ตอนที่ 3 คำเชิญรวมตัวจากเพื่อนร่วมชั้นเกาจิ้น
หวงอิงปลอบให้เซียวหรงคลายโกรธ เซียวหรงกำหมัดแน่นอนจนมือสั่น “นายรอไปก่อนเถอะ! อยากหย่ากับฉันเหรอ ฝันไปเถอะ!”
หวงอิงแอบหัวเราะและเปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว เธอไม่ต้องการเข้าไปพัวพันเรื่องในครอบครัวของเซียวหรง
“หรงหรง ช่วยกันคิดเร็วว่าจะจัดการเรื่องเงินยังไงดี ใกล้จะครบกำหนดแล้วด้วย”
เซียวหรงพยักหน้า
สาเหตุที่หวงอิงถูกเรียกมาวันนี้ก็เพื่อคุยเรื่องธุรกิจของบริษัท ผู้จัดการที่รับผิดชอบโครงการสนามเด็กเล่นได้เอาเงินทุนของบริษัทหนีไป ช่วงวิกฤตแบบนี้ถ้ายังไม่รีบหาทางรับมือมันอาจทำให้นักลงทุนไม่มาลุงทุนอีก
...
ตอนนี้เย่เทียนยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทเซียว หลังออกมาจากวิลล่าเขาก็ขี่รถสามล้อตรงไปทางเข้าของโรงเรียนมัธยมต้นเพื่อเปิดร้าน
ทันทีที่เขาตั้งแผงลอยก่อนจะเริ่มขาย เมอร์เซเดส-เบนซ์ก็มาจอดที่ริมถนน หน้าต่างรถค่อยๆเลื่อนลงและมีคนหน้าตาคุ้นเคยมองมา
เกาจิ้น เพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลายของเย่เทียน
“เย่เทียน?” เกาจิ้นพูดด้วยความประหลาดใจ
เย่เทียนจำเกาจิ้นได้อย่างรวดเร็ว “เกาจิ้น นายเป็นไงบ้าง?”
“เชี่ย!”
เกาจิ้นลงจากรถแล้วจับมือเย่เทียนด้วยความประหลาดใจ “นายไม่ได้ไปต่อมหาลัยที่เซิ่งจิงเหรอ นายกลับมาทำไมล่ะ?”
“เซิ่งจิงก้าวหน้าเร็วเกินไปแถมยังอยู่ไกลบ้านด้วย ฉันเลยกลับมาพัฒนาตัวเองที่ไห่จิงก่อน” เย่เทียนตอบด้วยรอยยิ้มว่า “นายหิวไหมลองอาหารฝีมือฉันหน่อยเป็นไง?”
เกาจิ้นมองที่เย่เทียนและกวักมือเรียกผู้หญิงในรถ “เสี่ยวเย่ เธอมัวทำอะไรอยู่ยังไม่ออกมาเจอเพื่อนร่วมชั้นเราอีก”
“ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอนายที่นี่”
สาวสวยคนหนึ่งลงจากรถแล้วจับมือกับเย่เทียน เธอกะพริบตาโตๆของเธอ “จำฉันไม่ได้เหรอ?”
“จำได้อยู่แล้วเพราะเธอเป็นนกฮูกไง” เย่เทียนยิ้ม
ตู้เสี่ยวเย่,เกาจิ้นและเย่เทียนเป็นเพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลายทั้งหมด ในช่วงนั้นพอถึงกลางคืนตู้เสี่ยวเย่ชอบใส่คอนแทคเลนส์เสริมความงามเลยทำให้เธอตาโตขึ้นเพื่อนๆจึงเรียกเธอว่า นกฮูก
ในโรงเรียนมัธยมปลาย ตู้เสี่ยวเย่ชอบความหล่อเหลาและความฉลาดของเย่เทียน เธอจึงแอบเขียนจดหมายรักถึงเขา
“เย่เทียน ไม่ใช่ว่านายไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่เซิ่งจิงเหรอ ทำไมถึงมาขายเครปอยู่ที่นี่ล่ะ?” ตู้เสี่ยวเย่ดูไม่ค่อยเชื่อเล็กน้อยเพราะเย่เทียนเป็นผู้ชายที่เด่นในโรงเรียน แต่ตอนนี้เขากลับดูตกต่ำมาก
เย่เทียน “ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่พวกนาย...”
“อ๋อ! ฉันกับเสี่ยวเย่เป็นแฟนกัน เรากำลังเดทกันอยู่” เกาจิ้นพูด
“แบบนี้เอง!”
ทั้งสามคนพูดคุยกันไม่กี่คำ และเกาจิ้นก็ตบหน้าผากของเขา “เกือบลืมแหน่ะ พรุ่งนี้ตอนเที่ยงเพื่อนร่วมชั้นมัธยมของเรานัดเจอกันที่โรงแรมเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ ชั้น2! ฉันว่าจะบอกนายคืนนี้แต่บังเอิญมาเจอนายที่นี่ก่อน เย่เทียนนายต้องมาให้ได้นะ!”
“โอเค ฉันจะไป”
ขณะที่คุยกันเย่เทียนก็ทำเครปสองชุดไปด้วยและได้ยื่นให้เกาจิ้น “กินตอนที่มันร้อน”
“ขอบคุณ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ!”
“เจอกันพรุ่งนี้”
เกาจิ้นขับรถออกไป
เมื่อมองไปยังเย่เทียนที่ยังยุ่งๆอยู่ผ่านกระจกเงา มุมปากของเกาจิ้นก็ยกขึ้นเล็กน้อย “เรียนเก่งแล้วไงล่ะสุดท้ายก็แทบไม่ต่างไปจากขอทาน นี่แหล่ะความเป็นจริง คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนที่อยู่สูงเสียดฟ้าตอนนั้นกลับล่วงลงมาอยู่ที่พื้นและตอนนี้ยังต้องมาขายแพนเค้กผลไม้เพื่อประทังชีวิตอีก ชีวิตช่างคาดเดาอะไรไม่ได้เลยจริงๆ”
“ขายแพนเค้กผลไม้ก็ไม่ได้แย่นิ เห็นว่าได้กำไรเดือนล่ะ10,000 ถึง 20,000 หยวนต่อเดือนเลยนะ” ตู้เสี่ยวเย่กล่าว
“หนึ่งหมื่นถึงสองหมื่น? เฮอะ!” เกาจิ้นโยนแพนเค้กสองชุดลงในถังขยะข้างถนนโดยไม่หันไปมอง ในฐานะเศรษฐีที่มีทรัพย์สินหลายสิบล้าน เขาจะไปกินอาหารขยะแบบนี้ได้อย่างไร
“เจ้านั่นเสียเวลาไปทั้งเดือนแต่ยังซื้อกระเป๋าให้เธอสักใบไม่ได้ เธอคิดว่าแบบนี้มันดีหรือไงเธอยังชอบมันอยู่อีกเหรอ?” เกาจิ้นมองแฟนสาวอย่างเอียงอาย
หลังจากที่เธอได้เข้าไปอยู่ในสังคมขนาดใหญ่ ตู้เสี่ยวเย่ก็ไม่ใช่เด็กสาวไร้เดียงสาในโรงเรียนมัธยมอีกต่อไป เธอหัวเราะเบาๆและคว้าแขนของเกาจิ้น “อุ้ย มีคนหึงด้วยล่ะ ใครกันแน่ที่เป็นเด็ก? ตอนนี้ใครๆก็ชอบนายทั้งนั้นแหล่ะ”
เกาจิ้นบ่น “นี่แหล่ะที่ฉันอยากได้ยิน”
“เป็นวันรวมศิษย์เก่าพรุ่งนี้ฉันมีเสื้อผ้าหมดแล้วแต่ยังไม่มีกระเป๋าเลย” ตู้เสี่ยวเย่พูดเสียงเบาๆเหมือนร่ายมนต์
“เข้าใจแล้ว หลุยส์วิตตองก็แค่ 50,000 หยวนเองไม่ใช่เหรอ ถ้าอยากได้ก็ไปซื้อสิ”
“เกาจิ้นใจดีกับฉันที่สุดเลย ม็วฟ~”
....
เย่เทียนไปรอที่สำนักงานกิจการพลเรือนจนถึง4โมงเย็น แต่เขายังไม่เห็นเซียวหรงเลยและเธอก็ไม่รับโทรศัพท์หรือส่งข้อความมาด้วย ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดแล้ว ด้วยความสิ้นหวังนี้เขาจึงทำได้แค่กลับบ้านไปเท่านั้น
เนื่องจากระบบเปิดใช้งานแล้วเขาจึงไม่จำเป็นต้องกลับไปเป็นทาสของตระกูลเซียวอีก เขากลับไปที่หมู่บ้านหยิ่นหลงและซื้อผลไม้และผักสดมากมายเมื่อเขาผ่านตลาด เขาจะนำไปทำเป็นอาหารเย็นสำหรับพ่อแม่ของเขา…
“อร่อยมาก ลูกชายฉันทำอาหารเก่งจริงๆ” พ่อเย่มีความสุขมาก เขาไปเปิดขวดเหล้ามากินร่วมด้วย ลูกชายที่ไม่ได้กลับบ้านมานานก็นั่งดื่มกับเขาอย่างมีความสุข
...
วิลล่าตระกูลเซียว
พอไม่มีคนใช้อย่างเย่เทียน เซียวหรงก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่พักหนึ่ง
“ลูกกับเย่เทียนมีปัญหาอะไรกันรึเปล่า?” พ่อของเซียวหรงถามอย่างกังวล
เซียวหรงส่ายหัวโดยบอกว่าเธอไม่ต้องการพูด
พ่อเซียวหรงถอนหายใจ “ในเมื่อเขาไม่อยู่ที่นี่งั้นพ่อจะพูดตรงๆเลยแล้วกัน อันที่จริงแล้วเย่เทียนค่อนข้างใช้ได้เลย พ่อไม่เข้าใจว่าทำไมลูกถึงชอบรังแกเขาตลอดเวลาแบบนั้น เขาทำให้ลูกโกรธเหรอ?”
เซียวหรงพูดอย่างโกรธเคือง “หนูแค่ไม่ชินกับท่าทางของเขา เขาเป็นถึงลูกเขยของตระกูลเซียวแต่เขายังทำตัวขี้ขลาดแถมเขายังดูเหมือนคนใช้ด้วย พ่อจำตอนที่หนูจัดให้เขาเป็นหัวหน้ารปภ.ได้ไหม? เจ้าวายร้ายนี่ถูกรปภ.สองสามคนที่เข้ามาในบริษัทแกล้งแต่เขากลับไม่ตอบโต้อะไรเลย! พ่อรู้มั้ยว่าคนในบริษัทพูดลับหลังหนูว่ายังไง พวกเขาบอกว่าหนูมันตาบอดที่เอาคนอย่างเขามาทำสามี ตั้งแต่นั้นมาหนูก็เกลียดเขาจนหนูแทบรอไม่ไหวที่จะเตะเขาให้ตาย!”
“หรงหรง…” พ่อเซียวหรงจับมือของลูกสาวและพูดอย่างช่วยไม่ได้ “พ่อพูดตามตรงนะ ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะได้อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีสิทธิพิเศษแบบลูก ลูกก็รู้ภูมิหลังครอบครัวของเย่เทียนดี ในฐานะเด็กฐานะยากจนเขาเลยมีความเย่อหยิ่งน้อยกว่าลูก ลูกจะให้เขาทำสิ่งที่คุณต้องการและทำตัวเหมือนลูกได้ยังไง?”
“ครอบครัวหนูไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เขายากจน!” เซียวหรงพึมพำ นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนบ่าย ทำให้เกิดอีกไฟโกรธอีกดวงหนึ่ง “พ่อรู้ไหมว่าเด็กคนนี้ปีกล้าขาแข็งแล้ว วันนี้เขามาขอให้หนูไปที่สำนักงานกิจการพลเรือนเพื่อหย่ากับเขา!”
“อ๊ะ ลูกไปมาแล้วเหรอ?” พ่อเซียวผงะ จู่ๆความสุขก็บังเกิด?
“หนูไม่ได้ไป!” เซียวหรงพูดอย่างโกรธเคือง “ถ้าหนูไปเอง มันจะเป็นงานฉลองการหย่าได้ยังไง? เย่เทียน นายมีสมบัติอะไรที่ขอให้ฉันไปหย่ากับนาย!”
“เรื่องหย่ามันสำคัญมากไหม?”
“แน่นอนว่ามันสำคัญ! แต่มีแค่ฉันเท่านั้นที่จะให้นายไปหย่าได้! ไอ้คนไร้ประโยชน์อย่างนายน่ะ มันไม่มีวัน!”
“เฮ้อ...”
พ่อเซียวถอนหายใจและไม่พูดอะไรอีก
ที่เย่เทียนมาขอหย่ากับหรงหรงค่อนข้างน่าสนใจเลย
...
“ฮัดชิ่ว!”
เย่เทียนจามที่ทานอาหารอยู่ในห้องนอน เขาลูบจมูกของเขา เขาแทบไม่ต้องคิดอะไรเลยเซียวหรงคงพูดจาไม่ดีใส่เขาลับหลังแน่ๆ
“ยังไงก็เถอะ การแต่งงานครั้งนี้ฉันต้องหย่าให้ได้!”
“เฮ้อ ฉันไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะได้อะไรหลังจากลงชื่อเข้าใช้ ถ้าให้เป็นเงินก็คงจะดี พอตอนที่ไม่มีเงินแล้วมันช่างน่าเศร้าจริงๆ…”