ตอนที่ 2 ทหารรักษาการณ์แห่งจงหลิง
ตอนที่ 2 ทหารรักษาการณ์แห่งจงหลิง
เวลานี้ ประตูที่ว่าการของอำเภอปิดสนิท
เฉิงชงก้าวไปข้างหน้าและยกมือขึ้นตบประตูทันที
“เปิดประตู!”
“รีบเปิดประตูเร็วเข้า!”
“ไปรายงานว่าเฉิงชงขอเข้าพบนายอำเภอเนื่องจากมีเรื่องด่วน!”
แต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา
“เหตุใดต้องส่งเสียงดัง!”
น้ำเสียงที่ฟังดูไม่สบอารมณ์ดังขึ้นจากด้านนอก
ไม่ไกลออกไปนัก มีอาลักษณ์ร่างผอมและผิวขาวนอนอยู่อย่างเกียจคร้านตรงขั้นบันได
เมื่อมองไปยังเฉิงชง เขาค่อย ๆ เปิดปากออกพร้อมแววตาที่แสดงความเยาะเย้ยเล็กน้อย
“เจ้าจะพังประตูไปทำไม?”
“นายอำเภอจงหลิงนั่นหนีออกไปพร้อมกับทองคำและเงินทองแล้ว!”
“การก่อกบฏของพวกกบฏโพกผ้าเหลืองได้ทำลายเขตการปกครองของราชวงศ์ฮั่นทั้งสิบสี่แห่ง ผู้ที่เป็นขุนนางถูกสังหารอย่างไร้ความปรานี นายอำเภอจงหลิงยังพอมีความฉลาดอยู่บ้างที่คิดจะปกป้องตนเอง”
เมื่อเฉิงชงได้ยิน ประกายแห่งโทสะได้ปรากฏขึ้นภายในดวงตาของเขาทันที
เขายกขาขึ้นและถีบประตูอย่างรุนแรง จากนั้นได้เดินตรงเข้าไปยังที่ว่าการ
เสียงตะโกนดังขึ้น
“บัดซบ นายอำเภอที่ไหนถึงรักตัวกลัวตายเช่นนี้!”
“ในวันธรรมดาผู้คนมักจะยกย่องและนับถือ แต่เมื่อประสบปัญหากลับวิ่งหนีหางจุกตูด แล้วจะมันต่างอะไรกับสุนัข!”
“คิดแต่จะหนีเอาตัวรอด และปล่อยให้ชาวบ้านต้องรับเคราะห์จากพวกกบฏโพกผ้าเหลือง!”
“สมควรตาย!”
“ไอ้พวกที่มีสมองเป็นไขมันและร่างกายกินดีอยู่ดี คนพวกนี้เก่งแต่แย่งชิงตำแหน่งระดับสูง ๆ โดยได้รับการสนับสนุนของตระกูล แต่ความสามารถกลับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน!”
เขาตะโกนออกมาด้วยคำเสียดสีและดูหมิ่นอย่างไม่ลังเล!
ในฐานะผู้ข้ามมิติ เฉิงชงหาได้มีความกลัวต่อราชสำนักไม่
อาลักษณ์ในชุดขาวเหลือบมองเฉิงชงด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
จากนั้นเขาได้เอ่ยขึ้นช้า ๆ
“เหตุใดท่านถึงดูไม่สบอารมณ์นัก?”
“ท่านน่าจะทราบถึงสถานการณ์ตอนนี้ของอำเภอจงหลิงดี”
“อำเภอนี้สูงเพียงแค่สามฉื่อ และมีกำลังทหารเพียงสามร้อยนาย ถึงนายอำเภอจะยังอยู่แล้วเขาจะทำการอันใดได้? เขาจะหยุดพวกกบฏโพกผ้าเหลืองได้งั้นหรือ?”
เฉิงชงพ่นลมหายใจออกมาอย่างช้า ๆ
สายตาของเขาเต็มไปด้วยความแน่วแน่
“สามร้อยคนก็เพียงพอ!”
“แม้ว่าพวกกบฏโพกผ้าเหลืองจะมีจำนวนที่มาก แต่พวกเขาก็เป็นแค่กองทัพที่เกิดจากกลุ่มคนพาล คนเลว และคนยากไร้เท่านั้น”
“หากเราชนะ เช่นนั้นจะสามารถก้าวไปต่อได้อย่างธรรมชาติ แต่หากแสดงความพ่ายแพ้ ท้ายที่สุดก็ต้องหนีเพียงอย่างเดียว”
“คิดจะจับคนต้องยิงที่ม้า คิดจะจับโจรต้องจับหัวหน้า หากคิดจะเอาชนะพวกกบฏโพกผ้าเหลือง พวกเราก็ต้องจัดการกับแม่ทัพของมันก่อน ตราบใดที่สามารถพาทหารทั้งสามร้อยนายบุกทะลวงไปยังส่วนกลางของกองทัพและสังหารแม่ทัพพวกมันได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลพวกกบฏที่เหลือแล้ว”
หลังจากนั้นเฉิงชงไม่คิดลังเลอีกต่อไป
เขามุ่งหน้าไปยังกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว
แม้ว่านายอำเภอจะหนีเอาตัวรอดไปแล้ว แต่นายกองและทหารของเมืองย่อมไม่หนีอย่างแน่นอน
เวลานี้พวกเขาต้องทำหน้าที่รักษาการณ์อยู่บนกำแพงเมือง!
สิ่งที่เขาต้องทำอย่างเร่งรัดตอนนี้คือได้รับความไว้วางใจจากนายกองและทหารเหล่านี้!
ขณะมองด้านหลังของเฉิงชง แววตาของอาลักษณ์ผู้นั้นได้เผยความประหลาดใจออกมาเล็กน้อย
“คิดจะจับคนต้องยิงที่ม้า คิดจะจับโจรต้องจับหัวหน้า? ชายหนุ่มคนนี้ยังดูอายุน้อย เหตุใดถึงมีแนวคิดทางการศึกที่ไม่เลว?”
“อาจารย์กล่าวได้ถูกต้อง ในสิบสี่แคว้นของราชวงศ์ฮั่นต่างมีพยัคฆ์และมังกรซ่อนตัวอยู่ทุกหนแห่ง อำเภอจงหลิงเป็นเขตชายแดนที่รกร้าง แต่กลับมีบุรุษที่โดดเด่นเช่นนี้อาศัยอยู่”
“ดูเหมือนว่าการออกมาจากสถาบันเองฉวนและขึ้นมาทางเหนือจะไม่เสียเปล่าเลย ข้า กุยแกนับว่ามาถูกทางแล้ว!”
แต่ทันใดนั้นความกังวลก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้ากุยแก
เขาส่ายหัวเล็กน้อยและถอนหายใจ
“อย่างไรก็ตาม แม้กองกบฏโพกผ้าเหลืองจะเป็นแค่กลุ่มคนไร้ความสามารถ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฝ่าทะลวงไปเด็ดหัวแม่ทัพออกมา”
“ความพร้อมทางทหารของเมืองจงหลิงนั้นหย่อนยาน กองทหารรักษาการณ์ทั้งสามร้อยคนนั้นล้วนไม่คิดจะสู้”
“อาศัยคนเหล่านั้นแล้วจะเอาชนะพวกกบฏโพกผ้าเหลืองและปกป้องเมืองจงหลิงได้อย่างไร! ต่อให้เป็นแม่ทัพที่เก่งกาจก็อาจจะทำไม่ได้! แล้วเขาจะทำได้งั้นหรือ?”
ณ กำแพงเมือง
บรรดาทหารเริ่มมารวมตัวกัน
ใบหน้าของพวกเขาต่างแสดงความหวาดกลัวออกมาชัดเจน
ความกดดันของกบฏโพกผ้าเหลืองห้าพันคนนั้นหนักอึ้งราวกับก้อนหิน
มันทำให้จิตใจพวกเขาจมดิ่ง!
ทันใดนั้นได้มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
เฉิงชงได้ก้าวขึ้นมาบนกำแพงรักษาการณ์
นายกองเจี้ยงเฟิงเหลือบไปมองพร้อมขมวดคิ้ว
เนื่องจากเหตุการณ์ของกบฏโพกผ้าเหลือง อารมณ์ของเขาจึงไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
เมื่อเห็นคนที่ไม่รู้จักปีนกำแพงเมืองขึ้นมาโดยไม่ได้รับอนุญาต เจี้ยงเฟิงยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้น
“เจ้าคิดจะมาทำสิ่งใดที่นี่?”
“นี่คือกำแพงสำคัญที่ใช้รักษาการณ์ คนที่ไม่ได้รับอนุญาตกล้าขึ้นมาได้อย่างไร?”
“เจ้าคงไม่อยากจะมีศีรษะอีกแล้วใช่หรือไม่?”
ทันใดนั้นทหารคนหนึ่งได้เดินออกมาตะคอกอย่างไม่สบอารมณ์
“นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าสามารถขึ้นมาได้โดยพลการ!”
“หากยังไม่รีบไสหัวลงไป เช่นนั้นอารมณ์ของข้าอาจจะไม่ดีจนเผลอฟันเจ้าได้!”
เฉิงชงไม่ได้แสดงความกลัว แต่กลับกล่าวเยาะเย้ย
“ฟันข้า?”
“ข้ามาที่นี่เพื่อจะแนะนำวิธีเอาชนะคมดาบของพวกกบฏโพกผ้าเหลือง”
“ย่อมได้หากจะฟันข้าทิ้ง แต่พวกเจ้าจะรอดจากคมดาบของพวกกบฏโพกผ้าเหลืองงั้นหรือ?”
“คนในครอบครัวพวกเจ้าที่อาศัยอยู่ในจงหลิงจะรอดจากการถูกปล้นสะดมงั้นหรือ?”
คำถามเชิงโวหารของเขาทำให้บรรดาทหารตกตะลึง
เมื่อนายกองเจี้ยงเฟิงได้ยินคำกล่าว เขาจึงรีบเดินมาทันที
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับผู้ที่มีความสามารถด้านกลยุทธ์ ไม่ว่าจะศึกใดก็สามารถตัดสินชัยชนะของสงครามได้เพียงคำพูดไม่กี่คำ
อย่างไรก็ตาม เฉิงชงยังดูอายุน้อยเกินไป
หรือมันยังจะมีหนทางอื่นอยู่อีก?
“ฟังจากที่กล่าวมา เจ้ามีแผนการที่จะหยุดพวกศัตรูงั้นหรือ?”
เฉิงชงเผยรอยยิ้มและกล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล
ดวงตาของเขาเผยประกายเจิดจรัส
“เมื่อข้ากล้าที่จะขึ้นมา เช่นนั้นย่อมต้องมีแน่นอน”
“ตราบใดที่เจ้าทำตามที่ข้าพูด”
“ข้าสามารถรับประกันความปลอดภัยของอำเภอจงหลิงได้”
นายกองเจี้ยงเฟิงกะพริบตา
เขาไม่ใช่คนนิสัยบุ่มบ่ามและยังคิดอย่างรอบคอบ
หากชายตรงหน้าไม่ทำสิ่งใด ท้ายที่สุดเมื่อกบฏโพกผ้าเหลืองเข้ามา พวกเขาก็ต้องตายเช่นเดิม
แค่ต้องลองเสี่ยงดู!
หลังจากนั้นเขาได้ยกมือขึ้น
“ตกลง ข้าจะฟังเจ้า! ชีวิตของพี่น้องหลายร้อยคนรวมทั้งชาวเมืองนี้อยู่ในมือของเจ้าแล้ว!”
“แต่ข้าต้องขอพูดให้ชัดเจนก่อน!”
“หากเจ้าสามารถรักษาอำเภอจงหลิง และปราบกบฏโพกผ้าเหลืองที่กำลังจะมาถึงได้จริง ๆ พี่น้องของข้าจะรับใช้และติดตามเจ้าตลอดไป”
“แต่หากเจ้าแค่พูดจาโอ้อวดไร้ซึ่งทักษะ ข้าจะฟันเจ้าออกเป็นสองท่อนและโยนให้พวกกบฏโพกผ้าเหลืองดู!”
เฉิงชงพยักหน้า
เขาหาได้สนใจคำขู่ของเจี้ยงเฟิงไม่
“เช่นนั้นก็ตกลง”
เมื่อเห็นเฉิงชงยังคงสงบ เจี้ยงเฟิงจึงรู้สึกโล่งอกเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามต่อ
“แล้วแผนของเจ้าคือสิ่งใด?”
“เป็นการมอบหมายให้หน่วยสอดแนมติดตามการเคลื่อนไหวของพวกกบฏอย่างใกล้ชิดหรือไม่?”
“หรือจะบอกว่าเจ้ามีสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับซุ่มโจมตี หลังจากได้รับคำสั่งเสียงฆ้องและกลอง ทหารที่ซุ่มอยู่ทั้งหมดจะถูกส่งไปจัดการพวกกบฏโพกผ้าเหลืองเหล่านั้นในคราวเดียวสินะ!”
เขามองเฉิงชงด้วยความคาดหวัง
เฉิงชงยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับ
“ไม่ใช่ทั้งสอง”
“ตอนนี้เจ้ามีเพียงงานเดียวที่ต้องทำ”
“นั่นคือการฝึกค่ายกล!”
ทุกคนต่างตกตะลึง
เจี้ยงเฟิงเกาศีรษะและถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ค่ายกล?”
“มันจะได้ผลหรือ?”