ตอนที่แล้วตอนที่8 ความโกลาหลในตระกูล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่10 โทษตัวเอง

ตอนที่9 โค่นเย่ชุ่นซิน


ตอนที่9 โค่นเย่ชุ่นซิน

“เจวี๋ยเอ๋อ วันนี้เจ้าล้างบางตระกูลหยางได้สำเร็จตามหมายประสงค์ เช่นนั้นไม่ควรฉลองให้ยิ่งใหญ่กันไปเลย? จะว่าไปแล้ว ข้าเองก็มีความเห็นหนึ่งจะถามเจ้า คิดเช่นไรหากให้เจ้าเรียกข้าว่าพ่อบุญธรรม?”

เย่ชุ่นซินหรี่ตาลงเล็กน้อย มุมปากพลางกระตุกยิ้มกล่าวต่อว่า

“เจ้าถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับแก่ข้าจนทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วงได้ในท้ายที่สุด หากเจ้ามาเป็นบุตรบุญธรรมของข้า ตระกูลเย่แห่งนี้...ไม่สิ...เมืองหลงเย่แห่งนี้จะไม่มีใครกล้าแตะต้องเจ้าแม้นสักคน ผู้ใดกล้าล่วงเกินเจ้า ข้าเย่ชุ่นซินผู้นี้จักไม่ปล่อยมันไปแน่นอน!”

เมื่อประโยคคำกล่าวนี้จบลง ทุกคนต่างเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดได้ทันที ปรากฏว่าความสัมพันธ์ระหว่างคู่อาหลานคนนี้เหนียวแน่นกว่าที่คนอื่นๆ คาดคิด ถึงขนาดที่ว่ายอมถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับของเซียนบอดสวรรค์ให้ และนี่จึงเป็นสาเหตุว่า เหตุใดเย่ชุ่นซินจึงสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วงได้ภายในเวลาอันสั้น

สีหน้าของสี่ผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลเย่ถึงกับมืดทมิฬลงทันที ต่อหน้ายอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงแบบนี้ ต่อให้เสาะหาทั่วทั้งเมืองหลงเย่ ก็ไม่มีใครสามารถเป็นคู่มือให้ได้

แค่คำว่า ยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงมันก็มากเกินพอแล้ว หากกล้าขัดใจเท่ากับตายสถานเดียว

“อ่อ...”

มุมปากของเย่เจวี๋ยกระตุกโค้งขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มคล้ายว่าน่าสนใจ

เห็นดังนั้นเย่ขุ่นซินก็รู้สึกมีความสุขอย่างมาก เขากล่าวเกลี้ยกล่อมต่อโดยไว

“หากให้อาสองคนนี้เป็นพ่อบุญธรรมของเจ้า จากนี้ต่อไปพวกเราจะร่วมมือกันโค่นล้มจวนเจ้าเมืองและยึดเมืองหลงเย่ แม้แต่เมืองข้างเคียงก็สามารถบุกยึดได้ภายใต้ความร่วมมือของพวกเรา!”

ทุกคนที่ได้ยินแบบนั้นต่างประหลาดใจอย่างยิ่งยวด เย่ชุ่นซินผู้นี้เต็มไปด้วยความโลภอย่างแท้จริง เมืองหลงเย่ยังพอทำเนา แต่ปรารถนาที่จะยึดครองเมืองละแวกข้างเคียง หวังผนวกรวมอำนาจอิทธิพลให้แผ่สะพัด นี่มันเกินไปแล้วจริงๆ

สีหน้าของสี่ผู้อาวุโสบิดเบี้ยวดูน่ารังเกียจยิ่ง เย่ชุ่นซินอาศัยความแกร่งกล้าของตัวเอง เริ่มหยิ่งผยองเหิมเกริม ประพฤติตัวตามใจตนเอง

“ไม่”

เย่เจวี๋ยกล่าวตอบน้ำเสียงดุดัน

เดิมทีเย่ชุ่นซินคิดว่า หากใช้ความจริงใจกล่าวหลอกล้ออีกสักสองสามประโยคคงซื้อใจเยาวชนคนนี้ได้ แต่พอโดนปฏิเสธสวนกลับไปทั้งแบบนั้น รอยยิ้มประดับใบหน้าพลันแข็งทื่อไปโดยปริยาย คิดไม่ถึงเลยว่า เย่เจวี๋ยจะกล้าปฏิเสธคำขอของเขาได้อย่างไร้เยื่อใยเพียงนี้

“เพราะอันใด...”

เย่ชุ่นซินเอ่ยถามเจือน้ำเสียงไม่ค่อยเต็มใจ

แต่ยังไม่ทันพูดจนประโยคดี พลันถูกขัดจังหวะเสียได้

“เพราะข้าไม่ค่อยชอบขี้หน้าท่านเท่าไหร่นัก”

เพียงเห็นเย่เจวี๋ยผายมือปัดอย่างค้านจักใส่ใจ ผนวกกับสีหน้าแสนเรียบเฉยไร้อารมณ์ มันยิ่งทำให้เย่ชุ่นซินเดือดดาลหนักข้อเข้าไปใหญ่

พอคำกล่าวประโยคนี้ของเย่เจวี๋ยหลุดออกมา ทุกคนก็ตกใจจนเกือบกลืนลิ้นตัวเองเข้าไป เขากล้าพูดแบบนี้ออกไปได้อย่างไร? อีกฝ่ายเป็นถึงยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วง ผลลัพธ์หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร? พึงทราบว่า แม้นเย่เจวี๋ยจะสามารถล้างบางตระกูลหยางได้ด้วยตัวเพียงลำพัง แต่ศัตรูทั้งหมดที่เขาเผชิญล้วนมีพลังอยู่แค่อาณาจักรก่อกายา แต่กลับไม่ครอบคลุมถึงอาณาจักรนภาม่วง กล่าวได้ว่า วาจาเหล่านี้ของเย่เจวี๋ยไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตายแล้ว

“เจวี๋ยเอ๋อ นี่เจ้ากำลังพูดอันใดออกมารู้ตัวหรือไม่?”

สีหน้าการแสดงออกของเย่ชุ่นซินมืดทมิฬขึ้นหลายขุม เขาจ้องเย่เจวี๋ยตาเขม็ง น้ำเสียงที่เปล่งดังออกมาทุ้มต่ำดูเย็นยะเยือกอย่างยิ่ง

“ลาสอง ท่านยังไม่เข้าใจความหมายที่ข้ากล่าวไปอีกงั้นรึ? ท่านคิดว่าตนเองเหมาะสมที่จะเป็นพ่อบูญธรรมของข้าแล้วจริงๆ รึ? ท่านหัดสำเหนียกตัวเองเสียบ้าง”

พอกล่าวจบ เย่เจวี๋ยก็ยกมือป้องปากหัวเราะเยาะดังคิกคักออกมา เชิงว่ากำลังเย้าหยอก

ได้งฟังถ้อยคำแสนหยิ่งยโสปานนี้ เย่ชุ่นซินพลันกัดฟันกรอดด้วยความโกรธจัด กำชับกำหมัดแน่นอย่างอดมิได้

หัดสำเหนียกตัวเองงั้นรึ? คำกล่าวเย้ยเยาะเกินจริงเช่นนี้ เห็นได้ว่า เย่เจวี๋ยจงใจทำให้เขารู้สึกอับอายต่อหน้าเหล่าลูกหลานของตระกูลเย่ทุกคน!

เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเย่ชุ่นซินมืดครึมเช่นนี้ เย่เจวี๋ยก็จงใจหมุนตัวกลับและเตรียมจะจากออกไป โดยทิ้งท้ายเพียงว่า

“อาสอง ท่านจะก่อเรื่องหรือสร้างความวุ่นวายอย่างไรก็สุดแท้แต่ท่านเถิด ข้ามิได้สนใจอยู่แล้ว และข้ายังมีธุระที่ต้องจัดการอีกมาก เช่นนั้นขอลา”

กล่าวจบเบ็ดเสร็จ เย่เจวี๋ยก็ย่างเท้าก้าวจากออกไปอย่างแช่มช้า ทิ้งเพียงรอยยิ้มแปลกๆ บนมุมปากแฝงความหมายบางอย่างสิ่งอย่างแต่ดูไม่ชัดเจน

ในตอนที่เย่เจวี๋ยหันหลังกลับไปแล้วนั่นเอง เย่ชุ่นซินก็ยังจ้องเขม็งไม่คายอ่อน ทันใดนั้นเขาก็ยกกำปั้นเหล็กควบแน่นลมปราณเป็นชั้นเกาะหนา ม่านตาหดแคบลงในบัดดล รัศมีที่ปะทุออกมาจากด้านหลังเปี่ยมล้นไปด้วยความดุร้าย

ทันใดนั้นกำปั้นหนึ่งพุ่งใส่ศีรษะของเย่เจวี๋ยด้วยความเร็วสูงสุดจนกว่าจะมองทันด้วยตาเปล่า!

อายุเพียงแค่นี้แต่กลับฆ่าล้างตระกูลหยางได้ เนื่องด้วยพรสวรรค์อันน่าสะพรึง หากชักชวนให้เป็นพวกมิได้ ก็อย่าปล่อยให้มันเติบโตเด็ดขาด มิฉะนั้น เจ้าเด็กนี่อาจกลายมาเป็นปัญหาใหญ่หลวงได้ในภายภาคหน้า เช่นนั้นจำต้องตัดไฟแต่ต้นลม!

อย่างไรเสีย กำปั้นเหล็กสุดแกร่งกร้าวกลับหยุดชะงักลงฉันพลัน เย่เจวี๋ยยื่นมือออกไปรับหมัดดังกล่าวได้ด้วยมือข้างเดียว สุดแสนน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!

นี่...นี่เป็นไปได้อย่างไร? ทั้งๆ ที่ข้าลอบโจมตีมันแล้วแท้ๆ ...เจ้าเด็กนี้มีปฏิกิริยาตอบสนองไว้ถึงเพียงนี้เชียวรึ!?

เย่ชุ่นซินชักมือกลับมาทันควันราวกับสะดุ้งโดนไฟลวก เร่งใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนถอยหลังออกไปหลายสิบก้าว เวลานี้สีหน้าการแสดงออกบนใบหน้าคล้ายดูเจ็บปวด นี่ควรจะเป็นตอนที่เย่เจวี๋ยบีบกำปั้นเขาเอาไว้ ทั้งที่ถูกจับไว้เพียงเสี้ยวอึดใจ แต่ไฉนมือข้างนี้กลับเจ็บปวดทรมานราวกับกระดูกหักถึงขนาดนี้?

“อาสอง ท่านกำลังทำอะไรงั้นรึ?”

เย่เจวี๋ยค่อยๆ หมุนตัวกลับมา รอยยิ้มประหลาดบนมุมปากยังคงปรากฏให้เห็นไม่เสือมคลาย

ในตอนนั้น สี่ผู้อาวุโสใหญ่ล้วนประหลาดใจอย่างยิ่ง และไม่เข้าใจเลยว่า ไฉนเย่ชุ่นซินถึงกล้าลงมือกับเย่เจวี๋ย แถมยังลอบกัดอีกเสียต่างหาก

ช่างน่าขำขันเสียจริงที่เรื่องกลับพลิกกลับมาเป็นเช่นนี้ แสดงว่าเย่เจวี๋ยน่าจะรู้ถึงสันดานอีกฝ่ายดี และคิดว่าจะต้องลอบโจมตีจากด้านหลังแน่นอน จึงเตรียมรับมือไว้แล้ว

เย่ชุ่นซินไม่เอ่ยปากตอบคำถามของเย่เจวี๋ย สีหน้าของเขาเหยียบเย็นถึงขั้วกระดูก เสี้ยวพริบตาปรากฏ ก็ออกกำปั้นกระหน่ำเพลงหมัดโจมตีใส่เย่เจวี๋ยไม่หยุดหย่อน แต่ละหมัดที่พุ่งซัดฉีดห้วงอากาศออกไป ทั้งรุนแรงและหนักแน่นดุจค้อนเหล็กกล้าหนักหลายสิบตัน

ยามที่เรื่องราวมันดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว คงไม่จำเป็นต้องเอ่ยกล่าวอันใดกันอีกต่อไป

เผชิญหน้ากับเพลงหมัดประดุจห่าพิรุณ เย่เจวี๋ยใช้เพียงนิ้วเดียวเพื่อต้านรับ เหลียวตัวเบี่ยงเบนร่ายหลบตามจังหวะ ได้เห็นท่าทีอันไม่รีบร้อนของเขา สีหน้าของเย่ชุ่นซินก็ตื่นตะลึงอย่างมาก และเมื่อพยายามที่จะเร่งเร้าพลัง เค้นความแข็งแกร่งออกมามากขึ้น จู่ๆ เขาก็กระอัดเลือดสดพ่นสาดกระจายออกมาเต็มปากเต็มคำ

เย่เจวี๋ยก้าวย่างไปข้างซ้ายหนึ่งก้าว เพื่อหลบไม่ให้เลือดสดเหล่านั้นกระเซ็นใส่ตน

เพราะอะไรมิทราบ ร่างของเย่ชุ่นซินโซซัดโซเซไปมาอย่างเกินจะควบคุม ก่อนจะสูญเสียการทรงตัวทั้งหมดไปและล้มนอนกองกับพื้นทั้งแบบนั้น

“แค่ก! แค่ก!... แค่ก! แค่ก!...”

ความเจ็บปวดสุดพรรณนาโฉบแล่นกระจายผ่านไปทั่วร่าง ใบหน้าของเย่ชุ่นซินบิดเบี้ยวจนผิดรูปทรง เขาพยายามจับหน้าอดตัวเองไว้ และยังคงส่งเสียงไอรุนแรงไม่หยุด แต่ละครั้งที่ไอออกมาล้วนมีเลือดสดกระอักปนออกมาด้วย ซึ่งเป็นภาพฉากที่น่าตกใจยิ่งนัก

เย่ชุ่นซินแหงนศีรษะเงยมองไปที่เย่เจวี๋ยอย่างยากลำบาก แววตาคู่นั้นสาดประกายความอาฆาตอย่างชัดแจ้ง พร้อมตะโกนลั่นว่า

“ไอ้สารเลว! เจ้า...เจ้าทำอะไรกับข้า!”

“อาสอง ท่านคิดว่าตนเองแกร่งกล้าขึ้นมากเมื่อทะลวงผ่านอาณาจักรก่อกายาแล้วกระมัง?”

เย่เจวี๋ยแสยะยิ้มฉีกกว้างพลางกล่าวทิ้งทวนคล้ายเป็นปริศนา คำพูดประโยคนี้จักต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลอย่างแน่แท้

“เจ้า!! เคล็ดวิชาปลอมงั้นรึ!? เจ้า...เจ้ามิได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาของเซียนบอดสวรรค์แก่ข้า!?”

รอยยิ้มนั้นช่างทำให้เย่ชุ่นซินร้าวรานปวดใจยิ่งนักแล พอเขาตระหนักได้ถึงเรื่องดังกล่าว ก็ระเบิดความบ้าคลั่งออกมาทันทีราวกับสัตว์ป่า จ้องเย่เจวี๋ยตาเขม็งปรารถนาฉีดกระชากร่างของเจ้าเด็กนี่นับหมื่นแสนชิ้นบัดเดี๋ยวนี้

“อาสอง ถ้าจะเกลียดก็จงเกลียดตัวเองเถิด”

เย่เจวี๋ยยิ้มเยาะ ครั้งนี้เขามิได้เก็บซ่อนความรู้สึกอันใดอีกต่อไป และปั้นสีหน้าแสนน่าสมเพชออกมาอย่างจงใจ กล่าวได้ว่านี่แหละคือสิ่งเดียวที่เขารู้สึกและอยากมอบให้กับเย่ชุ่นซิน มันก็คือ ‘ความสมเพช’

หากมิใช่เพราะเย่ชุ่นซินต้องการสังหารเขาก่อน เย่เจวี๋ยก็คร้านเกียจที่จะเอาชีวิตอีกฝ่ายเช่นกัน

เย่เจวี๋ยย่างสามขุมตรงออกไปข้างหน้า ภายใต้ทุกสายตาความประหลาดใจของผู้คนโดยรอบ เขายกบาทาขึ้นมาพร้อมกระทืบใส่ขั้วหัวใจของเย่ชุ่นซินอย่างพอดิบพอดี จากนั้นก็ค่อยๆ บรรจงใช้บาทาออกแรงบดขยี้หัวใจของอีกฝ่ายอย่างช้าๆ ใบหน้าของเย่ชุ่นซินบิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่งเพราะความเจ็บปวด ยามนี้เขาทั้งรู้สึกอัปยศและอับอายอย่างที่สุด แต่ยิ่งเห็นสีหน้าแบบนั้น เย่เจวี๋ยก็ยิ่งออกแรงขยี้แรงขึ้นและแรงขึ้น

“อาสอง ยกโทษให้ข้าด้วย ข้าลืมบอกไปว่าเคล็ดวิชาดังกล่าวเป็นของเผ่ามารปีศาจ แล้วก็...เคล็ดวิชาอีกอย่างที่ข้าถ่ายทอดให้ไป แท้ที่จริงมันมิใช่อะไรเลยนอกจาก...เคล็ดวิชาที่เปลี่ยนคนเป็นภาชนะหลอมโอสถ ฮ่าฮ่าๆๆ ...”

เย่เจวี๋ยเอ่ยปากกล่าวน้ำเสียงเรียบ แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยขบขัน

“เพราะแบบนั้น ท่านจึงค่อยๆ ดูดซับพลังมืดธาตุหยินลงไปสั่งสมในกายาทีละนิดละน้อย เมื่อใดที่ท่านพยายามเร่งเร้าพลังออกมา ก็เท่ากับยิ่งไปกระตุ้นให้ระเบิดเวลาในตัวทำงานเร็วขึ้น ส่วนลมปราณที่เหลือในร่างกายก็ถูกหลอมรวมกลายเป็นเม็ดโอสถยังไงล่ะ เป็นอย่างไร? รู้สึกทรมานเจียนตายเลยใช่หรือไม่?”

“จะ-เจ้า...เย่เจวี๋ย...ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่! ข้า...ไม่...ไม่มีวันปล่อยให้เจ้าตายดี...จักสับเจ้าเป็นพันหมื่นชิ้นและ...และโยนให้สุนัขกิน...กินเสีย!”

ภายใต้บาทาที่กำลังบดขยี้บริเวณอก ณ ขณะนี้ ทำให้เย่ชุ่นซินจะเอ่ยจะกล่าวอะไรลำบากอย่างยิ่ง ที่เปล่งเสียงออกมาได้ล้วนกัดฟันรีดเร้นจากแรงแค้นแรงเกลียดชัง

“จริงรึ? นายน้อยผู้นี้รู้สึกกลัวเลยเกิน”

เย่เจวี๋ยคลี่ยิ้มบาง พลางขยับเท้ายกบาทาถอนออกจากหน้าอก จากนั้นก็ก้มตัวลงไปกระชากผมของเย่ชุ่นซินยกขึ้นมาไม่มีเบามือ ก่อนจะเอาหน้าอีกฝ่ายฟาดกับพื้นอย่างแรงจนพื้นกระเบื้องแตกระแหงคล้ายใยแมงมุม

“คายออกมา”

น้ำเสียงของเย่เจวี๋ยบัดนี้ฟังดูเลือดเย็นขึ้นหลายส่วน ประดุจว่าหลุดออกมาจากก้นบึ้งขุมนรก

พอพูดจบ เขาก็ยกฝ่ามือขึ้นมาตบอัดเข้ากลางหลัง เสียงกระอัดพ่นเปล่งดัง ‘พรวดพราด’ เย่เจวี๋ยสำลอกอาเจียนออกมาเป็นเลือดสดคำโต พร้อมกับอวัยวะภายในที่ไหลออกมากองกับพื้นเป็นก้อนสด

ทันใดนั้นก็มีโอสถก้อนกลมหลายสิบเม็ดไหลออกมา ปนกับคลาบเลือดเหล่านั้น ยังไม่ทันจะตกถึงพื้น เย่เจวี๋ยก็ยื่นมือออกไปรองรับไว้พร้อมสีหน้าที่ดูพึงพอใจ

โอสถพวกนี้มีขนาดเท่าหัวแม่มือ ประมาณการณ์ได้สี่เม็ด เปล่งแสงสีเขียวอ่อนระยิบระยับ ทรงกลมขลับสวย ดูแล้วงามตามิใช่น้อย

มูลค่าโอสถเหล่านี้ต้องแลกมากับความเจ็บปวดเกินพรรณนาที่เย่ชุ่นซินได้รับ ในขณะนี้เขานอนจมกองเลือดและอวัยวะสดที่ไหลออกคาปาก สภาพกึ่งเป็นกึ่งตาย ทุกคนในที่นี่ต่างสัมผัสโดยทั่วกัน รัศมีความแกร่งกล้าของเย่ชุ่นซินอ่อนลงจนแทบไม่เหลือ กลายมาเป็ตนสุนัขใกล้ตายราวกับแสงเทียนที่กำลังจะดับลงก็มิปาน

เกรงว่ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นอันดับสองแห่งตระกูลเย่ เย่ชุ่นซินกำลังจะสิ้นลมแล้วตายจากไปแล้ว

เย่เจวี๋ยชำเลืองหางตามองเย่ชุ่นซินปราดหนึ่ง ก่อนจะเดินจากไป ตอนนี้เย่ชุ่นซินกลายมาเป็นคนพิการโดยสมบูรณ์แบบแล้ว ไร้ซึ่งวรยุทธ์ปราศจากพิษสงอันใดอีกต่อไป เหตุผลเดียวที่เขายังต้องการเก็บเย่ชุ่นซินไว้มีอยู่ข้อเดียวก็คือ เย่เจวี๋ยที่หลงกลฝึกปรือเคล็ดวิชาเปลี่ยนตัวเองเป็นภาชนะหลอมโอสถ ตอนนี้ตัวเขาเปรียบดั่งหมอหลอมโอสถใบหนึ่ง และนี่ยังมีประโยชน์ต่อตัวเขาอีกมากในอนาคต

ส่วนโอสถในมือของเขาตอนนี้มีชื่อว่า โอสถแปรโลหิต ซึ่งโอสถชนิดนี้เกิดจากการรวมหลอมของพลังทั้งหมดที่เย่ชุ่นซินบ่มเพาะมาตลอดทั้งชีวิต

“ผู้อาวุโสทั้งสี่”

เย่เจวี๋ยหันไปหาสี่ผู้อาวุโสที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก จากนั้นเขาก็โยนโอสถแปรโลหิตส่งให้พวกเขาทีละเม็ด

แน่นอนว่ายามนี้พวกเขาล้วนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของระดับพลังของเย่ชุ่นซินที่นอนชักอยู่บนพื้น ราวกับว่ารากฐานพลังของอีกฝ่ายเหือดแห้งและกำลังจะพังทลายลงมา ดังนั้นสี่ผู้อาวุโสจึงก้มมองไปที่โอสถแปรโลหิตในมือด้วยความสงสัย

หลังจากหยิบขึ้นมาตรวจสอบโดยละเอียด พวกเขาก็หันมาสบตากันไปมาด้วยความว่างเปล่าไม่รู้อะไรเลย จนสุดท้ายต้องหันเงยไปมองเย่เจวี๋ยและเอ่ยถามขึ้นว่า

“นี่คือ...”

“สิ่งนี้คือโอสถแปรโลหิต”

เย่เจวี๋ยยิ้มและอธิบายต่อว่า

“ด้วยระดับลมปราณอันลึกล้ำของพวกท่านแล้ว หลังจากดูดซับฤทธิ์โอสถจนสมบูรณ์ พวกท่านจะสามารถก้าวข้ามปัญหาคอขวดไปได้ และทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วงได้โดยตรง”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สี่ผู้อาวุโสถึงกับตื่นตะลึงยิ่งยวด อาณาจักรนภาม่วงเป็นสิ่งที่พวกเขาปรารถนามาตลอดทั้งชีวิต

“นายน้อย...”

พอหเงยขึ้นไปสบตาเย่เจวี๋ยอีกครั้ง สี่ผู้อาวุโสต่างแสดงท่าทีนอบน้อมขึ้นหลายส่วน เย่เจวี๋ยอาศัยความแกร่งกล้าล้างบางตระกูลหยางได้โดยตัวคนเดียว แถมยังเหยียบย่ำเย่ชุ่นซินที่กลายมาเป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงได้อย่างง่ายดาย เพียงสองเหตุการณ์สะเทือนขวัญนี้ที่เกิดขึ้น มันก็มากเกินพอแล้วที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อเย่เจวี๋ยได้ชนิดจากหน้ามือเป็นหลังเท้า

“พวกท่านกลับไปเก็บตัวดูดซับฤทธิ์โอสถแปรโลหิตให้เสร็จเรียบร้อยก่อนเถิด เย่ชุ่นซินตรงนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”

เย่เจวี๋ยโบกมือปัดและเดินไปทางเหล่าผู้คนของตระกูลเย่ ก่อนจะเอ่ยปากสั่งไปว่า

“พวกเจ้า ระหว่างที่สี่ผู้อาวุโสใหญ่กำลังเข้าสู่สภาวะเก็บตัว ค่อยพลัดเวรกันเฝ้าคอยอารักขา”

เหล่าผู้คนของตระกูลเย่อ้าปากจนขากรรไกรค้างตั้งแต่เริ่มแรก พอได้ยินคำสั่งหลุดออกจากปากเย่เจวี๋ย พวกเขาก็รับผงกศีรษะรัวเร็วราวกับไก่จิกข้าวเปลือกด้วยความยำเกรง รีบแยกย้ายกันไปอารักขาสี่ผู้อาวุโสเป็นอย่างดี ชนิดที่ว่าไม่ปล่อยแม้แต่แมลงวันตัวหนึ่งบินมาย่างกราย

สี่ผู้อาวุโสพยักหน้าตอบ และเดินขึ้นไปยังเรือนรับรองพร้อมจับกลุ่มนั่งขัดสมาธิทันที โดยมีบรรดาผู้คนตระกูลเย่คอยเฝ้าทางเข้าเรือนไว้อย่างหนาแน่น อาจจะกล่าวได้ว่ายืนติดกันเป็นแพรเบียดเสียดกันเกินไป พอผู้อาวุโสสูงวัยที่สุดเห็นแบบนั้นพลันขมวดคิ้วไม่พอใจ พร้อมกล่าวขึ้นว่า

“พวกเจ้าจะยืนเบียดกันขนาดนั้นเพื่ออันใด? กระจายกันออกไป!”

เหล่าผู้คนตระกูลเย่รีบขยับขยายแยกย้ายออกไปทันที ที่ต้องยืนแบบนั้นเพราะทั้งหมดกลัวว่าจะทำให้เย่เจวี๋ยไม่พอใจเอาได้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด