ตอนที่แล้วบทที่ 57 เรื่องราวในตระกูลมู่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 59 สมาคมการค้าจ้าวสมุทรา

บทที่ 58 พบพานสหายเก่า


กำลังโหลดไฟล์

“ตกลง...ถ้าข้าคลายความสงสัยเกี่ยวกับตระกูลมู่ได้ก่อนงานประลองเลือกคู่จะเริ่มขึ้น ข้าจะได้ไม่ต้องเข้าไปวุ่นวายการแต่งงานของนางและถ้านางได้พบคู่ครองที่เหมาะสมข้าจะได้มีคำตอบให้แก่ญาติของนาง”

ได้ยินเช่นนั้น จินเหล่าต้ารีบกล่าวถามบางอย่างออกมา“พี่ชายหนิง ท่านเป็นคนของตระกูลไหน?”

“ข้านั้นไร้แซ่ ไร้ตระกูล เจ้ามีเรื่องอันใด?” หนิงเทียนถามออก

“แย่ละสิ งานประลองเลือกคู่ของตระกูลมู่ไม่อนุญาตให้ผู้คนเร่รอนไร้ตระกูลเข้าชมได้” กล่าวจบจินเหล่าต้าใช้ความคิดอยู่สองนานก่อนจะกล่าวต่อ

“เอาอย่างนี้พี่ชายหนิงท่านก่อตั้งตระกูลขึ้นในเมืองฉางผิงเลยเป็นอย่างไร ข้าจะช่วยท่านเอง”

“ก่อตั้งตระกูลหรือ?” หนิงเทียนรู้สึกเห็นด้วยกับความคิดของจินเหล่าต้า ใบหน้าที่เย็นชาของมันแปรเปลี่ยนไป พร้อมกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “ดี ข้าจะก่อตั้งตระกูล ซือหม่า ขึ้นมา”

“ซือหม่า เป็นชื่อที่แปลกอยู่ไม่น้อย”จินเหล่าต้าพึมพำอยู่เล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ “เรื่องแรกที่ท่านต้องทำคือการก่อสร้างคฤหาสน์ตระกูลซือหม่าขึ้นมา” กล่าวจบมันตบไปยังหน้าขาของมันเสียงดัง

“ช่างประจวบเหมาะอะไรเช่นนี้ พรุ่งนี้สมาคมการค้าจ้าวสมุทรสาขาเมืองฉางผิงจะจัดงานประมูลประจำปีขึ้น พวกเราสามารถไปเตรียมหาของสำหรับตระกูลซือหม่ากันได้ที่นั้น”

หนิงเทียนมองไปยังจินเหล่าต้าด้วยรู้สึกประทับใจมากขึ้นเล็กน้อย

ด้วยลักษณะการคิดอ่านของมันนั้นทำให้หนิงเทียนคิดถึง กุนซือเฒ่าในชีวิตก่อนของมันอยู่ไม่น้อย แค่เพียงชั่ววูบของความคิดความเศร้าจางๆปรากฎในแววตามัน

ไม่นานนัก อาหารและสุราถูกยกขึ้นมาวางอยู่เบื้องหน้าก่อนที่พวกมันทั้งสามจะร่ำสุราและเริ่มกินอาหาร

ในระหว่างมื้ออาหารนั้น กลุ่มคนจำนวนหนึ่งเดินขึ้นมาจากบันได

“พี่เหอ เหลาอาหารชิงเยี่ยนเป็นเหลาอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฉางผิงเรา บนชั้นสองของที่นี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ทั่วทั้งเมืองฉางผิง ดีจริงๆที่ท่านมาก่อนงานประลองเลือกคู่ถึงสองสัปดาห์

ข้าจะได้พาท่านท่องเที่ยวทั่วฉางผิง บุกบั่นทุกหอโคมเขียวก่อนที่ท่านจะได้แต่งงานกับแม่นางมู่เป็นอย่างไร”

เสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีกำลังกล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมา มันคือ จ้าวหยางสหายเก่าของหนิงเทียนในขบวนคาราวานนั้นเอง

“ประเสริฐยิ่งนัก เจ้าทั้งสองเป็นน้องชายทีดีจริงๆ ถ้าเจ้ามีปัญหาอันใดให้บอกพี่ชายคนนี้ได้เลย” บุรุษที่ถูกเรียกว่าพี่ชายเหอกำลังกล่าวกับ จ้าวหยางและชายหนุ่มในชุดขาวที่เดินตามหลังมา

"ไปพวกเราเข้าไปกินอาหารกันเถอะ”

“ขอบคุณมากพี่ใหญ่เหอ” เสียงของชายหนุ่มในชุดขาวกล่าวตอบ ชายหนุ่มผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นไกลนัก มันคือประมุขน้อยของสำนักคุ้มกันไป๋หลง ซินเฉา

“น้องซินถึงแม้ว่าการเป็นเจ้าสำนักคุ้มภัยไป๋หลงจะมีเกรียติก็จริง แต่ด้วยความสามารถของเจ้าแล้วสามารถเข้าร่วมสำนักดาบศิลาของข้าได้สบายๆ

และในอนาคตเมื่อข้าเหอสุ่ยได้ก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าสำนัก น้องซินเจ้าจะเป็นรองเจ้าสำนัก และเจ้าน้องจ้าว เจ้าจะกลายเป็นที่ปรึกษาของข้า”

กล่าวจบพวกมันทั้งสามหัวเราะกันเสียงดัง เมื่อพวกทั้งสามกำลังจะนั่งลงบนโต๊ะที่เสี่ยวเอ้อได้จัดเตรียมไว้ให้ จ้าวหยางที่กำลังจะกล่าวอะไร มันถึงกับขมวดคิ้วเมื่อมองไปยังกลุ่มชายหญิงที่อยู่โต๊ะถัดไป

จ้าวหยางใช้มือขยี้ตาของมันอีกครั้งราวกับว่าการมองครั้งแรกเป็นเพียงภาพลวงตา เมื่อมันจับจ้องไปอีกคร่าหนึ่ง ดวงตาของมันเปิดกว้างขึ้น มันกล่าวด้วยน้ำเสียงวิตก

‘พี่ซิน ทำไมมัน มันยังไม่ตาย’ จ้าวหยางกระตุกมือของซินเฉาเบาๆให้มันมองไปยังที่เดียวกัน เมื่อซินเฉามองไปยังหนิงเทียนดวงตาของมันหรี่แคบลง

เหอสุ่ยที่สังเกตได้ถึงท่าทีของทั้งคู่จึงกล่าวถาม “น้องซิน น้องจ้าว พวกมันเป็นใคร”

ซินเฉากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็น“มันเป็นศัตรูของพวกเรา ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามเรามีหนี้แค้นกับน้องจ้าวอยู่”

“หืมม์ พวกมันเป็นศัตรูของเจ้า ก็เท่ากับเป็นศัตรูของข้าเหอสุ่ย” มันกล่าวด้วยเสียงฉะฉาน พร้อมกับสายตาของมันที่มองไปยังเสี่ยวซวงอย่างไม่วางตาก่อนที่จะก้าวเดินไปยังกลุ่มของหนิงเทียนด้วยท่าทีดุร้าย

หนิงเทียนมองไปยังการมาถึงของทั้งสาม มันยิ้มออกด้วยมุมปากขึ้นมาอย่างน่ากลัว

‘ในที่สุดข้าก็พบลูกหนี้ของข้า’ ก่อนจะวางตะเกียบทั้งสองลงกับโต๊ะ พร้อมทั้งจับจ้องไปยังกลุ่มผู้มาเยือน

ขณะที่เสี่ยวซวงและจินเหล่าต้า ยังคงคีบอาหารเข้าปากอย่างไม่ใสใจ

พวกมันทั้งสองรู้ในความสามารถของหนิงเทียนเป็นอย่างดี ตราบใดที่ยังไม่มีคำสั่งใดๆพวกมันจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งอย่างแน่นอน

จ้าวหยางมองไปยังหนิงเทียนด้วยสายตาดูถูกก่อนจะยิ้มเยาะขึ้น “เจ้าเด็กน้อย เจ้าโชคดีจริงๆที่ไม่ตายด้วยน้ำมือลั่วผอ

เห็นทีหยิ่งผยองไม่กลัวตายลั่วผอจะมีดีแต่ชื่อเสียแล้ว ถึงไม่สามารถฆ่า ทั้งหลี่เฟิงและเจ้าได้ให้ตายได้”

“ผิดแล้ว มันไม่ใช่มีดีแต่ชื่อแต่บัดนี้มันเหลือแต่ชื่อเท่านั้น” หนิงเทียนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก

“น่าสนใจ น่าสนใจ เจ้าเด็กคนนี้ไม่หวั่นกลัวแม้แต่ชื่อของลั่วผอ ช่างหยิ่งทะนงเสียจริง”เหอสุ่ยกล่าวออกขณะที่สายตาของมันจับจ้องไปยังใบหน้าของเสี่ยวซวงอย่างไม่วางตา

“เจ้าขยะ ถ้าเจ้านำสัญญาหนี้ของน้องจ้าวออกมา ข้าซินเฉารับปากว่าจะไม่ตามตอแยเจ้าอีกในเมืองฉางผิงนี้ แต่ถ้าเจ้าปฎิเสธ เจ้าควรที่จะรู้ถึงผลที่ตามมา”

หนิงเทียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย“ไม่มีปัญหา...แค่คืนสัญญาหนี้ให้แก่เจ้าเท่านั้นทำไมจะไม่ได้? แค่เพียงพวกเจ้านำ10ล้านเหรียญทองมากองตรงหน้าข้า เจ้าสามารถนำสัญญาหนี้กลับไปได้”

ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของซินเฉาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ

ฮ่าฮ่าฮาๆ “เจ้าขยะตัวนี้ช่างตลกยิ่งนัก” เสียงหัวเราะของเหอสุ่ยดังไปทั่วเหลาอาหาร ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดุร้าย

“ขยะที่ไม่มีแม้แต่ลมปราณอย่างเจ้ากล้าที่จะไม่ฟังคำพูดของน้องชายข้าแสดงว่าเจ้าไม่รักชีวิตน้อยๆของตัวเองแล้ว”

คราวนี้เหอสุ่ยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงที่ปนไปด้วยพลังลมปราณของผู้ฝึกตนแดนแห่งปราชญ์

“เจ้าเด็กพิการถ้าเจ้าวางสัญญาหนี้ของน้องชายข้าไว้ และ ทิ้งผู้หญิงด้านข้างเจ้าไป ข้าจะไว้ชีวิตน้อยๆของเจ้า”

หนิงเทียนยังคงสีหน้าเรียบเฉยอยู่เช่นเดิม มันยกจอกสุราขึ้นมาจิบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะกล่าวออกด้วยเสียงที่เป็นปกติ

“จินเหล่าต้า เจ้าแสดงฝีมือของเจ้าให้ข้าเห็นหน่อยเป็นไง?” กล่าวจบหนิงเทียนพลางหยิบตระเกียบขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะคีบอาหารเข้าปากอย่างช้าๆ

จินเหลาต้าได้ยินเช่นนั้น มันที่กำลังนั่งหันหลังให้ผู้มาเยือนทั้งสามกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มขัดแย้งกับคำพูดที่มันกล่าวออกมา

“สุนัขตระกูลจ้าวและขยะตระกูลซิน กล้าพ่นน้ำลายอยู่เหนือศีรษะข้า?”

กล่าวจบมันหันร่างไปยังผู้มาเยือนก่อนจะยกยิ้มขึ้น “อ่อที่สุนัขทั้งสองตัวกล้าเห่าไม่เลือกที่เป็นเพราะมีควายถึกนิกายดาบหักเป็นผู้จูงสายโซ่นั้นเอง”

เมื่อเหอสุ่ยมองไปยังจินเหลาต้าที่กำลังหันหน้ามาทางพวกมันนั้นถึงกลับต้องหรี่ตาแคบลง “สารเลวแซ่จิน เจ้าเองก็อยู่ที่นี้ด้วยเช่นกัน ดีแล้วข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาตามหาตัวเจ้าอีก”

“ข้าเองก็อยากพบเจ้าอยู่พอดีเช่นกันเหอสุ่ย ข้าจะได้ฝากความคิดถึงของข้าไปให้น้องสาวของเจ้า....” มุมปากของจินเหล่าต้ายกยิ้มอย่างมีเลศนัย

“บัดซบ!!! กล้าดีอย่างไรมายุ่งกับน้องสาวของข้า” เหอสุ่ยตะโกนด้วยความโกรธ ทั่วร่างของมันปกคลุมไปด้วยลมปราณสีน้ำตาลเข้ม

มันปล่อยหมัดออกไปยังจินเหล่าต้าด้วยพลังของผู้ฝึกในแดนแห่งปราชญ์ขั้นที่2 ทันที

“เหนือกว่าข้าระดับหนึ่งแล้วเป็นอย่างไร เจ้าก็แค่พวกที่เกิดก่อนฝึกก่อนเท่านั้น”กล่าวจบดวงตาของจินเหล่าต้าเปล่งประกายด้วยความหนาวเย็น

เท้าทั้งสองของมันยกขึ้นปะทะกับหมัดของเหอสุ่ย โดยที่ก้นของจินเหล่าต้าไม่ได้ยกขึ้นจากเก้าอี้เลยแม้แต่น้อย

ทันใดนั้น อุณหภูมิภายในเหลาอาหารค่อยๆสูงขึ้น เหล้าในไห่ค่อยๆเดือดขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

“ทักษะจิตอัคคี ทักษะระดับปราชญ์ขั้นกลาง” ซินเฉามองไปยังจินเหล่าต้าด้วยประกายตาปรารถนา มันนั้นเป็นอันดับ3ของเมืองฉางผิงเพราะขาดทักษะระดับปราชญ์

เหอสุ่ยไม่ได้เกรงกลัวทักษะระดับปราชญ์เลยแม้แต่น้อย มันวาดมือเรียกดาบขนาดใหญ่กว่าตัวของมันถึงสามเท่าออกมา “ดาบตัดภูผา” อาวุธระดับวีรชนที่บิดามันมอบไว้ให้

ด้วยอานุภาพของอาวุธลมปราณระดับวีรชนที่เหอสุ่ยนำออกมานั้น เพียงพอที่จะทำให้จินเหล่าต้าต้องยกตัวขึ้นจากเก้าอี้พร้อมตั้งท่าเตรียมพร้อมอย่างไม่ประมาท

อาวุธระดับวีรชนนั้นทั่วทั้งเมืองฉางผิงหาได้เพียงสองเล่มเท่านั้น แต่เหอสุ่ยกลับนำมันออกมาโดยไม่เกรงกลัวว่าจะถูกผู้ใดแย่งไป เพียงเท่านี้ก็แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และความมั่งคั่งของสำนักดาบศิลาได้แล้ว

เดิมทีเสี่ยวซวงที่มองดูการต่อสู้อย่างไม่สนใจกลับแปรเปลี่ยนสายตาที่ไร้อารมณ์ของนางจับจ้องไปยังดาบตัดภูผา

ขณะเดียวกัน เหอสุ่ยฟาดดาบตัดภูผาออกด้วยพลังทั้งหมด “คลื่นถล่มศิลา” การโจมตีด้วยคลื่นดาบของเหอสุ่ยนั้นรุนแรงถึงขนาดพัดผ่านโต๊ะเก้าอี้รอบๆให้แหลกกระจายไปพร้อมกับการวาดดาบครั้งนี้

เวลานี้จินเหล่าต้าก็ได้ไม่ประมาทแต่อย่างใด มันเรียกอัคคีสีแดงออกมาสองจุดพร้อมทั้งสะบัดมือปล่อยออก คลื่นดาบและก้อนอัคคีเข้าปะทะกันอีกครั้ง ลมพายุที่เกรี้ยวกราดซัดก้อนอัคคีของจินเหล่าต้าดับลง

จากเดิมมันเสียเปรียบเพียงเล็กน้อยจากระดับบ่มเพาะที่ต่างกัน1ขั้น แต่ในเวลานี้มันเสียเปรียบมากขึ้นไปอีกจากอาวุธระดับวีรชนที่เหอสุ่ยนำออกมา

ในการปะทะกันครั้งนี้จินเหล่าต้าต้องถอยหลังอย่างต่อเนืองถึง6ก้าว หลังของมันกระแทกกับกำแพงของเหลาอาหารชิงเยี่ยนเสียงดัง ปัง!!!!

ขณะเดียวกันเหอสุ่ยที่เหมือนจะชนะในการประลองกับปรากฏรอยเลือดขึ้นมาบนหน้าอกมันสองจุด

“สารเลวซ่อนอาวุธลับมากับเปลวไฟ” ด้วยอาการบาดเจ็บของมันส่งผลให้โทสะของมันพุ่งขึ้นสูง ดังนั้นมันจึงกระโดดไปข้างหน้าและลงมือฟาดดาบตัดภูผาอีกครั้ง

จินเหล่าต้าที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากการปะทะกันครั้งแรก มันรีบทะยานตัววาดมือสร้างเกราะปราณอัคคีขึ้นป้องกัน คมดาบนั้น

ปัง!!! เสียงของเกราะปราณอัคคีแตกออก ขณะที่ร่างของจินเหล่าต้าหายไป มันอาศัยประกายไฟอำพรางกาย หลบซ่อนตัว อ้อมไปอยู่ด้านหลังของเหอสุ่ย ก่อนจะใช้ฝ่ามืออันร้อนแรงดุจเปลวไฟ ซัดไปยังด้านหลังออกเหอสุ่ย

หนิงเทียนอดไม่ได้ที่จะพึมพำออก “เจ้าเด็กนี้เป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง”

แต่ถึงอย่างนั้นเหอสุ่ยเองก็เป็นถึงว่าที่ผู้นำคนต่อไปของสำนักดาบศิลา มันไม่ยอมเสียท่าแต่ฝ่ายเดียว มันกัดฟันแน่นกลืนโลหิตลงคอและฟาดดาบตัดภูผา ใส่จินเหล่าต้าในเวลาเดียวกัน

ดวงตาของจินเหล่าต้าเบิกกว้าง มันรีบทะยานร่างถอยออกอย่างเร็ว รอยเลือดจางๆซึมออกมาจากหน้าผากของมันที่ปรากฎเป็นแผลยาว

ด้วยสัญชาตญาณของมัน จินเหล่าต้าสามารถหลบดาบตัดภูผาได้เพียงเฉียดฉิวเท่านั้น แต่อย่างไรด้วยแรงอัดกระแทกของการฟาดดาบตัดภูผาที่เป็นอาวุธลมปราณในระดับวีรชนส่งผลให้ร่างของจินเหล่าต้ากระเด็นถอยไปไกล

ซินเฉาที่เฝ้ามองเห็นการณ์ด้วยสีหน้ามืดทมิฬ ก่อนที่มันจะพุ่งร่างราวสายฟ้าด้วยท่าเท้าเหยียบอากาศเข้าใส่จินเหล่าต้าจากด้านหลัง

เวลานี้ จินเหล่าต้าที่กระเด็นจากแรงอัดกระแทกของดาบตัดภูผา มันไม่สามารถป้องกันการลอบโจมตีของซินเฉาทางด้านหลังได้เลย

หนิงเทียนที่กำลังยกจอกสุราเข้าปากมันกล่าวออกด้วยสีหน้าไม่วิตกอันใด

“เสี่ยวซวง เจ้าไปออกกำลังกายเสียบ้าง วันๆเอาแต่กินกับเดินตามข้า ไม่นานนักเจ้าจะกลายเป็นสตรีที่อ้วนฉุ”

ได้ยินเช่นนี้ จิตสังหารของเสี่ยวซวงทะยานขึ้นสูงชั่วพริบตา ก่อนจะหายไปพร้อมกับร่างของนาง

เพียงไม่ถึงลมหายใจเดียวเสี่ยวซวงปรากฏกายขั้นกลางระหว่างซินเฉาและจินเหล่าต้าก่อนจะฟาดดาบยักษ์ในมือเข้าปะทะกับกายาเหล็กไหลของซินเฉา

ฉับ!!! แขนขวาของผู้ที่ถูกเรียกว่าประกายสีขาวแห่งฉางผิง ถูกตัดขาดจากร่างโดยทันที

จากนั้นเสี่ยวซวงยังไม่หยุดเคลื่อนไหว นางยังคงพุ่งทะยานด้วยท่าเท้าแปลกประหลาดก่อนจะไปปรากฎตัวอยู่ด้านหน้าของเหอสุ่ย

จากนั้นดาบยักษ์ของนางบั่นไปยังแขนขวาของเหอสุ่ยราวภาพซ้ำที่เกิดกับซินเฉาเมื่อครู่ ดาบตัดภูผากระเด็นออกพร้อมกับมือขวาที่ถูกตัดขาดจากเจ้าของร่าง

เสี่ยวซวงไม่ได้สนใจร่างของเหอสุ่ยแม้แต่น้อย นางหยุดโจมตีและบิดตัวเปลี่ยนทิศทางไปยังดาบตัดภูผาที่กระเด็นออกไป

นางก้มเก็บมันขึ้นมาจากพื้นพร้อมทั้งมองพินิจ หน้าหลังของตัวดาบอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเก็บมันใส่ฝักเหน็บไว้ด้านหลัง

จากนั้นนางโยนดาบยักษ์ของนางไปให้เหอสุ่ย พร้อมกล่าวด้วยเสียงเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์เพียงสองคำ “แลกกัน”

สิ้นเสียงของเสี่ยวซวง เหอสุ่ยส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาอย่างน่ากลัว ไม่รู้ว่าที่มันร้องดังเช่นนี้เป็นเพราะแขนขวาทีถูกตัดออกจนกลายเป็นคนพิการหรือเป็นเพราะดาบตัดภูผาอาวุธในแดนวีรชนของมันถูกแย่งชิงไปต่อหน้าตาต่อ

จ้าวหยางที่มองเห็นการณ์ตรงหน้าด้วยสีหน้าซีดขาว มันนั้นรู้สึกขอบคุณตัวเองเป็นอย่างมากที่ไม่ได้พุ่งตัวออกไปไม่เช่นนั้นแล้ว มันคงไม่มีแขนไว้จับตะเกียบกินข้าวอีกต่อไป

จ้าวหยางนั้นค่อยๆเสือกเท้าถอยออกทีละน้อย จากนั้นมันรีบพุ่งร่างออกจากเหลาอาหารชิงเยี่ยนอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจสหายที่มันพึ่งจะเรียกพี่เรียกน้องเมื่อครู่แม้แต่น้อย

หนิงเทียนแย้มยิ้มขึ้นมาก่อนจะยันร่างลุกขึ้น“ข้าอิ่มแล้ว ปาหี่ระหว่างมื้ออาหารช่างสนุกยิ่งนัก ขอบคุณนายน้อยเหอที่มีจิตใจเมตตามอบอาวุธให้แก่ผู้ติดตามข้า

เช่นนั้นข้าจะแสดงความเมตตาต่อเจ้าคืนโดยการไว้ชีวิตและไม่ทำลายการบ่มเพาะของเจ้า แต่ถ้าเจ้ายังติดใจกับปัญหาในวันนี้อีก การพบกันอีกครั้งของพวกเราจะเป็นวันตายของพวกเจ้าทั้งสอง”

น้ำเสียงของหนิงเทียนเต็มไปด้วยจิตสังหารที่เย็นเยือกชวนให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกขนหัวลุกและชวนให้ผู้ที่ได้ฟังบังเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนออกมา

หนิงเทียนยังคงกล่าวต่อว่า “ข้าขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดี ถ้าเจ้ายังรักในความสะดวกสบายของการเป็นนายน้อยสำนักดาบศิลาอยู่ละก็ จงนำคำพูดของข้าไปบอกแก่บิดาของเจ้าว่า อย่าได้มายั่วยุข้า”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด