ตอนที่แล้วเล่มที่ 1 : บทที่ 8 – ทิวโทเรียล (6)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเล่มที่ 1 : บทที่ 10 – ทิวโทเรียล (8)

เล่มที่ 1 : บทที่ 9 – ทิวโทเรียล (7)


SLR - เล่มที่ 1 : บทที่ 9  - ทิวโทเรียล (7)

ยอนอูจ้องมองชายหนุ่ม ท่าทางของเขาแสดงออกชัดถึงความสงสัยว่าทำอะไรผิด ชายหนุ่มดูมีหลายอย่างที่จะพูด แต่กลับปิดเงียบเอาไว้ เขากำลังคิดว่าในที่สุดก็จะได้ออกไปจากที่ที่น่ากลัวนี้สักที ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ตกลง ฉันจะช่วยนาย นายอยากให้ฉันทำอะไร?”

* * * * *

ชายหนุ่มแนะนำตัวเองว่าชื่อ ยูล

“ยูล?”

“ใช่ ยูล ทุกคนเรียกฉันแบบนั้น”

ยอนอูรู้ว่าชื่อนั่นเป็นเพียงนามแฝง แต่เขาก็ไม่ได้ถามถึงเรื่องนั้น ท้ายที่สุด ทั้งคู่จะแยกย้ายไปตามทางของตัวเองหลังจากได้รับสิ่งที่ต้องการจากกันและกัน “เอาล่ะ ยูล ฉันจะเปิดทางให้ ตามฉันให้ทัน ไม่อย่างนั้นนายจะถูกทิ้งไว้ที่นี่อีกครั้ง”

“เข้าใจแล้ว”

“อีกอย่าง”

“หืม?”

“เวลาคุยกับฉันช่วยใช้คำให้สุภาพด้วย ฉันจะไม่ปล่อยผ่านไปเพียงเพราะนายยังเด็กหรอกนะ”

ตอนแรก ยูลไม่รู้เลยว่าจะพูดอะไร เขาคิดว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้นเพราะอย่างไรเสียยอนอูก็รู้อายุจริง ๆ ของเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงตอบกลับไปเพียงแค่ “โอเคครับ” ราวกับความดื้อรั้นของเขามันฝังลึกเกินไป เขาจึงไม่อยากแสดงออกให้เห็นว่าตัวเองอ่อนแอ

ยอนอูเดินนำไปตามทางเดินพร้อมเปิดใช้งานดวงตามังกร ทุกครั้งที่ก้าวไปในระยะทางที่กำหนด หุ่นไล่กาทองแดงก็จะปรากฏตัวออกมาขวางทาง พวกมันเลียนแบบการเคลื่อนไหวของยอนอูและพยายามโจมตี แต่ยอนอูก็ผลักพวกมันไปด้านข้างและแทงกริชเข้าไปยังจุดที่ไม่สมบูรณ์ในทุกครั้ง ปั้ก! แขนขาท่อนหรือสองท่อนจะลอยขึ้นไปในอากาศ และในบางครั้ง เศษซากศีรษะของหุ่นไล่กาก็จะกลิ้งไปบนพื้น

ก่อนหน้านี้เขาเน้นไปที่ความเร็ว ตอนนี้เขาเปลี่ยน โดยเน้นไปที่การปะทะกับหุ่นไล่กาทองแดงแทน และกำจัดมัน ขณะที่เขากำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้า เขารู้ดีว่านี่จะเป็นกลยุทธ์ที่ดีกว่าเพราะเขาสามารถหากลยุทธ์ใหม่ ๆ ได้จากการใช้ประสาทสัมผัสเพื่อประสานพลังกับกล้ามเนื้อที่แข็งแรง

ยูลตามติดยอนอูแบบไม่เว้นระยะห่าง หุ่นไล่กาทองแดงน่ากลัวระเบิดแตกเป็นเสี่ยง ๆ ทุกครั้งที่ยอนอูเหมือนเพียงแค่ทำการสะบัดกริชธรรมดาเท่านั้น ตอนนี้ยูลเริ่มสงสัยว่านี่ใช่หุ่นไล่กาแบบเดียวกับที่เขาสู้ก่อนหน้านี้หรือไม่

ยอนอูก็มองเขาด้วยท่าทางที่แสดงชัดถึงความสงสัยว่าทำไมยูลยังไม่เริ่มอธิบายสิ่งที่เขารู้อีก จากนั้นยูลก็สะดุ้งด้วยความตกใจและเริ่มพูดออกมา “ผมไม่รู้ว่าหรอกนะว่าคุณเป็นใคร ผมมองเห็นมานามาตั้งแต่จำความได้”

“ตั้งแต่จำความได้?” ยอนอูหยุดเดินครู่หนึ่งและหรี่ตาแคบลง “สิ่งนี้เกี่ยวอะไรกับสายเลือดนายหรือเปล่า?”

“คล้ายกันครับ”

“ฮืม” นี่เป็นความสามารถที่พบได้ยากมากบนโลก แต่เป็นสิ่งที่พบได้มากจากโลกอื่นที่ซึ่งมีผู้คนจำนวนมากจะมีความสามารถเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองหรือพลังเหนือธรรมชาติที่ฝังอยู่ในยีนของพวกเขา คนเหล่านี้มีบรรพบุรุษที่มากความสามารถได้ส่งต่อความสามารถเหล่านี้จากรุ่นสู่รุ่น ทายาทจะปลุกพลังความสามารถขึ้นสู่ตำแหน่งที่โดดเด่น และส่งต่อพรสวรรค์หรือพลังเหนือธรรมชาติโดยกำเนิดนี้ไปยังทายาทของพวกเขาสืบต่อไป เช่นเดียวกันกับยูล

“ความสามารถที่ฉับสืบทอดมานั้นเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมานา มันทำให้ผมเห็น สัมผัส และรู้รสชาติมานาได้ จึงตอบว่าทำไมผมจึงรู้ว่าหุ่นไล่กาทองแดงมีระบบเซ็นเซอร์”

ยอนอูครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง “จะว่าไปมันก็คล้ายกับจองอูนี่?” น้องชายของเขามีลักษณะนิสัยการปรับตัวอันสมบูรณ์แบบ เขาสามารถสื่อสารได้กับทุกสิ่ง หมายความว่า กับมานาเขาก็สามารถสื่อสารได้เช่นกัน น้องชายของเขาไม่มีปัญหาด้านการสัมผัสถึงมานา ต่างจากคนอื่น ๆ บนโลกที่ยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของมัน จองอูควบคุมมานาได้อย่างไหลลื่น ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เพื่อนร่วมทีมของเขาต่างตกตะลึงกับความสามารถนี้ และยังเป็นเหตุผลที่คาลาทัส มังกรโบราณเลือกเขาเป็นผู้สืบทอดความสามารถเชื้อสายมังกร เป็นความสามารถที่แม้แต่มนุษย์ธรรมดาไม่อาจเอื้อมถึง นี่จึงตอบคำถามที่ว่าทำไมบันทึกเกี่ยวกับข้อมูลมานาในไดอารี่จึงไม่ได้ช่วยอะไรเลย เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร

การสืบทอดทางสายเลือดและการปลุกพลังความสามารถผ่านคุณลักษณะ ทั้งสองอย่างฟังดูคล้ายกับยอนอู ‘ในทางเทคนิคแล้ว ยูลและจองอูถือเป็นอัจฉริยะ ซึ่งฉันไม่ใช่’ ยอนอูเริ่มคิดถึงข้อตกลงที่เขาสร้างร่วมกับยูลว่าสุดท้ายแล้วมันจะจบลงเพียงแค่การช่วยเหลือกันก็เท่านั้น

แต่ขณะนั้นเอง ความเห็นหนึ่งของยูลทำให้ยอนอูเกิดความสนใจขึ้นมา “ให้คุณคิดเสียว่ามานาคือแม่น้ำ ส่วนเวทมนตร์คือน้ำที่ไหลจากแม่น้ำลงสู่อ่างเก็บน้ำ”

ยอนอูพูดทวนซ้ำกับตัวเองเบา ๆ “อ่างเก็บน้ำงั้นเหรอ?” หุ่นไล่กาทองแดงตัวสุดท้ายถูกโค่นลง มีบางอย่างค้างคาอยู่ในจิตใจเขาและหลาย ๆ ความคิดก็กำลังปะปนกันมั่วไปหมด ตอนนี้ทั้งคู่กำลังตรงไปยังประตูเหล็กเพื่อมุ่งหน้าไปยังเขตบี

* * * * *

[คุณเคลียร์เขตเอสำเร็จในฐานะผู้เล่นเดี่ยว]

[คุณประสบความสำเร็จซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะบรรลุได้ คุณจะได้รับคาร์ม่าเพิ่มเติม]

[คุณได้รับ 500 คาร์ม่า]

[คุณได้รับคาร์ม่าเพิ่มเติมอีก 300 คาร์ม่า]

[พลังชีวิตและมานาจะได้รับการฟื้นฟูจนเต็ม]

[ค่าสถานะทั้งหมดจะถูกลบล้าง]

‘ดีที่ไม่ได้ถูกประเมินเป็นทีม’ ยอนอูเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ ออกมาขณะอ่านข้อความ ระบบอินเตอร์เฟสแจ้งความสำเร็จทั้งหมดของยอนอู น่าจะเป็นเพราะเขาจัดการกับหุ่นไล่กาทั้งหมดเพียงคนเดียวไม่มีความช่วยเหลือจากยูล ‘ได้แปดร้อยพ้อยท์มาจากส่วนนี้สินะ’

ในหอคอย แนวคิดเรื่อง คาร์ม่า มีความสำคัญมาก มันคือระบบการให้คะแนนตามความสำเร็จของผู้เล่น หอคอยและผู้พิทักษ์จะมอบรางวัลตามคาร์ม่าที่สะสมได้ และยังสามารถใช้เป็นค่าเงินในหมู่ผู้เล่นด้วยกันเพื่อใช้ซื้อขายไอเทมต่าง ๆ ได้ ผู้เล่นทุกคนจะต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อรวบรวมคาร์ม่าให้ได้มากที่สุดเมื่ออยู่ในหอคอย

ยอนอูเพิ่งผ่านแค่ทิวโทเรียลเขตเอแต่ก็ได้รับคาร์ม่ามาจำนวนมากแล้ว ผู้เล่นคนอื่น ๆ คงตกใจถ้าได้รู้เรื่องนี้ “แค่นี้ยังไม่พอหรอก ต้องได้มากกว่านี้ ต้องหาให้ได้มากที่สุด” ยอนอูปิดหน้าต่างคาร์ม่าและก้าวเข้าไปยังห้องพักคอยของเขตบี จากนั้นอากาศบริสุทธิ์ก็ได้ไหลเข้าสู่ปอดของเขา

“ใครน่ะ? ทำไมต้องสวมหน้ากากด้วย?”

“หมอนั่นเพิ่งผ่านเขตเอมาเหรอ?”

“อะไรนะ? ตอนนี้น่ะเหรอ?”

“เดี๋ยวก่อน แล้วคนอื่นล่ะ? มีแค่เขาคนเดียวเหรอ?”

ผ่านประตูเหล็กไป มีกลุ่มคนกว่าสิบคนกลุ่มหนึ่งมองมาที่เขาด้วยความตกใจ พวกเขาต่างรู้สึกประหลาดใจที่ยังคงมีผู้เข้าร่วมกำลังพยายามผ่านทิวโทเรียลอยู่แม้จะผ่านมาสองสัปดาห์แล้วก็ตามนับตั้งแต่บททดสอบเริ่มต้นขึ้น เป็นธรรมดาที่ผู้เข้าร่วมส่วนมากจะเลือกรอทิวโทเรียลรอบถัดไป ไม่เข้าร่วมกลางคันเช่นยอนอู แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาทึ่งมากกว่านั้นก็คือมีเพียงชายคนเดียวที่เดินผ่านประตูเหล็กเข้ามายังจุดพักคอยเขตบี พวกเขาต่างสงสัยว่าเขาผ่านเขตเอดินแดนอันโหดร้ายเพียงลำพังได้อย่างไร

“มัวทำอะไรอยู่? ไม่เข้ามาล่ะ?” ยอนอูพูดขณะหันไปมองข้างหลัง

ยูลผ่านประตูเหล็กเข้ามาด้วยสีหน้าที่แทบไม่อยากจะเชื่อสายตา ริมฝีปากของเขาสั่นและพึมพำออกมา “ในที่สุด... ฉันก็ออกมาจนได้” น้ำเสียงของเขาปะปนด้วยหลากหลายอารมณ์

[คุณได้เข้ามายังเขตบี]

ห้องพักคอยของเขตบีมีลักษณะคล้ายโดมและใหญ่พอที่จะจุคนได้นับพัน ผู้คนที่กำลังรออยู่ด้านในต่างวุ่นวาย บ้างก็ลับมีดด้วยหินลับมีด บ้างก็ยืดเส้นยืดสาย บ้างก็หลับ บ้างก็แค่นอนเฉย ๆ บนพื้นปฐมพยาบาลบาดแผลฉกรรจ์ให้กันและกัน มีบางคนที่บาดเจ็บจากการสูญเสียแขนขา นอกจากยูลแล้ว นี่คือกลุ่มคนกลุ่มแรกที่ยอนอูพบตั้งแต่เข้ามายังหอคอย และเขาก็เมินสายตาทั้งหมดที่กำลังจับจ้องมา “คนพวกนี้ต้องออกระหว่างทางทิวโทเรียลสินะ”

คนเหล่านี้ไม่มีแผนที่จะไปต่อหลังจากแทบจะเอาชีวิตไม่รอดจากเขตเออันน่ากลัว ทุกคนล้วนยอมแพ้และรอคอยอยู่ที่ห้องนี้จนกว่าทิวโทเรียลจะจบลงในอีกสองสัปดาห์

ทิวโทเรียลเป็นสถานที่อันตราย ผู้เล่นอาจเสียชีวิตได้หากไม่ร่วมมือกัน แตกต่างจากการทดสอบต่าง ๆ ที่อาจเคยพบมา ผู้คนเหล่านี้เอาชนะอันตรายจากเขตเอมาได้ แต่ก็สูญเสียความกล้าที่จะไปต่อเช่นกัน บางคนอาจจะเคยเห็นเพื่อนหรือแม้แต่คนรักตายไปต่อหน้าและต้องยอมจำนนต่อความตายอันน่ากลัว แม้แต่ฉันเองก็ยังมีโอกาสที่จะไม่รอดเหมือนกัน

ทิวโทเรียลจะยากขึ้นเมื่อผู้เล่นก้าวข้ามเขตไปไกลมากขึ้น และไม่แปลกที่จะมีจำนวนหนึ่งต้องถอนตัวออกกลางคันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากเขาให้ความสนใจกับคนเหล่านี้มากเกินไป มันจะทำให้เขาเสียสมาธิ ยอนอูเดินไปยังจุดที่ไม่มีคน ตรงนั้นมีม้านั่ง เขาเรียกยูลที่กำลังยืนนิ่งอยู่ “ยูล”

“หา? อื้อ!” ยูลจ้องมองไปยังจุดหนึ่งด้วยสายตาที่เป็นประกาย แต่ยอนอูทำให้เขาตกใจและต้องหันมามอง

“เรายังคุยกันไม่จบนะ”

“อือ ครับ!” ยูลหันกลับไปมองด้วยสายตาที่โกรธขึ้นกว่าเดิมและรีบเดินไปหายอนอู จากนั้นก็นั่งลงตรงข้ามเขา

ยอนอูมองไปยังจุดที่ยูลส่งสายตาโกรธเกรี้ยว ตรงนั้นมีผู้เล่นสี่คนยืนอยู่พร้อมกับสีหน้าที่เคร่งขรึม “เพื่อนร่วมทีมนายเหรอ?”

“เคยเป็น ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว” ยูลเผยสีหน้าเย็นชา คนพวกนั้นทิ้งยูลไว้ให้เผชิญหน้ากับความตายเพียงลำพัง ซึ่งก็ไม่แปลกที่เขาจะโกรธ และยูลก็ไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้อีก ‘ขยะก็คือขยะ เข้าไปยุ่งก็จะมีแต่เหม็นเน่าไปด้วย’

ยอนอูเกิดความคิดเช่นนี้ มีเส้นบาง ๆ คั่นอยู่ระหว่างการแก้แค้นและความโง่เขลา หากแยกแยะถึงความแตกต่างระหว่างสองอย่างนี้ได้ ยูลจะเติบโตขึ้นอีกมาก

“ผมพูดถึงไหนแล้วนะ”

“กระแสมานาอะไรสักอย่างนี่แหละ”

“อ๋อ งั้น...”

ยูลรู้ข้อมูลเกี่ยวกับมานาเยอะมากจนเขาต้องประหลาดใจ นอกจากนั้นก็ยังรู้ทฤษฎีเบื้องลึกด้วย ส่วนมากผู้ที่มีความสามารถทางด้านเวทมนตร์แต่กำเนิดจะไม่รู้เกี่ยวกับทฤษฎี แต่ยูลพูดว่าเขาถูกบังคับให้ศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ตั้งแต่อายุยังน้อยเพราะนั่นเป็นกฎของครอบครัว ต้องขอบคุณเขาที่พอทำให้ยอนอูได้แนวคิดคร่าว ๆ เกี่ยวกับเวทมนตร์และมานา การจะเข้าใจทฤษฎีทั้งหมดได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ตอนนี้ข้อมูลหลาย ๆ อย่างในความคิดเขาเริ่มที่จะเข้าที่เข้าทางแล้ว ทำให้เขาสามารถที่จะนำสิ่งที่จองอูเขียนไว้ในไดอารี่ไปลองปรับใช้ดู

“เอาล่ะ”

“ครับ?”

“ฉันพอรู้แนวคิดเรื่องมานาคร่าว ๆ แล้ว แต่ใช้มันไม่เป็น ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ไม่ได้เลย วิธีไหนง่ายที่สุดที่ใช้ควบคุมมานาหรือวิธีใช้ก็ได้?”

“อืม คือ...” ยูลเกาหลังศีรษะ “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนที่เริ่มรู้สึกสดชื่น ล่ะมั้ง? คือผมใช้ได้ตั้งแต่แรก จะให้อธิบายมันก็คงยากหน่อย”

“ถามจริง? เอาเถอะ ตามนั้นแล้วกัน” ยอนอูพยักหน้าราวกับคาดหวังว่าจะเจอคำตอบเช่นนี้ เขาคิดไว้ว่ายูลสามารถทำได้เพียงแค่อธิบายแบบเดียวกับที่น้องชายเขาทำได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย อย่างน้อยมันก็ช่วยคลายความสับสนที่มีได้ ไม่เกิดการสูญเสียใด ๆ จากข้อตกลงที่จะพายูลเข้ามายังเขตบี เพราะอย่างไรเสียเขาก็ต้องมาที่นี่อยู่แล้ว “งั้นฉันขอตัวนะ นายจะรอให้ทิวโทเรียลจบแล้วค่อยกลับไปใช่ไหม?”

“ครับ? อ๋อ ใช่ครับ” ดูเหมือนยูลมีอะไรจะพูดอีกเมื่อเห็นยอนอูลุกขึ้น แต่เขาเพียงเงียบและพยักหน้า แม้ว่าเขาอยากจะเข้าไปในหอคอย แต่มีเพียงเฉพาะผู้ที่มีคะแนนสูงสุดระหว่างทิวโทเรียลเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์เข้าไป ซึ่งนั่นไม่ได้รวมเขาอยู่ในนั้น ถึงอย่างนั้น ยูลก็ยังคงมีสีหน้าที่แสดงถึงความเสียใจเล็กน้อย

ยอนอูกล่าวลาไว้เพียงสั้น ๆ ก่อนจะไป เขาเพิ่งผ่านเขตเอมา ยังเหลืออีกสี่เขตกว่าจะถึงเขตเอฟ การลดระยะห่างของคะแนนระหว่างเขากับพวกหัวตารางให้เร็วที่สุดเป็นเรื่องจำเป็นมาก ยอนอูกำลังจะเดินจากไปแต่แล้วจู่ ๆ ชายสี่คนก็เดินตรงมาหาเขา พวกเขาคือกลุ่มคนที่ทิ้งยูล

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด