ตอนที่แล้วตอนที่20 สัประยุทธ์เดือด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่22 ศึกสัประยุทธ์

ตอนที่21 ฆ่าทิ้ง


ตอนที่21 ฆ่าทิ้ง

หลังจากเย่ซวนถูกกระหน่ำซัดกำปั้นเข้าใส่ไม่หยุดยั้ง ทั้งคู่ของเขาในขณะนี้เจ็บปวดเกินกว่าจะรับไหว แต่ยังดีที่ยังไม่ถึงขั้นกระดูกแตกหักซะทีเดียว

ในช่วงเวลาเช่นนี้ เย่ซวนอาศัยแรงผลักที่กระหน่ำซัดเข้ามา เทน้ำหนักถอยเท้าร่นออก พยายามตีระยะให้ห่างจากเย่เจวี๋ยให้ได้มากที่สุด พร้อมชกกำปั้นสวนออกไปทีละหมัดสองหมัด สายลมกระโชกแรงประดุจฟ้าคำรนตอบโต้

เย่เจวี๋ยเริ่มเป็นฝ่ายถูกโต้กลับบ้างแล้ว แต่ไม่ว่าทางด้านเย่ซวนจะมีเพลงหมัดที่ทรงพลังขนานใดก็ตามแต่ นี่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะโค่นเขาลงได้

หาใช่ว่าเย่เจวี๋ยไม่สามารถตอบโต้กลับไปได้ เพียงว่าเวลาอันเหมาะสมยังไม่มาถึงเท่านั้น ยามนี้เขายังเสาะหาโอกาสไม่เจอ

รนถอยออกไปจนสุดอีกด้านจัตุรัสกลางเมือง ในที่สุดเย่ซวนพลันชะงักครึ่งจังหวะเพื่อรวบรวมพลังเผด็จศึกใส่ แต่นั่นกลับเป็นช่องโหว่ให้ศัตรูโดยไม่ทันรู้ตัวเช่นกัน เย่เจวี๋ยสบพบโอกาส เร่งเร้าลมปราณควบแน่นลงในกำปั้น เอียงตัวเสียบเข้าไปชกอัดจุดตันเถียนของเย่ซวนโดยปราศจากปราการป้องกันใดๆ ทว่าเย่ซวนกัดฟันสู้ตีเข่าอัดจุดตันเถียนของเย่เจวี๋ยสวนกลับไปเช่นกัน

แต่เสี้ยวอึดใจนั้นเอง มุมปากของเย่เจวี๋ยพลันแสยะยิ้มฉีกกว้างขึ้นในทันใด เสมือนว่าตัวเขาคาดการณ์ทุกอย่างไว้หมดแล้ว แทบจะในทันที เย่เจวี๋ยฟันศกเข้ากระแทกเข่าของอีกฝ่ายสุดแรงราวกับตั้งใจจะตีให้แตก พออีกฝ่ายเสียการทรงตัวไปโดยสมบูรณ์ ก็เพิ่มแรงชกออกไปเต็มพิกัด เล่นเอาร่างอีกฝ่ายปลิวว่อนกระเด็นออกไปสุดขอบจัตตุรัสกลางเมืองอีกฟากในพริบตา!

บูม! เสียงกำปั้นดินระเบิดของเย่เจวี๋ยถาโถมมะลวงใส่ไปที่จุดเดียว เสียงข้อกระดูกบริเวณเข่าของเย่ซวนดังกร๊อกแกร๊กสันนิษฐานว่าปริแตก บินกระเด็นออกไปก่อนจะเร่งใช้ขาอีกครั้งค้ำตีลังกาไม่ให้ล้มลง

กระดูกเข่าของเย่ซวนราวกับเพิ่งถูกอิฐิก้อนหนากระแทกใส่ เนื่องด้วยเหลือขาข้างเดียวที่ใช้ทรงตัวจึงทำให้ร่างของเขามีเอนเอียงโซเซไปบ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาต้องรีบตั้งมั่นทั้งสติและศูนย์กายา เพื่อป้องกันการโจมตีระลอกต่อไปของเย่เจวี๋ยตรงหน้า

ไม่ต้องสงสัยแม้สักนิด เย่ซวนถูกจู่โจมอีกชุดใหญ่ การป้องกันของตัวเย่ซวนเองก็แทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่นักเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เจวี๋ย ได้แต่ใช้ท่ามือปัดป้องโอนอ่อนตามแรงธรรมชาติเพื่อลดทอนความเสียหายคล้ายเพลงหมัดหย่งชุน

กล่าวได้ว่า หากมิใช่เพราะเย่ซวนคนนี้มีประสบการณ์การต่อสู้มากกว่ายอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงทั่วไป ปานนี้เขาคงพ่ายให้แก่เย่เจวี๋ยนับสิบรอบแล้ว

“เข้ามา!”

เมื่อเห็นว่าเย่ญยวนเริ่มเซถอยไปอีกครั้ง เย่เจวี๋ยก็หยุดการโจมตีทั้งหมดลงและกวักมือยั่วยุเย่ซวน แววตาของเขาในขณะนี้ช่างเปี่ยมล้นไปด้วยความเย้ยหยันสบประมาท

กล่าวตามตรง เย่ซวนคนนี้มีฝีมือเทียบเคียงกับเขา ความเร็วในการตอบสนองไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าเลย หากมิใช่เพราะเย่เจวี๋ยหยิบใช้กลยุทธ์จงใจเผยจุดอ่อนออกมา เขาคงจับจังหวะหาช่องโหว่ตอบโต้อีกฝ่ายไม่ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้าปะทะกันมากกว่าหลายครั้ง เย่เจวี๋ยก็เข้าใจในอีกหนึ่งข้อเท็จจริงได้ทันทีว่า อีกหนึ่งเหตุผลที่เย่ซวนเสียเปรียบเขาคือ ด้านอารมณ์ เนื่องด้วยอีกฝ่ายอยู่ในวัยหนุ่ม ย่อมใจร้อนกว่าเป็นธรรมดา

มิฉะนั้น หากตัดข้อเสียตรงนี้ไป ใครจะแพ้หรือชนะกลับยากที่จะตัดสินเช่นกัน

“อย่าโอหังให้มากนัก!”

เย่ซวนแผดเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้จริงๆ ว่า เย่เจวี๋ยก็ช่างแข็งแกร่งโดยแท้ ไม่ว่าจะใช้กระบวนใดเข้าเผด็จศึกก็สามารถต้านรับได้ทุกทาง เฉกเช่นว่า แม้จะหาโอกาสได้ แต่กลับหาจุดอ่อนของเย่เจวี๋ยไม่เจอ

จวบจนตอนนี้ พูดได้เต็มปากว่า ต่อให้ตัวเขาดื่มมากจนขาดสติ แต่ก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้เย่เจวี๋ยเลย ทุกก้าวที่เย่เจวี๋ยคนนี้ย่างเข้ามาใกล้ กลับเป็นตัวเขาที่ย่างเท้าถอยออกไปแทน พินิจจากรัศมีกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเย่เจวี๋ย ตัวเขาตระหนักได้ทันทีว่า หากพุ่งโจมตีสุ่มสี่สุ่มห้า เขาจะแพ้ทันที

สบโอกาสอีกหนึ่งจังหวะ เย่เจวี๋ยก้มตัวเอานิ้วสัมผัสพื้นเล็กน้อย ก่อนจะกระชับกำปั้นแน่นและพุ่งโจมตีเย่ซวนอีกครั้ง สำหรับเย่เจวี๋ยแล้ว หากยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงมีดีแค่นี้ นี่เท่ากับว่ายังไร้ซึ่งคุณสมบัติที่จะเป็นคู่ซ้อมของเขา เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความแกร่งกร้าวขุมใหญ่ที่พุ่งเข้ามาของเย่เจวี๋ย เย่ซวนยังคงเลือกที่จะเลี่ยงการปะทะชั่วคราว เร่งใช้ขาที่เหลือข้างเดียวยันตัวเองกระโดดออกมา ทำให้เย่เจวี๋ยชกลมพลาดไป แต่พอกำปั้นนี้หวดวืดไปอัดพื้น เพียงเสี้ยวพริบตาเดียวพื้นบริเวณดังกล่าวก็ถูกทำลายเป็นเสี่ยงๆ ได้ของแถมเป็นรอยร้าวแตกแขนงออกไปยังโดยรอบเหมือนกับใยแมงมุม เย่ซวนที่ลอยอยู่กลางอากาศถึงกับตะลึง ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ตัวเขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบเต็มประตู ไม่มีช่องว่างให้เขาได้ตอบโต้ใดๆ กลับไปได้เลย อนึ่งกล่าวได้ว่า เย่เจวี๋ยกุมชัยชนะได้อย่างหมดจดแล้ว ดูท่าผลลัพธ์จะถูกกำหนดไว้เรียบร้อย

เมื่อจำต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีดั่งพายุคลั่งของเย่เจวี๋ยที่ต่อเนื่องไม่มียั้งมือ เย่ซวนก็ทำได้เพียงกระโดดนหลบไปมาเท่านั้น และหากพลาดไปแม้แต่จังหวะเดียวนั้นหมายถึงโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของตัวเขา

หายใจถี่หอบดั่งวัวควาย เหงื่อแตกพลักเปียกทั่วทั้งร่าง เนื่องจากเข่าข้างหนึ่งแตกจนใช้งานไม่ได้ จึงต้องอาศัยแรงกระโดดหลบจากขาเพียงข้างเดียว นี่ยิ่งเพิ่มภาระให้กับเย่ซวนเป็นเท่าตัว สถานการณ์การต่อสู้ในขณะนี้ค่อนข้างชัดเจนมากแล้ว เสียงสูดหายใจของเย่ซวนดังมากจนเหล่าผู้คนรอบข้างได้ยินชัดเจน

แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก....

การต่อสู้ครั้งนี้ดูเหมือนกำลังจะจบลงทุกทีแล้ว ในเวลานี้เย่ซวนถูกเย่เจวี๋ยไล่ต้อนจนหลังชนประตูเมืองแล้ว

เย่เจวี๋ยย่างสามขุมตรงเข้าใกล้เย่ซนที่หลังชนฝาทีละก้าวย่างอย่างแช่มช้า ลมปราณสายหนึ่งในกายากรอกเท ผนึกกลายเป็นกำปั้นลมปราณบนแขนของเย่เจวี๋ย ท้ายที่สุดนี้หากเย่ซวนต้องรับกำปั้นนี้เข้าเต็มสูบ มีหวังร่างระเบิดกลายเป็นเศษเนื้อแน่นอน

จ้องมองไปที่เย่ซวนในขณะนี้ เบื้องลึกในแววตาของเย่เจวี๋ยยังแฝงไปด้วยความชื่นชมอยู่หนึ่งส่วน อันที่จริงแล้ว การที่เย่ซวนสามารถต้านรับกระบวนโจมตีของเขาได้กว่าร้อยท่าร่ายนับได้ว่า สร้างความน่าทึ่งให้ไม่น้อยเลยจริงๆ ในแง่ประสบการณ์ต่อสู้ หากเทียบกับคนในรุ่นอายุเดียวกันนับว่าเย่ซวนคนนี้เหนือชั้นกว่าเห็นๆ บุคคลที่สามารถทำได้ขนาดนี้ควรค่าแก่การได้รับความชื่นชมจากตัวเขาแล้ว

พอเย่ซวนเห็นว่าตนเองจนตรอกโดยสมบูรณ์ ก็พลางเหม่อมองกำปั้นลมปราณอันแกร่งกล้าที่กำลังจะตกใส่ตรงหน้า คล้อยค่อยๆ หลับตาลงอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่เหลือพละกำลังอะไรจะไปต่อสู้อีกแล้ว แม้แต่จะยืนหยัดให้มั่นยังทำได้ยาก

เย่เจวี๋ยไม่ได้โถมพละกำลังมากมายขนาดก่อนหน้าในหมัดนี้ เพราะด้วยสภาพของเย่ซวนในปัจจุบัน เพียงสะกิดเบาๆ ก็ตายได้แล้ว ต่อให้เป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงก็ตาม แต่ถ้าถูกอัดมาสภาพปางตายความห่างชั้นในด้านระดับพลังก็ไม่ช่วยแล้วเช่นกัน

ตอนนี้สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า เย่เจวี๋ยเป็นฝ่ายชนะ ศึกการประลองระหว่างนายน้อยใหญ่ของตระกูลเย่กับเย่เจวี๋ยกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว

เหล่าผู้ชมโดยรอบไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่นักกับผลลัพธ์ดังกล่าว แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาแปลกใจจริงๆ คือภาพฉากต่อจากนี้ต่างหาก

“เย่ซวน เจ้าแพ้แล้ว”

ประแสงแวววับสีมรกตที่ควบแน่นบนกำปั้นของเย่เจวี๋ยจ่ออยู่ตรงหน้าเย่ซวน พร้อมเอ่ยขานประกาศกร้าวชัยชนะอย่างสมภาคภูมิ ในขณะที่อีกด้าน เย่ซวนนั่งขาห้อยต่องแต่งอยู่ข้าง สภาพปางตายยิ่งกว่าสุนัขจรจัด

“ฮ่าฮ่า...หากเจ้าพ่าย เจ้าจักต้องฆ่าตัวตายต่อหน้าฝูงชน แต่หากข้าพ่าย...ไม่รู้สิ...ข้าไม่เคยคิดเผื่อเลย...เพราะข้าคิดว่าไม่มีทางแพ้ยังไงล่ะ! ฮ่าฮ่าๆๆๆ ... ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาแพ้แบบนี้! ไม่มีวัน!”

ทุกถ้อยคำที่ออกจากปากของเย่ซวนล้วนเต็มไปด้วยความขมขื่น เขาไม่สามารถยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้แม้แต่น้อย

“ในเมื่อเจ้าแพ้...จงพาพ่อของเจ้าเย่ชุ่นซินออกไปจากเมืองหลงเยวี่ยแห่งนี้ซะ นับแต่นี้เป็นต้นไป พวกเจ้าสองพ่อลูกห้ามแม้แต่เหยียบย่างเข้ามาในเมืองนี้อีก”

พอเย่เจวี๋ยกล่าวจบก็ลดมือลง และหันหลังเดินจากออกไปทันที

“ไสหัวไป! ไสหัวไป!”

“ไสหัวไปซะ! ไอ้พวกพ่อลูกขยะ! เมืองหลงเยวี่ยไม่ต้องรับพวกเจ้า!”

ทันทีที่สิ้นเสียงเย่เจวี๋ย บรรดาฝูงชนทั้งหลายต่างก็แห่ตะโกนขับไล่สองพ่อลูกตระกูลเย่คู่นี้ทันที เย่ซุ่นซินรีบออกมาสวมกอดลูกชายทั้งน้ำตา

ก่อนเริ่มการประลอง เย่ซุ่นซินมั่นใจอย่างมากว่าลูกชายของตนไม่มีวันแพ้เย่เจวี๋ยแน่นอน เขาเตรียมคิดคำพูดกู้หน้าตัวเองซะดิบดี แต่ใครจะไปคิดว่าในท้ายที่สุดลูกชายของเขาจะมาพ่ายแพ้อย่างหมดรูป

แต่อย่างน้อยที่สุด เย่ซุ่นซินยังมีความเป็นพ่ออยู่บ้าง เขาไม่เคยคิดจะโทษลูกชายตัวเองสักคำ เขาค่อยๆ พยุงร่างของเย่ซวนขึ้นและเดินกระเผลกกันสองพ่อลูกเดินออกไปจากประตูเมืองหลงเยวี่ยทั้งแบบนั้น

ทางด้านเย่เจวี๋ยเดินฝ่าฝูงชนตรงออกไป ทุกคนต่างเห็นบารมีอันน่าเกรงขามของเย่เจวี๋ยอย่างชัดแจ้ง รีบเปิดทางให้เขาเดินผ่านกันอย่างชุลมุนวุ่นวาย จากนั้นก็เป็นเฉี่ยวเอ๋อและเจ้ากุ้งแห้งที่เดินนเข้ามาติดตามอย่างใกล้ชิด เข้าทันทายนายน้อยของพวกตนว่าเป็นอย่างไรบ้าง เฉี่ยวเอ๋อยื่นชาสมุนไพรถ้วยอุ่นๆ หอมกรุ่นให้ ส่วนเจ้ากุ้งแห้งก็หยิบผ้าขนหนูมาให้นายน้อยซับเหงื่อซับเลือด

ทุกอย่างคล้ายว่าจะสงบสุขดีแล้ว แต่จู่ๆ พลันปรากฏรัศมีแรงกดดันอันมหาศาลขุมใหญ่ขึ้นฉับพลัน ประดุจสายฟ้าผ่ากลางฝูงชน รัศมีแรงกดดันดังกล่าวทำให้ทุกคนถึงกับสติแตกรีบวิ่งกระจัดกระจายออกไปคนละทิศละทางด้วยความหวาดกลัวสุดขีด เว้นเสียแต่เย่เจวี๋ยเท่านั้นที่ยืนจับจ้องภาพฉากตรงหน้าอย่างนิ่งสงบ

ทว่าจังหวะหายใจของเย่เจวี๋ยคล้อยแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย คู่คิ้วขมวดแน่นเป็นปม ใจกลางแรงกดดันขุมใหญ่ปรากฏเป็นชายวัยกลางคน ปลายคิ้วยกสูงคมเข้มส่อแววว่าเป็นศัตรูมาแต่ไหล ภายใต้ดวงตะวันสาดส่อง ทั่วทั้งร่างกายของเขากลับปกคลุมไปด้วยรัศมีคมดาบสีทมิฬม่วงแพรวพราวดูพิสดารพันลึก

“ศิษย์พี่ใหญ่ เหตุใดถึงท่านถึงมาเยี่ยมเยือนที่แห่งนี้?”

สีหน้าการแสดงออกของเย่ซวนเปลี่ยนไปอย่างมาก สภาพร่างกายของเขาตอนนี้ก็อ่อนแอมากพออยู่แล้ว ยิ่งเห็นชายคนดังกล่าวยิ่งดูอ่อนละทวยเข้าไปใหญ่ ริมฝีปากสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

“เจ้าพ่ายแพ้ต่อเศษสวะ เช่นนั้นก็ไร้ประโยชน์เกินกว่าจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป”

ก่อนที่เย่ซวนจะได้ปริปากตอบอันใด กลับสายเกินไปเสียแล้ว เพราะทันทีที่สิ้นเสียง คลื่นคมดาบสีมรกตสายหนึ่งพรายพุ่งดุจภูตผีถูกสะบั้นฟันออกมาอย่างไร้ปรานี เข้าสับหัวของเย่ซวนและเย่ซุ่นซินในพริบตา สองพ่อลูกถูกตัดศีรษะตายคาที่ทันที

“เจ้าคือใครกัน?”

เมื่อเห็นภาพฉากนี้เข้า สีหน้าการแสดงออกของเย่เจวี๋ยยิ่งดูจริงจังชัดขึ้นหลายส่วน ม่านตาดำหดแคบ แผดคำรามเสียงหนึ่งเสมือนคันศรยิงเข้าใส่

“เหอะ เศษสวะอย่างเจ้าไร้คุณสมบัตินั้น!”

ได้ฟังคำถามของเย่เจวี๋ย ฉิงกุยถึงกับแสยะยิ้มเอ่ยสบประมาท ยกดาบยักษ์ฟันฟาดออกไป กลายมาเป็นคมเคี้ยวเสี้ยวจันทร์ขนาดมหึมาพุ่งโจมตีใส่เย่เจวี๋ยโดยตรง

“ฝีปากกล้าดีหนิ!”

สภาพของเย่เจวี๋ยตอนนี้ยังค่อนข้างดี ได้ดื่มชาสมุนไพรเสริมไปเมื่อครู่นับว่าฟื้นฟูลมปราณขึ้นบ้าง เสี้ยวพริบตาเดียว เขาดึงดาบสะบั้นมังกรที่ปักพื้นออกมาด้วยความโกรธ เข้าชนกับคลื่นคมเคี้ยวเสี้ยวจันทร์มหึมาของฉิงกุยโดยไม่มีหวั่นเกรง

สองคมดาบเข้าสัมผัสปะทะหากได้แยกจากกันในทันที แต่ทั้งสองขั้วพลังต้านรับขับสู้อยู่อบบนั้นครู่หนึ่ง อาศัยความแกร่งกล้าของตัวดาบทั้งสองที่ไม่มียอมกัน ก่อเกิดเสียงระเบิดปะทุกึกก้อง สั่นสะท้านเป็นวงกว้างกระจายออกไปทั่วสารทิศ

ฉิงกุยกระโดดขึ้นหวดดาบยักษ์ฟันใส่อีกระลอก ผลักเย่เจวี๋ยจนพื้นดินที่ยืนหยัดโดยรอบแตกระแหงเป็นยองใย มันแสยะยิ้มกล่าวขึ้นพร้อมใบหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความดุร้ายว่า

“มันก็เศษสวะ เจ้าเองก็เศษสวะ ไยต้องเก็บไว้ให้รกหูรกตา”

“หากรกหูรกตาเจ้านัก ก็ลงนรกไปซะ!”

เย่เจวี๋ยกรนเสียงคำรามสวนน้ำเสียงเหี้ยม เขารู้สึกโกรธเกรี้ยวอย่างมากที่เห็นฉิงกุยคนนี้ตัดหัวเย่ซวนและพ่อของเขาโดยไม่มีลังเล มิฉะนั้นเขาคงไม่ดึงดาบสะบั้นมังกรออกมาสัประยุทธ์แบบนี้เป็นแน่

ศิษย์พี่ใหญ่ของเย่ซวนคนนี้น่าจะมีพลังอยู่ที่จุดสูงสุดแห่งอาณาจักรนภาม่วง นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลเช่นกันที่เย่เจวี๋ยต้องใช้ดาบสะบั้นมังกร

ชาติก่อนหน้า จักรพรรดิเทพสายฟ้ามีคติที่ว่า ข้าปล่อยใครไปผู้คนทั่วพิภพย่อมต้องปล่อยเช่นกัน ดังนั้นในชาตินี้หากเย่เจวี๋ยบอกว่าจะปล่อยหรือไว้ชีวิตใครไป ก็ไม่ควรมีผู้ใดกล้าลงมือสังหารพวกเขาอีก หากลงมือสังหารเช่นนี้เท่ากับประกาศศึกกับตัวเขาเช่นกัน

ต่อให้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเย่ซวนผู้มีพลังสูงถึงจุดสูงสุดแห่งอาณาจักรนภาม่วง เขาเองก็ไม่กลัวเกรงเช่นกัน

คมดาบสองเล่มสั่นกระเพื่อมส่งสัญญาณว่าพวกมันถึงขีดจำกัดแล้ว เย่เจวี๋ยรีบบิดข้อมือใช้ประโยชน์จากมุมอับของอีกฝ่าย รีดเค้นลมปราณขึ้นมาปกคลุมคมดาบ หวังสะบั้นคอของฉิงกุยในชั่วอึดใจเดียว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด