน

สีหน้าที่ไม่รักตัวกลัวตายพร้อมที่จะตายในสนามรบ เจ้าพวกนี้มันแย่ยิ่งกว่าสัตว์อสุรที่เสียอีก

อ้ากกก! ฉับ! เพล้ง! ขวานสงครามอันเป็นเอกลักษณ์ของชนพื้นเมือง อาวุธที่ระลึกถึงสงครามระหว่างชนพื้นเมืองอาริกาเซีย มันถูกนำกลับมาใช้ในดินแดนอันห่างไกลอีกครั้ง มันฟาดลงบนไหลผู้เคราะห์ร้ายด้วยคาวมรุนแรง เพียงแค่ทุมแรงก็สามารถปลิดชีพคู่อริได้อย่างง่ายดาย ดาบปลายปืนหรือท้ายปืนถูกเอามาใช้บนกำแพงเช่นเดียวกัน ดาบเล็กยาวของทหารรักษาการณ์ปัดป้องอาวุธเย็นของผู้ที่ปีนป่ายขึ้นมา แนวหน้าบนกำแพงเข้าปะทะประจักษ์บานกันด้วยความรุนแรงชีวิตแลกชีวิต

ช่างน่าเสียดายที่ผู้บุกรุกในคราวนี้เป็นผู้ชำนาญในการศึก หนึ่งใน ผบ.หมวดแห่งกองกำลังบอสตัน อันฮัลท์ เวติก้า ชายหนุ่มผมสีนํ้าตาลอ่อนผู้เยาว์วัย หนึ่งในสามผู้นำหมวดในสงครามชนพื้นเมืองอาริกาเซีย อันฮัลท์เป็นชายที่ดูเร่งร้อน แต่ไม่เท่าในช่วงแรกที่ลาสได้เจอ จากเด็กร้อนวิชา ปัจจุปันแม้ว่าจะดูมีไฟเหมือนอดีต แต่ชายหนุ่มก็ดูใจเย็นและสงบ อาจจะเป็นเพราะประสบการณ์ในสนามรบทั้งสองครั้ง

ชายหนุ่มเป็นหนึ่งในคนแรกที่กระโจนขึ้นบนกำแพงไม้ ก่อนจะฟาดท้ายปืนลงบนใบหน้าของทหารยามที่ตื่นตกใจและไม่ได้ระวังตัวด้วยความรุนแรงจนล้มลง ไม่ช้าทหารทูเดียที่เห็นเพื่อนของตนถูกทำร้ายก็ได้สติและหันปืนไปยังเด็กหนุ่มผู้บุกรุก อนิจจาเพราะแค่ยกปืนขึ้นมาเขาก็พบกับเขม่าควันสีขาวที่มาจากชายหนุ่มตรงหน้า

ปัง! เสียงดังอันสุดแสนคุ้นเคย นั้นคือเสียงสุดท้ายก่อนที่ภาพของทหารทูเดียผู้ถูกยิงจะดับลง อันฮัลท์หลังจากที่ฟาดปืนกับทหารคนแรกเขาก็หันปืนไปยิงทหารทูเดียข้างๆผู้ยังไม่ได้สติด้วยความรวดเร็ว กระสุนปืนนั้นทะลุผ่านลูกตาสังหารทหารทูเดียผู้น่าสงสารทันที ไม่รอช้าอันฮัลท์ก็เข้าปะทะกับทหารฝั่งตรงข้ามต่อ ด้วยความรวดเร็วและมากประสบการณ์ของชายหนุ่ม สามารถปลิดชีพนายทหารฝั่งตรงข้ามไปได้ราว 5 คน ในไม่กี่นาที ก่อนที่ทหารอาริกาเซียจะเริ่มกระโจนเข้าต่อสู้ยึดกำแพงไม้ ทหารรักษาการณ์โฟลิกไม่สามารถต่อต้านชาวอาริกาเซียได้แม้แต่น้อย ไม่ช้าบนกำแพงไม้โฟลิกก็เต็มไปด้วยทหารอาณานิคมแทนทีชาวทูเดีย

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์แนวป้องกันเอียงไปทางทหารในนามธงสหจักรวรรดิลีโอเนีย กำลังเมืองโฟลิกที่เกือบครึ่งเป็นเพียงแค่ชาวเมืองก็ได้แตกพ่ายลงอย่างง่ายดาย มิใช่เพียงแค่ขวัญกำลังใจที่แตกหัก แต่เป็นเพราะผู้บุกรุกมีประสบการณ์ในการรบระยะประชิดมากกว่า แน่นอนว่าชาวบ้านที่ใช้อาวุธระยะใกล้ล่าสัตว์หรือทหารรักษาการณ์ที่เคยสู้รบไม่สามารถสู้ระยะประชิดกับชาวอาริกาเซียได้อย่างแน่นอน

“ขะ ข้าไม่เอาด้วยแล้ว! ข้ายอมแพ้ โปรดอย่าฆ่าข้าเลย!” หนึ่งในชาวเมืองที่ถูกบังคับให้ปกป้องเมืองโยนปืนคาบชุดทิ้ง ก่อนจะยกมือยอมแพ้ ในขณะที่คนที่อยู่แล้วหลังสุดของกำแพงก็เริ่มที่จะวิ่งหนีออกจากสนามรบทันที “พะ พวกเราแพ้แล้วหนีเร็ว!!” เพียงสองเสียงสุดท้ายการป้องกันเมืองโฟลิกก็แตกพ่ายเรียบร้อย

บัดนี้กำแพงตะวันออกเฉียงเหนือถูกยึดเป็นที่เรียบร้อย ธงของชาวอาริกาเซียถูกนำคือมาแทนธงของราชอาณาจักรทูเดีย พร้อมเสียงโห่ร้องของผู้บุกรุกเป็นสัญญาณที่ทำให้ชาวเมืองโฟลิกต้องสั่นกลัวเพราะอีกไม่ช้าเมืองโฟลิกอันเป็นที่รักจะถูกยึดแล้ว อันฮัลท์ที่ไม่ได้ส่งเสียงเชียร์รีบสั่งให้พลทหารในหมวดของเขาลงไปเปิดประตูเมืองให้กองกำลังทั้งหมดเข้ายึดเมืองโฟลิกด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะตะโกนกล่าวกับสหายข้างนอกกำแพง

“คุณดักลาส แนวป้องกันเสียกำลังใจหมดแล้ว ให้ผมตามไปจัดการพวกที่กำลังจะหนีไหมครับ!?” อันฮัลท์กล่าว

“ไม่ต้อง!! ให้หมวดของนายสำรวจพื้นก่อนจะถึงศาลากลางอย่าให้มีการสุ่มโจมตีระหว่างทางก็พอแล้ว!!” สิ้นเสียงคำสั่งของลาสประตูเมืองก็ถูกเปิดออก ลาสจึงหันไปกล่าวกับนายทหาร

“พลทหารส่งคำสั่งของผมไปหาแนวหลัง” ลาสชะงัก “บอกให้พวกกองกำลังที่เหลือเดินทัพเข้าเมืองและกระจายกำลังยึดจุดสำคัญของเมืองซะ” นายทหารรับคำสั่งก่อนจะวิ่งไปยังแนวหลังสุดซึ่งเป็นกองกำลังส่วนที่เหลือทั้งหมด

“หมวดอีวานคุ้มกันประตูเมือง จัดการดูแลกับผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย รักษาคนให้ได้มากที่สุด ที่เหลือตามผมมา” ลาสหันมากล่าวออกคำสั่งอีกครั้ง

ถนนหนทางลากยาวไปยังศาลากลางเมืองโฟลิก ซึ่งลากยาวไปถึงส่วนกลางสำคัญของเมือง ที่ตั้งของบ้านเจ้าเมืองโฟลิก เมื่อครั้งอดีตในเมืองโฟลิกนั้นเต็มไปด้วยผู้คนบัดนี้มันกลายสนามรบขนาดย่อมๆไปเสียแล้ว ก่อนจะถึงศาลากลางเป็นตลาดถนนคนเดิน กลุ่มชาวเมืองที่ยังต่อต้านพากันหลบหาที่กำบังก่อนโผล่หัวขึ้นมายิงชาวอาริกาเซียที่วิ่งตามมา แน่นอนว่าหน่วยของอันฮัลท์ก็ไม่รอช้าเข้าปะทะตอบโต้ทันที ถนนสายหลักนองเต็มไปด้วยเลือด กลายเป็นสงครามกองโจรขนาดย่อมๆ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าแค่กำลังใจอันน้อยนิดของชาวเมืองโฟลิกไม่สามารถต่อต้านทหารอาณานิคมได้ พวกเขาถูกสังหารตกตายไปทีละคน

“ถอยกลับไปยังบ้านเจ้าเมือง!” ทหารรักษาการณ์ผู้ที่คาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มต่อต้านตะโกนสั่ง

ใช้เวลาราวสามชั่วโมง กำลังหลักอาณานิคมลีโอเนียก็เข้ายึดครองส่วนในเมืองทั้งหมดได้ด้วยความรวดเร็ว มีการต่อต้านเพียงแค่เล็กน้อย เหลือเพียงกองกำลังป้องกันที่ยังยืดยังอยู่ในศาลากลางหรือบ้านของเจ้าเมืองที่หนีออกไปก่อนศึกจะเริ่มขึ้น พวกเขาจับอาวุธปืนเล็งจากหน้าต่างห้องไปยังข้างนอก แต่กลับไม่มีสัญญาณถึงการบุกเข้ามาแม้แต่น้อย มองไปยังส่วนนอกของศาลากลาง ทหารอาณานิคมลีโอเนียยังคงปิดล้อมพวกเขาอยู่ แต่ไม่มีท่าทีว่าจะยิงหรือบุกเข้ามาสร้างความสงสัยให้ทหารรักษาการณ์เมืองโฟลิกที่เหลืออยู่มาก อย่างน้อยตอนนี้พวกเขาก็ได้พักหายใจแม้จะเป็นช่วงสั้น ๆก็ตาม มองไปทางไหนก็มีแต่ข้าศึกล้อมรอบปิดทางหนีหมด ความหวังที่จะหลบหนีคงหมดพวกเขาสิ่งที่ทำได้ก็คือการสู้จนตัวตาย

ขณะที่พวกเขากำลังคิดจะสู้จนตัวตาย ธงขาวก็ถูกยกขึ้นจากแล้วปิดล้อมจุดหนึ่ง หัวหน้ากองกำลังป้องกันจ้องมองไปยังผู้ที่กำลังเดินออกจากแนวปิดล้อม หญิงสาว(?)ในชุดเครื่องแบบข้าศึกที่เต็มไปด้วยคาบดินและเลือดที่ชูธงขาว และทหารผู้ติดตามอีกสองคน

ปืนของชาวเมืองคนหนึ่งเล็งไปยังผู้ที่เดินอยู่ข้างหน้าศาลากลางพร้อมจะเหนี่ยวไก แต่ถูกมือของหัวหน้ากองกำลังป้องกันจับปืนลง และกล่าว “ช้าก่อน.. เจ้าตามข้ามาหน่อย ที่เหลือห้ามยิงจนกว่าข้าจะสั่ง แต่อย่าพึ่งไว้ใจพวกมัน!”

ไม่รอช้าหัวหน้ากองกำลังป้องกันมัดผ้าเช็ดหน้าสีขาวกับปืนคาบศิลาของตนก่อนจะเดินออกมาข้างนอกพร้อมหารของตนอีก 2 คน เขายกปืนขึ้นเหนือหัวก่อนจะเดินมาพบกับผู้เจรจา ทั้งสองกลุ่มเข้าเผชิญหน้ากันโดยที่พวกเขาอยู่ห่างกันไม่กี่ก้าว

“คุณคงเป็นผู้นำทหารที่เหลืออยู่สินะครับ?” หัวหน้ากองกำลังป้องกัน ตกใจเล็กน้อยที่ว่าหญิงสาวในตอนแรกจะเป็นผู้ชาย แต่ไม่มีเวลาให้คิดมากเขาพยักหน้าตอบกลับ ก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดต่อ

“ผมไม่อยากให้เกิดการต่อสู้ไปมากกว่านี้ หากเป็นไปได้ช่วยยอมแพ้และปลดอาวุธ ผมรับร้องว่าพวกคุณกับชาวเมืองทุกคนที่ได้รับการปฏิบัติที่ดีและเท่าเทียม ผมอยากจะขอพูดว่าพวกเราไม่ได้มีเจตนาที่จะปกครองพวกท่าน ชาวทูเดีย”

“เช่นนั้นเจ้าจะทำสงครามกับเราทำไมกันเล่า! พวกเจ้าเผาและปล้นเมืองธีโอเดีย เหตุใดเจ้าจะไม่ปล้นสะดมในเมืองแห่งนี้กัน?”

“เรื่องแบบนั้นมัน… ไม่ ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน คุณอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ เท่าที่ผิดทราบมาเมืองธีโอเดียไม่ได้ถูกปล้นแต่อย่างไร…” ลาสพยายามเก็บเสียงที่สั่นคลอนของตน ‘ สมกับเป็นยุคที่ล้าหลังและป่าเถื่อนจริงๆ ’ ลาสคิดในใจ ก่อนจะสูดหายใจเล็กน้อยและกล่าวด้วยนํ้าเสียงที่นิ่งสงบ

" และอีกอย่างที่คุณควรจะรู้ พวกเรา

ไม่ได้เป็นชาวลีโอเนียแต่เป็น ชาวโดสสเลเลน และ อาริกาเซีย

“ทาสแห่งลีโอเนีย และ ชาวโลกใหม่? ไม่สิถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะไม่ใช่ลีโอแต่ตัวข้าจะแน่ใจได้เยี่ยงไร ว่าเจ้าจะไม่ทำร้ายชาวเมืองและคนของข้า” ผู้นำกองกำลังป้องกันกล่าว

“1.พวกเราไม่ได้ปกครองเมืองโฟลิกแห่งนี้ หลังจบศึกเราจะออกทันที 2.ผมจะให้สัญญาว่ามีการทำร้ายนักโทษ 3.หากคุณให้ความร่วมมือผมจะหาสิ่งตอบแทนอย่างแน่นอน” ลาสชู3นิ้วเสนอข้อแลกเปลี่ยนกับผุ้นำกองกำลังป้องกัน

หากลาสจะส่งคนบุกและจัดการกองกำลังที่เหลือก็ได้ แต่การที่ต้องคุมทั้งเมืองโดยที่ไม่มีการจลาจลนั้นเป็นไปไม่ได้ คงไม่มีใครที่ถูกคนต่างชาติเข้ายึดแล้วไม่ตอบโต้ต่อต้านอย่างแน่นอน นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ลาสต้องการความร่วมมือของชาวทูเดียด้วยกันเอง มีตัวอย่างผู้รุกรานที่ต้องเจอปัญหาชาวเมืองต่อต้านในช่วงสงครามให้เห็นเต็มไปหมด กลุ่มต่อต้านแม้ว่าจะเล็กแต่ก็สามารถทำความเสียหายได้มาก ถึงแม้ว่าชาวทูเดียจะปกครองแบบระบบฟิวดัล และก็มีกลางร่วมศูนย์ต่อราชาเล็กน้อย ' หากให้โอกาสชาวเมือง และการดูแลที่ดีกว่า ก็สามารถทำให้ระดับการต่อต้านน้อยลง ยังไงพวกเขาก็ไม่ใช่สุนัขรับใช้ที่มีปลอกคอสักหน่อย ในตอนนี้ล่ะน่ะ ’

“เจ้าจะต้องไม่ปล้นสิ่งของมีค่าภายในเมือง จะต้องไม่มีการบังคับขู่เข็ญชาวเมือง และทหารที่ยอมแพ้ต้องได้รับการดูแลที่ดี ข้าถึงจะให้ความร่วมมือ” ผู้นำกองกำลังป้องกันกัดฟันกล่าว

หากเขาไม่รับข้อเสนอ ยังไงทหารอาณานิคมก็คงบุกสังหารพวกเขาอยู่ดี นั้นคือสิ่งที่เขาคิด แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใดถึงไม่ทำเช่นนั้นกัน มันง่ายกว่าการให้โอกาสเมืองโฟลิก หรือเป็นเพราะคนเหล่านี้มิใช่พวกลีโอเนีย แต่จะคิดให้ปวดหัวไปก็เปล่าประโยชน์

ตะวันใกล้ตกดิน ทหารรักษาการณ์กลุ่มสุดท้ายเดินออกจากศาลากลางด้วยความเศร้าหมอง อาวุธปืนถูกวางลงบนพื้น ก่อนจะเดินไปร่วมแถวของตน ลาสจ้องมองตรวจสอบเหล่าชายผู้ปกป้องบ้านเมืองอย่างสุดกำลัง พวกเขาเหล่านี้มีไม่ถึงร้อยคนด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามพวกเขาเหล่านี้ก็เป็นทหารทูเดียส่วนมาก หาใช่อาสาช้าวเมืองไม่ เมื่อมาครบกองกำลังต่อต้านก็ถูกคุมตัวและกักบริเวณ ยกเว้นผู้นำของกลุ่มต่อต้านที่ต้องกักบริเวณในบ้าน(House arrest)

ท้องฟ้ายามเย็นเผยสีของมัน กองกำลังอาณานิคมต่างยืนมองศาลากลาง และอาทิตย์ที่ใกล้จะดับลง ธงทูเดียถูกเก็บเข้าตัวบ้าน และแทนที่ด้วยสิงโตทองแห่งลีโอ พวกเขาไม่ได้รู้สึกถึงความภูมิใจแต่อย่างไร ผืนธงสะบัดตามสายลม บัดนี้เมืองโฟลิกแห่งทูเดียตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังอาณานิคมลีโอเนียเรียบร้อย

ขณะที่ลาสกำลังสั่งวางกำลังป้องกันเมือง ลาสก็เห็นดักซ์มาพร้อมสีหน้าที่ดูไม่ดีนัก ดูเหมือนว่าลางสังหรณ์ของดักลาสจะเป็นเรื่องจริง ก่อนที่ลาสจะได้ถามดักซ์ เขาก็ได้กล่าวพูดด้วยนํ้าเสียงที่หนักอึ้ง แทบจะทำให้เขารู้สึกปวดท้องน้อย

“ไม่มีวี่แววของทัพเสริมลีโอเนียเลยครับท่านดักลาส..”

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด