ตอนที่แล้วตอนที่19 ยอมรับ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่21 ฆ่าทิ้ง

ตอนที่20 สัประยุทธ์เดือด


ตอนที่20 สัประยุทธ์เดือด

“โอ้? ทีแรกคิดว่าเสียงดังอะไรกัน ที่แท้เย่ซวนก็กลับมาแล้วนี่เอง”

ชายหนุ่มในชุดคลุมสีขาวก้าวย่างตรงเข้ามา มุมปากโค้งขึ้นเป็นทรงเสี้ยวรอยยิ้ม โดยผิวเผินช่างดูเป็นมิตรแต่ในความเป็นจริงกลับซ่อนนัยแสนเย็นชา

“เย่เจวี๋ย!”

เมื่อเห็นเย่เจวี๋ยดังนั้น แววตาคู่นั้นของเย่ซวนก็สาดประกายความอาฆาตออกมาทันที คู่เท้ากระตุกวูบ ซัดกำปั้นฉีกกระชากอากาศโจมตีเข้าใส่เย่เจวี๋ยนอย่างบ้าคลั่ง

ตามที่เย่ชุ่นซินได้อธิบายไว้ สาเหตุหลักที่ทำให้เขากลายมาเป็นคนพิการเช่นนี้ก็คือเย่เจวี๋ย หรืออาจกล่าวได้ว่า เย่เจวี๋ยเป็นตัวการของเรื่องราวทั้งหมด ดังนั้นแล้วจะไม่ให้เย่ซวนโกรธแค้นได้อย่างไร?

รอนยิ้มยังคงประดับทั่วใบหน้าอยู่ไม่เปลี่ยน สีหน้าของเย่เจวี๋ยช่างสงบนิ่งนัก

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

สุ้มเสียงตะโกนลั่นจากสี่ผู้อาวุโสดังขึ้น พวกเขาทั้งสี่รีบยกฝ่ามือเข้าสกัดการโจมตีขึ้นทางสี่ทิศทางเหนือใต้ออกตก เสียงสายลมปะทะดังหวัดหวิวฉีกห้วงอากาศ อานุภาพทำลายล้างเหลือร้าย

ก่อนที่กำปั้นของเย่ซวนจะตรงเข้าถึงร่างเย่เจวี๋ย ก็ถูกฝ่ามือทั้งสี่ของเหล่าผู้อาวุโสกผลักกระแทกออกไป ตีคู่เสียงระเบิดสนั่นลั่นไปทั่วจตุทิศ เย่ซวนกระอักเลือดสดคำโตร่างปลิวลอยกลางเวหา ทะลวงเกราะลมปราณทั่วกายาจนแตกเป็นเสี่ยงเล็กเสี่ยงน้อยในพริบต

โดนพลังฝ่ามือของสี่ยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงพร้อมกันเช่นนี้หาใช่เรื่องล้อเล่น ทว่าเย่ซวนก็ยังลุกขึ้นยืนหยัดได้ในพริบตา เพียงว่าตอนนี้ทรงตัวเริ่มไม่นิ่ง โซซัดโซเซ มุมปากมีเลือดไหลซิบออกมาทว่ายังคงแสยะยิ้มได้ เร้นแฝงความเกลียดชังสุดหัวใจอยู่ภายใน

“หึหึ...ตอนนี้ข้ามิอาจต่อกรกับขุมพลังของตระกูลเย่ในปัจจุบันได้แล้ว เย่เจวี๋ย! หากเจ้ายังมีความเป็นผู้ชาย เจ้ากล้าประลองยุทธ์กับข้ากลางจัตุรัสเมืองหลงเยวี่ยหรือไม่!? ตอนนี้เจ้าอยู่แค่อาณาจักรก่อกายาระดับห้า เช่นนั้นข้าจะให้เวลาเจ้าฝึกปรืออีกหนึ่งเดือน! หนึ่งเดือนต่อจากนี้พวกเรามาสู้กัน หากเจ้าแพ้ เจ้าจักต้องฆ่าตัวตายต่อหน้าทุกคน! เจ้ากล้าหรือไม่!!”

เย่ซวนชี้หน้าคำรามท้าทายใส่เย่เจวี๋ย

“ไยจะไม่กล้า?”

เย่เจวี๋ยตระหนักทราบชัดแจ้ง เย่ซวนผู้นี้ต้องการคิดบัญชีกับเขาเพื่อล้างแค้นแทนเย่ชุ่นซิน ทว่าอย่างไรท่าทางการแสดงออกของเขาช่างสงบนิ่งเหลือเกิน จนราวกับว่าไม่เห็นเย่ซวนอยู่ในสายตาด้วยซ้ำไป

“นายน้อย เรื่องนี้ควรพินิจให้ถี่ถ้วน เย่ซวนสำเร็จระดับชั้นอาณาจักรนภาม่วงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นความแกร่งกล้ายังเหนือกว่ายอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงทั่วไป ท่านเองก็เห็นกระมัง ขนาดหนึ่งรุมสี่ยังทำได้เพียงสูสี”

เย่หยวนซานเร่งกล่าวเตือนสติน้ำเสียงจริงจัง และผู้อาวุโสอีกสามคนให้หลังต่างก็พยักหน้าเห็นพ้อง

“ข้าทราบ”

เย่เจวี๋ยพยักหน้าตอบปราศจากท่าทีใส่ใจใดๆ เขาหันไปมองเย่ซวนและยิ้มกล่าวว่า

“หนึ่งเดือนมันนานเกินไป กว่าจะถึงยามนั้นบุปผาคงบานสะพรั่งหมดเสีย เช่นนี้แล้วกัน ข้าขอเวลาแค่ห้าวันเท่านั้น นี่ก็เพียงพอแล้ว”

“หึ! นี่เจ้ากล่าวเอง! หากรนหาที่ตายนักก็อย่าคิดตำหนิข้าในภายหลัง!”

เย่ซวนสะบัดแขนเสื้อและเดินจากโถงประชุมออกไปด้วยสภาพบาดเจ็บ

สีหน้าการแสดงออกของเย่เจวี๋ยยังคงนิ่งสงบเฉยเมย ตอนนี้เขามีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากระทิงคลั่งสามสิบหกตัว แถมยังมีดาบสะบั้นมังกรอยู่เคียงกาย ต่อให้เป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงก็ไม่มีอะไรต้องกลัว

เย่ซวนเดินจากไป เย่เจวี๋ยนเองก็ขอตัวลาเช่นกัน แน่นอนว่าตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการฝึกปรือบ่มเพาะพลัง หากมิใช่เพราะพวกลูกหลานตระกูลเย่แห่กันมาหาและบอกถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ เขาเองคงไม่มีทางมาแน่นอน

ตอนนี้ตระกูลหยาง และตระกูลเล็กใหญ่อีกมากมายทั่วทั้งเมืองหลงเยวี่ยล้วนขึ้นตรงกับตระกูลเย่ ดังนั้นแล้วทรัพยากรสำหรับการบ่มเพาะพลังของเย่เจวี๋ยจึงได้รับมามากมายมหาศาล และหากไม่รีบใช้มันในเวลานี้ เกรงว่าคงไร้ประโยชน์แล้ว

เที่ยงวันต่อมา แสงตะวันทอสว่างจ้า

เย่เจวี๋ยหลับตานั่งขัดสมาธิอยู่ในเรือนพัก ข้างกายมีหินลมปราณระดับสูงและแกนอสูรระดับสูงกระจัดกระจายอยู่เกลื้อนกลาน เขาเอื้อมมือขึ้นมาหยิบมันก้อนหนึ่ง โดยไม่สนว่านั้นจะเป็นหินลมปราณหรือแกนอสูร พอจับกระชับอยู่ในกำมือเขาก็เริ่มดูดซับเข้าร่างกายทันที

หากเฉี่ยวเอ๋อและเจ้ากุ้งแห้งที่เฝ้ายามอยู่นอกประตูเข้ามาเห็นภาพฉากนี้เข้า มีหวังตกตะลึงจนขวัญหนีดีฝ่อเป็นแน่ อย่างไรเสียเย่เจวี๋ยไม่ต้องการให้ผู้ใดก็ตามจากภายนอกเข้ามารบกวน ยามนี้โคจรเคล็ดหลอมจักรวาลเพื่อเดินลมปราณในกายอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นหินลมปราณระดับสูงหรือแกนอสูรระดับสูง เขาดูดซับอย่างบ้าคลั่งไม่สนสิ่งใดทั้งสิ้น

ภายในไม่กี่อึดใจ หินลมปราณและแกนอสูรที่อยู่รอบตัวก็ถูกตัวเขาดูดซับจนหมดสิ้น เหลือไว้แค่เศษซากกากหินที่ไม่สามารถดูดซับต่อได้ ในท้ายที่สุดพวกมันก็แตกสลายกลายเป็นฝุ่นชั้นบางปกคลุมทั่วพื้น

“เอาล่ะ เข้ามาได้”

เย่เจวี๋ยตะโกนเรียกทั้งสองที่อยู่ด้านนอก พลางค่อยๆ ลืมตาขึ้น

ทันทีที่สิ้นเสียง ก็มีเสียงผลักประตูเรือนพักเข้ามาทันที ซึ่งเป็นเจ้ากุ้งแห้งกับเฉี่ยวเอ๋อ

ทั้งสองตรงเข้ามาเทหินลมปราณและแกนอสูรที่บรรจุไว้เต็มตระกล้าลงบนพื้นรอบตัวเย่เจวี๋ยราวกับรู้งาน จากนั้นก็รีบถอยและปิดประตูออกไปโดยไม่พูดพล่ำทำเพลงใดๆ ตอนนี้เป็นเวลาฝึกปรือของนายน้อยเย่ ทั้งสองย่อมทราบว่าไม่ควรเข้าไปรบกวนสมาธิโดยเด็ดขาดแต่นั่นหาใช่จุดสำคัญไม่ ประเด็นมันอยู่ที่ทั้งหินลมปราณและแกนอสูรที่ถูกบรรจุมันเต็มตะกร้าสำหรับการบ่มเพาะล้วนมีคุณภาพสูงทั้งสิ้น กล่าวได้ว่า แม้แต่เจ้าเมืองอย่างหลงอ้าวเทียน้เองก็ไม่มีปัญญาทุ่มเงินทองก้อนใหญ่ขนาดนี้ หรือต่อให้มีก็ไม่กล้าใช้ฟุ่มเฟือยแบบเย่เจวี๋ยแน่นอน

ควรถามกลับมากกว่าว่า ร่างกายมนุษย์ที่ไหนจะสามารถทนต่อการดูดซับลมปราณจำนวนมหาศาลขนาดนี้ไหว?

แต่นั้นไม่นับเป็นอันตรายเลยสำหรับเย่เจวี๋ย เขาที่ดูดซับหินลมปราณและแกนอสูรอย่างบ้าคลั่ง ระดับพลังฝึกยุทธ์ย่อมพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดในชั่วพริบตา เพียงคืนเดียว เขาก็ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรก่อกายาระดับหกขั้นสุดได้

วันที่สอง ในยามรุ่นสาง เย่เจวี๋ยทะลวงขึ้นสู่อาณาก่อกายาระดับเจ็ดโดยตรง ยาวไปถึงระดับแปด เขตแดนเมฆาปักษาวายุ! ระดับขั้นนี้จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ฟ้าดินแปรปรวน สายลมชะโกชกแรงในบริเวณโดยรอบของผู้ที่บรรลุถึง

เขาไม่เพียงแต่นั่งสมาธิดูดซับหินลมปราณกับแกนอสูรเท่านั้น แต่เย่เจวี๋ยก็ยังขัดเกลาความแกร่งกล้าของร่างกายให้ถึงขีดจำกัดอยู่เสมอ ทุกวันยามเที่ยงตรง เขาจะถอดเสื้อท่อนบนอาบชโลมแสงตะวันอันแรงกล้า ฝึกต่อยต้นไม้ วิดพื้น สร้างมัดกล้ามเนื้อให้แกร่งทน นับหลายพันครั้งต่อรอบ

ทำเช่นนี้วันแล้ววันเล่าในที่สุดก็มาถึงวันนัดประลองยุทธ์กับเย่ซวน ในเวลานี้เย่เจวี๋ยไม่ได้รีบเร่งเลื่อนระดับชั้นอีกต่อไป ปัจจุบันมีพลังอยู่ที่อาณาจักรก่อกายาระดับแปด พละกำลังเทียบเท่ากระทิงคลั่งสี่สิบเก้าตัว ถือได้ว่าไม่ด้อยไปกว่ายอดฝีมือาณาจักรนภาม่วงแล้ว

ในวันประลอง ผู้คนจากทั่วสารทิศมุมเมืองที่ว่างก็แห่กันมารับชมอย่างสนุกสนาน ก่อนที่การประลองจะเริ่มขึ้น ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมเมืองหลงเยวี่ย

“ยังต้องดูอีกรึ? เย่เจวี๋ยมีดาบวิเศษอันไร้เทียมทานอยู่เคียงกาย แม้เย่ซวนจะสำเร็จอาณาจักรนภาม่วงแล้วก็ตาม แต่ใคร่จะโค่นล้มเย่เจวี๋ยกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด ข้ามั่นใจยิ่งว่า เย่เจวี๋ยชนะไม่ต้องสงสัย”

บางคนเอ่ยกล่าวเสียงดังด้วยความมั่นอดในใจ ซึ่งคำพูดดังกล่าวก็ดันไปแตะหูของเย่เจวี๋ยเข้า ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มการประลอง เย่เจวี๋ยจึงกล่าวขึ้นว่า

“เย่ซวน ข้าจะไม่ใช้ดาบสะบั้นมังกรในการประลองครานี้”

พอพูดจบ เย่เจวี๋ยก็ชักดาบสะบั้นมังกรออกมาและปักลงบนพื้นทันที

โอกาสที่จะได้ฝึกฝนจากประสบการณ์จริงเช่นนี้ เย่เจวี๋ยจะปล่อยให้หลุดมือได้อย่างไร? หากใช้ดาบสะบั้นมังกรก็เท่ากับว่าไม่ได้ฝึกอะไรเลยน่ะสิ?

“รนหาที่ตายโดยแท้”

ระยะเวลาเพียงแค่ห้าวันสำหรับเย่ซวนแล้ว มันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน เขาอดทนรอก็เพื่อวันนี้โดยเฉพาะ วันที่เขาจะได้สับเย่เจวี๋ยนับพันหมื่นชิ้น!

ทันทีที่เย่ซวนขยับตัว ร่างของเขาก็เคลื่อนมาโผล่ตรงหน้าเย่เจวี๋ยในเสี้ยวพริบตา กำปั้นเหล็กกล้าฉีกกระชากห้วงอากาศพุ่งใส่ใบหน้าของเย่เจวี๋ยสุดกำลัง เย่เจวี๋ยเองก็ซัดกำปั้นเข้าปะทะชนทันที

เมื่อสองกำปั้นเข้าปะทะกัน กลับเป็นทางด้านเย่เจวี๋ยที่มีพลังทำลายล้างสูงกว่าเล็กน้อย ทำให้เย่ซวนถอดถอดสีไปชั่วขณะหนึ่ง ทว่ามีหรือที่เย่เจวี๋ยจะให้โอกาสอีกฝ่ายได้หลบเลี่ยง จากนั้นพลันยกมืออีกข้างกระชับกำปั้นซัดหมัดดินระเบิดเข้าไปที่หน้าของเย่ซวนโดยตรง!

ทว่าทันใด รอยยิ้มเย้ยเยาะพลันปรากฏขึ้นบนมุมปากของเย่ซวน เขายกเท้าขึ้นแตะเย่เจวี๋ยสวนตอบกลับทันที ทางด้านเย่เจวี๋ยเองก็ไม่คิดเลี่ยงหลบ ยังคงซัดกำปั้นดินระเบิดเข้าปะทะใบหน้าเย่ซวนชนิดไม่มีถอย แต่สุดท้ายทำได้เพียงเฉียดใบหน้าวืดไป และถึงทีของเย่ซวนตอบโต้กลับพร้อมประเคนลูกแตะเข้าก้านคอของเย่เจวี๋ยแทน...

ลูกแตะดังกล่าวถูกเย่เจวี๋ยจับขมับแน่น แม้อีกฝ่ายจะต้องการถอนออกอย่างไรก็ไม่สามารถ ระยะห่างระหว่างเท้าและใบหน้าชิดใกล้เพียงสี่ถึงห้านิ้ว หากเย่เจวี๋ยโดนลูกแตะนี้เข้าก้านคอขึ้นมาจริงๆ มีหวังได้ไปเกิดใหม่อีกรอบเป็นแน่

ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นท่าไม่ดีจึงรีบร่นถอยกันออกมาคนละหลายสิบก้าว จากนั้นเพียงเสี้ยวพริบตา พวกเขาก็พุ่งปะทะชนอีกระลอกใหญ่ ก่อเกิดเป็นคลื่นพลังระเบิดคลั่งกระจายเป็นวงกว้าง สองกำปั้นท้าชนกันเสียงดังบูมบาม ต่างฝ่ายไม่มีคิดหนีหรือล่าถอยแม้สักก้าว เสียงระเบิดยังคงดังสนั่นหวั่นไหวต่อเนื่องไม่หยุด ประดุจเสียงอัสนีแซ่ซ้องกลางนภาหาว

เย่ซวนควบแน่นลมปราณจากมือทั้งสองที่ผสานเข้าหากันกลายมาเป็นรูปทรงค้อนขนาดยักษ์ ยกขึ้นหวดใส่กลางกระบาลเย่เจวี๋ยโดยตรง ด้วยความเร็วสูงดุจสายฟ้าแลบ เย่เจี๋ยทราบดีว่าตนหนีไม่ทันแน่นอน จึงทิ้งแผ่นหลังแนบกับพื้น ยกคู่เท้าขึ้นสวนในพริบตา เย่ซวนไม่มีหวั่น หวดค้อนลมปราณยักษ์ซัดเข้าใส่เย่เจวี๋ยสุดแรงเกิด!

เสียงระเบิดดังบูมสะเทือนแก้วหูของผู้ชมทุกคนโดยรอบ เศษหินเศษฝุ่นฟุ้งกระจายจนมองไม่เห็นแม้แต่เงาของทั้งคู่

เพียงไม่นาน เหล่าผู้ชมโดยรอบต่งาสูดหายใจเย็นเข้าแช่มลึกสุดขั้วปอด สุดแสนหวาดผวากันเป็นแถบ

อาศัยที่อยู่ในตำแหน่งได้เปรียบกว่า เย่ซวนยกบาทาเหยียบอัดบริเวณหน้าอกของเย่เจวี๋ย หวังจะบดขยี้กระดูกซี่โครง แต่ตัวเย่เจวี๋ยเองกลับใช้สองมือรับได้ทัน จากนั้นก็ค่อยๆ ยกบาทาของอีกฝ่ายถอนขึ้นมาอย่างช้าๆ!

กล่าวได้ว่า ความอุสาหะตลอดห้าวันที่ผ่านมา นับว่าเป็นผลอยู่บ้าง เย่เจวี๋ยอาศัยกำลังจากแขนทั้งสองข้างดันบาทาของเย่ซวน จนพลักอีกฝ่ายจนเสียการทรงตัวล้มไปในท้ายที่สุด

สถานการณ์พลิกกลับ ขาทั้งสองของเย่ซวนกลับลอยขึ้นฟ้า แผ่นหลังจวนจะกระแทกล้มคะมำอัดกับพื้น เย่เจวี๋ยไปพลาดโอกาสสวนกลับดีๆ แบบนี้ไปแน่นอน เขารีบลุกขึ้นยืนและพุ่งติดตามหวดลูกแตะทิ้งดิ่งลงกลางลำตัวของเย่ซวน

ทว่าปฏิกิริยาของเย่ซวนก็ช่างเฉียบคมยิ่งนัก เขาเลี่ยงหลบออกไปได้อย่างหวุดหวิด อาศัยแขนทั้งสองข้างดีดตัวขึ้นมาจากพื้น ลังกาหลังประเคนเท้าคู่ถีบเย่เจวี๋ยสวนกลับในพริบตา

รูม่านตาดำของเย่เจวี๋ยตีบแคบ ชั่วอึดใจเขากระโดดขึ้นหลบคู่เท้าประดุจแส้กลางเวหาของเย่ซวน ทั้งสองฝ่ายรีบพลิกตัวกลับมาในท่วงท่าที่ถนัด และเป็นเย่เจวี๋ยที่เร็วกว่า จึงชิงเข้าจู่โจมต่อเนื่องทันที เย่ซวนที่ดูช้ากว่าไม่มีเวลาเลี่ยงหลบแกต่อไป เขาทำได้แค่ยกแขนทั้งสองขึ้นมาป้องกันตรงหน้า

บูมมม!

เสียงกำปั้นดินระเบิดแผดดังประดุจราชสีห์คำราม เย่ซวนเซถอยออกไปกว่าหลายร้อยก้าว บริเวณพื้นดินที่ฝ่าเท้าของเขายืนหยัดกลายเป็นหลุมบ่อ แขนทั้งสองข้างของเขาในตอนนี้สั่นเทาไม่หยุด คล้อยหลังให้ความรู้เจ็บแปลบโชบแล่นขึ้นมา พร้อมกับอาการชาเล็กน้อย

เย่ซวนตกตะลึงอย่างมาก นี่มันพลังบ้าอะไรขึ้น?

แม้ว่าเย่เจวี๋ยจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรก่อกายาระดับแปดได้ภายในห้าวัน แต่เขาไม่น่าจะสร้างแรงคุกคามได้ขนาดนี้ได้แท้ๆ แล้วไฉนมันถึงมีพละกำลังล้นเหลือถึงเพียงนี้?

“นายน้อยสู้เขา!”

เมื่อเห็นว่าเย่ซวนเริ่มเสียเปรียบ เฉี่ยวเอ๋อก็อดตะโกนให้กำลังใจขึ้นมิได้ นางรีบโบกไม้โบกมือขึ้นมาอย่างมีความสุข

เย่ซวนบังเอิญชำเลืองเห็นพอดี จึงส่งสายตาแสนเฉียบคมสีเย็นใส่ ทำเอาเฉี่ยวเอ๋อตกใจจนรีบหดหัวกลับเข้าไปในฝูงชนทันที

“ระหว่างการต่อสู้เช่นนี้ เจ้ามองไปทางอื่นได้อย่างไร?”

ในขณะเดียวกัน สุ้มเสียงของเย่เจวี๋ยก็ดังขึ้น ทำเอาเย่ซวนรีบถอนสายตากลับเข้ามา ก็เห็นอีกฝ่ายต้อนเข้ามาบีบให้เขาต้องเร่งยกกำปั้นเข้าปะทะอีกชุดใหญ่

คู่ดวงตาของเขาในยามนี้ฉายแววลนลาน อาจเป็นเพราะกำปั้นเมื่อครู่ที่ปะทะกับแท่นแขนของเขาโดยตรง ด้วยความใจร้อนหรืออย่างไร เขาใจร้อนสวนกำปั้นกลับไป แต่นั้นเท่ากับการเปิดช่องโหว่ให้เย่เจวี๋ยเต็มๆ

เย่เจวี๋ยได้จังหวะเร่งเร้าลมปราณกระหน่ำซัดอีกฝ่ายต่อเนื่องไร้ปรานี ร่างกายของเย่ซวนตอนนี้บอบช้ำหนักราวกับเพิ่งรับการโจมตีอย่างหนักไปชุดใหญ่ ก้าวแล้วก้าวเล่าเริ่มร่นถอยต่อเนื่อง จนท้ายที่สุดก็เกือบทรงตัวไม่อยู่ล้มลงไป ธารเลือดสดไหลทะลักออกมาจากมุมปาก ชโลมฟันเป็นสีแดงฉาน เขาผู้เป็นถึงยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงจะมาอยู่ในสภาพอนาถเช่นนี้ได้อย่างไร? นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?

ทว่าหาปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า แต่ละกำปั้นที่เย่เจวี๋ยซัดกระหน่ำออกมาช่างเปี่ยมล้นไปด้วยพละกำลังที่น่าสะพรึงยิ่ง หากยังคงยืนรับโดยตรงนานไปกว่านี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็สิ้นใจเช่นกัน

‘ไม่! ข้าสู้มันไม่ได้จริงๆ รึ!?’

เย่ซวนกัดฟันกรอดแน่นพลางสบถกับตัวเอง

การที่เย่เจวี๋ยมีพละกำลังมหาศาลขนาดนี้ มันเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้มากนัก เย่ซวนจำได้เพียงว่า เมื่อไม่นานมานี้ เย่เจวี๋ยเป็นเพียงเศษสวะที่โชคดีเกิดมาพร้อมเนตรจักรพรรดิสายฟ้ามิใช่รึ?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด