ตอนที่แล้ว366 - นัยยะสำคัญของเรื่องราว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป368 - กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง

367 - ฉวยโอกาสสร้างความปั่นป่วน


367 - ฉวยโอกาสสร้างความปั่นป่วน

ปะ…!

เสียงดังฟังชัดปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของหลินเจ๋อ ใบหน้าของหลินเจ๋อบวมเป่งขึ้นทันทีและมีเลือดไหลซึมออกมาจากปากของเขาเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้บุตรบุญธรรมของอัครเสนาบดีไม่กล้าที่จะเช็ดเลือดทำได้เพียงก้มหน้าด้วยความหวาดกลัว

“รู้มั้ยคราวนี้เจ้าพลาดตรงไหน”

หลังจากที่หลินชิงเทียนทำการสั่งสอนหลานชายของตัวเองแล้วเขาก็ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

หลินชิงเทียนแม้ว่าอายุจะล่วงเลยเข้าสู่วัย 60 แล้วแต่ด้วยการฝึกฝนอันแข็งแกร่งรวมไปถึงการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายทำให้ไม่มีรอยอยู่บนใบหน้าของเขา

อย่างไรก็ตามในครั้งนี้เขาถามออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่ก็ทำให้หลินเจ๋อหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

ในขณะที่เขากำลังจะตอบคำถามนี้เขาก็เหลือบมองไปเห็นสายตาที่เย็นชาของหลินชิงเทียนทำให้อดที่จะสยิวกายด้วยความหนาวเหน็บไม่ได้

“ท่านลุงข้าเพียงคิดว่าเจ้าเด็กนั่นเป็นคนที่ไม่มีนัยยะสำคัญอะไร ดังนั้นจึงคิดว่าเมื่อเขาตกอยู่ในมือของกรมอาญาเขาจะไม่สามารถเอาตัวรอดได้…”

“บอกข้าทีว่าแผนการของเจ้าคืออะไร?”

“ในตอนแรกข้าคิดจะให้เขาเข้าไปในคุกก่อน หลังจากนั้นไม่ว่าเขาจะทำผิดหรือไม่ข้าก็จะให้คนของฆ่าเขาในคุกซะ… หลังจากนั้นก็จะโยนความผิดทุกอย่างให้กับซูหลาง…

หัวหน้ามือปราบเฉินมีประสบการณ์ในเรื่องนี้และจะสามารถดำเนินการสิ่งต่างๆได้อย่างง่ายดาย ตราบใดที่เอี้ยนลี่เฉียงถูกนำตัวมาก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้…” หลินเจ๋อกลืนน้ำลายและพูดเบาๆ

“ในตอนนี้จางโหย่วหรงเสนอตัวออกมาเป็นพยานให้กับเอี้ยนลี่เฉียงโดยบอกว่าเขาอยู่ทานอาหารที่หอท้องฟ้าไร้สิ้นสุดจนถึงเที่ยงคืน หลังจากนั้นเขาก็ออกจากเมืองหลวงไป

หากเจ้าทำเรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆรังแต่จะเป็นการสร้างปัญหาให้กับทหารที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูเมืองหลวง เจ้าคิดว่าแม่ทัพใหญ่ประจำเมืองหลวงจะมีความรู้สึกเช่นไรในเรื่องนี้”

“นี่… ข้าไม่ได้นึกไปถึงขนาดนั้น…”

“เอี้ยนลี่เฉียงเป็นเพียงนักรบผู้ยิ่งใหญ่ ในบรรดาคนที่ถูกฆ่าตายเมื่อคืนสี่คน สองคนในนั้นคือปรมาจารย์การนักสู้ ส่วนอีกสองคนคือปรมาจารย์นักสู้ขั้นสูงสุด

และอีกสองคนสุดท้ายคือนักรบขั้นสุดยอด เจ้าคิดว่าเอี้ยนลี่เฉียงสามารถสังหารคนเหล่านี้ได้จริงๆอย่างนั้นหรือ?

หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปผู้คนทั้งเมืองหลวงจะมองเห็นข้าเป็นตัวตลกหรือไม่?”

ภายใต้คำพูดของหลินชิงเทียน สีหน้าของหลินเจ๋อก็ซีดลง

“แม้ว่าซูหลางจะเป็นคนไร้ประโยชน์ แต่เจ้าไม่รู้หรือไงว่าเขาเป็นผู้ติดตามของเสนาบดีชิวซึ่งอยู่ฝั่งเดียวกับข้า การกระทำของเจ้ารังแต่จะทำให้พวกเราแตกแยก นี่หรือคือวิธีการที่เจ้าช่วยเหลือข้า?”

ร่างกายของหลินเจ๋อสั่นเทา

“สิ่งหนึ่งที่เจ้าทำผิดพลาดมากที่สุดก็คือหากเจ้าต้องการจะฆ่าใครเจ้าต้องลงมืออย่างสุดกำลัง ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เจ้าจะเลือกใช้งานคนของทางการเท่านั้น แต่หลักฐานที่เจ้าสร้างมาก็ดูไร้สาระอย่างยิ่ง?”

“ตอนแรกข้าคิดว่าข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ไม่คิดว่า…”

“เจ้าไม่คิดว่าฝ่าบาทจะเรียกตัวเสนาบดีกรมอาญาไปตำหนิอยู่ถึงหนึ่งชั่วยามเต็มทั้งยังถูกริบเงินเดือนตลอดทั้งปี

เจ้าไม่คิดว่าหัวหน้ามือปราบเฉินจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง

เจ้าไม่คิดว่าคณะตุลาการของกรมอาญาจะถูกปลดออกจากตำแหน่งทุกคน แล้วคนจากฝ่ายของฝ่าบาทก็ถูกแต่งตั้งเข้ามาแทนที่ใช่หรือไม่?”

เหตุการณ์ครั้งนี้ร้ายแรงเป็นอย่างมาก ทุกคนที่อยู่ในกลุ่มอาญาไม่มีใครสามารถเอาตัวรอดได้ มีเพียงเสนาบดีกรมอาญาเท่านั้นที่ยังพอรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ ในขณะที่คนอื่นถูกถอดออกจากตำแหน่งทั้งหมด”

หลินเจ๋อรู้สึกว่าแผ่นหลังของเขาเปียกชุ่ม

“ข้า… ข้า…” เขาไม่สามารถพูดอะไรได้…

หลินชิงเทียนถอนหายใจแล้วกล่าวว่า

“ดูเหมือนว่าหลายปีที่ผ่านมาข้าจะปล่อยให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างสบายเกินไปจนลืมไปแล้วว่าเมืองหลวงนี้ แผ่นดินนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสมบัติของจักรพรรดิไม่ใช่ของตระกูลหลินเรา ไปเก็บข้าวของพรุ่งนี้เจ้ากลับแคว้นไห่ได้แล้ว!”

“ท่านลุง…”

หลินเจ๋อเดินโซซัดโซเซออกจากห้องทำงานของหลินชิงเทียน เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเมื่อเรื่องเล็กๆแค่นี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ในเวลาอันสั้น

โดยปราศจากการเตือนใดๆ วันนี้กลายเป็นความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา

แคว้นไห่เป็นบ้านเกิดของตระกูลหลิน และการกลับแคว้นไห่หมายถึงการกลับบ้าน เนื่องจากหลินชิงเทียนไม่มีลูกชาย ดังนั้นเมื่อหลินเจ๋ออยู่ในเมืองหลวงสถานะของเขาก็สูงส่งเป็นอย่างมาก

แต่การที่เขาถูกส่งกลับไปที่บ้านเกิดเช่นนี้ก็ย่อมหมายความว่าหลินชิงเทียนได้ปลดเขาออกจากตำแหน่งแล้ว และในไม่ช้าคงให้ลูกพี่ลูกน้องคนใดคนหนึ่งของเขาขึ้นมาแทนที่

“เอี้ยนลี่เฉียง!…”

ตามตรรกะของหลินเจ๋อเขาไม่ได้มองว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาด แต่มองว่าเอี้ยนลี่เฉียงที่ไม่ยอมตกเข้าสู่กับดักของเขานั้นคือคนชั่วช้าที่สุด

ขณะที่หลินเจ๋อเดินออกจากห้องทำงานของหลินชิงเทียน พ่อบ้านชราคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับยื่นหนังสือบางอย่างให้กับหลินชิงเทียน

หลินชิงเทียนไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงโบกมือและพ่อบ้านคนนั้นก็แสดงความเคารพก่อนจะถอยหลังกลับไป

หลังจากนั้น หลินชิงเทียนก็จ้องมองไปที่หนังสือเล่มเล็กๆ และหยิบขึ้นมาอ่านอย่างจริงจัง

เอี้ยนลี่เฉียงเพศชาย อายุสิบห้าปี เป็นคนเมืองผิงซีแคว้นกานโดยกำเนิด พ่อของเขาเป็นช่างตีเหล็กในเมืองหลิวเหอเกิดเมื่อปี ….

หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นด้วยตัวอักษรขนาดเล็กมาก แต่ด้วยความหนาของหนังสือที่มีหลายสิบหน้าย่อมแสดงให้เห็นว่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเอี้ยนลี่เฉียงถูกรวบรวมไว้อย่างครบถ้วน

หลังจากอ่านทุกอย่างแล้วหลินชิงเทียนก็โยนหนังสือเล่มเล็กๆลงไปบนโต๊ะ ดวงตาของเขาเป็นประกายและเคาะโต๊ะทำงานเบาๆพร้อมกับบอกว่า

“มิน่าเล่าซุนปิงเฉินถึงเลือกเจ้า…”

ในเวลาเดียวกัน ขันทีสองสามคนที่รับใช้จักรพรรดิก็สังเกตเห็นว่าเจ้าเหนือหัวของอาณาจักรฮั่นวันนี้เอาแต่หัวเราะไม่หยุด ในขณะเดียวกันพระองค์ก็เสวยอาหารค่ำได้เป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตามนอกจากซุนปิงเฉินที่ออกจากเมืองหลวงแล้ว คงไม่มีใครทั่วทั้งอาณาจักรฮั่นที่สามารถแบ่งปันความสุขที่เขาได้รับในวันนี้

“ฮ่าฮ่าฮ่า คำทำนายไม่ผิดเพี้ยนจริงๆเจ้าเด็กนั่นจะเป็นดาวนำโชคของข้า”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด