ตอนที่แล้วตอนที่7 บดขยี้ตระกูลหยาง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่9 โค่นเย่ชุ่นซิน

ตอนที่8 ความโกลาหลในตระกูล


ตอนที่8 ความโกลาหลในตระกูล

เมื่อเย่เจวี๋ยกลับมาถึงภายในตระกูล ยังมีคนที่รู้และยังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องที่เขาล้างบางตระกูลหยางไป ผู้คนตระกูลเย่โดยส่วนใหญ่มองเขาด้วยความยำเกรง แววตาเปี่ยมล้นไปด้วยความเครพนับถือ ส่วนที่ยังไม่ทราบก็จับจ้องด้วยความงุนงง ไฉนถึงต้องทำท่าทำทีหวาดกลัวขยะแบบนี้ด้วย? เพราะพวกเขายังไม่ทราบว่า เย่เจวี๋ยอาศัยความแข็งแกร่งของตนล้างโคตรตระกูลหยางด้วยตนเองเพียงลำพัง ข่าวนี้แพร่สะพัดทั่วเมืองหลงเย่นับสิบระลอกต่อเนื่อง ในปัจจุบันไม่มีใครไม่รู้เรื่องนี้นอกจากคนในตระกูลเย่ที่ยังไม่ออกไปไหนในช่วงนี้

นี่ถือเป็นข่าวใหญ่ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลวงในเมือง มีคำกล่าวที่ว่า ยอมฝีมือผู้ครอบครองความไร้เทียมทานเท่านั้นถึงจะได้รับความเคารพจากใต้หล้า ดังนั้นการที่เย่เจวี๋ยสำแดงฤทธิ์ฆ่าล้างตระกูลหยางด้วยตัวคนเดียว มันเพียงพอแล้วที่จะสร้างบารมีให้ทุกคนเคารพและหวาดกลัว

สำหรับหยางอู๋ซิน เย่เจวี๋ยไม่ได้รีบร้อนตามหาตัวเท่าไหร่นัก เขายังคงขอฟังข่าวจากคนในตระกูล

“นายน้อย!”

ทันทีทันใด บ่าวคนหนึ่งของตระกูลก็รีบวิ่งเข้ามาในเรือนพักของเย่เจวี๋ยเพื่อรายงานบางสิ่ง เขาตรงเข้าไปคุกเข่าตรงหน้า

“เรียนนายน้อย พวกเขาได้สืบค้นทั่วทั้งตระกูลหยางแล้ว แต่กลับไม่พบหยางอู่ซินเลย”

บ่าวคนนั้นประสานมือแน่น รายงานความคืบหน้าให้ฟังด้วยความนอบน้อม

ได้ยินดังนั้น ปฏิกิริยาของเย่เจวี๋ยหาได้ตอบสนองใดๆมากนัก เขากวักมือไล่บ่าวคนนั้นออกไปอย่างเฉยเมย การที่เขาล้างบางคนทั้งตระกูลหยางขนาดนั้น คงเป็นเรื่องแปลกแล้วถ้าหยางอู๋ซินยังกล้าเสนอหน้าออกมา

ในขณะเดียวกัน ณ เรือนรับแขกแห่งหนึ่ง บรรดาผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งปั้นหน้าดำคล่ำเครียดกำลังบุกเข้าไปในตัวเรือน จัดการเหล่าองค์รักษ์ที่คอยเฝ้าระหว่างทางปลิวกระเด็นไปราวกับมดปลวก

“เย่ชุ่นซิน นี่เจ้าต้องการอันใดกันแน่?”

พอสี่ผู้อาวุโสตระกูลเย่บุกเข้ามาถึงในตัวเรือน ก็ถึงกับเบิกโตด้วยความตะลึง กลิ่นอายของเย่ชุ่นซินในตอนนี้มันอยู่ในระดับที่พวกเขามิอาจมองผ่านสัมผัสได้อีกต่อไป รัศมีรอบกายานั้นแฝงด้วยขุมพลังอันน่าประหลาดและน่าสะพรึงยิ่งยวด สันนิษฐานได้ว่าระดับพลังของเย่ชุ่นซินก้าวข้ามพวกเขาไปแล้วเรียบร้อย

“หื้ม? ข้าต้องการอันใดงั้นรึ?”

เย่ชุ่นซินตรงเข้าหยามประจันหน้ากับสี่ผู้อาวุโสด้วยความหยิ่งยโส เบื้องลึกในแววตาไร้ซึ่งความเกรงกลัว

“ข้าเกรงว่า คงถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนผู้นำตระกูลคนใหม่แล้วกระมัง?”

มุมปากของเย่ชุ่นซินกระตุกขึ้นเล็กน้อย คล้ายว่ากำลังยิ้มหยอกยั่วยุสี่ผู้อาวุโส

“เจ้าหรือจะคู่ควร!”

“หึ! ฝันไปเถอะ!”

“เย่ชุ่นซิน เจ้าคิดก่อกบฏ ฝักใฝ่อำนาจบาทใหญ่ ไสหัวออกจากไปตระกูลซะ!”

“เย่ชุ่นซิน ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เจ้ากลายมาเป็นบุคคลที่หยิ่งยโส ปรารถนาอำนาจจนดวงตามืดบอดเช่นนี้?”

ถึงแม้พวกเขาจะไม่ทราบว่า เย่ชุ่นซินใช้วิธีใดถึงสามารถยกระดับความแกร่งกล้าได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาอันสั้น แต่สี่ผู้อาวุโสยังคงกล้าเย้ยหยัน สาปแช่งไม่หยุดโดยไม่เกรงกลัว ตำแหน่งสี่ผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลเย่ หาใช่ได้มากเล่นๆ

“หึ! เช่นนั้นพวกเจ้าก็เข้ามาให้หมด! หากพ่ายต่อข้า ก็ถือว่าไม่มีอะไรต้องคัดค้านอีกแล้ว!”

สีหน้าของเย่ชุ่นซินแปรเปลี่ยนดูเย็นยะเยือกในทันใด ย่างเท้าถอยออกไปหนึ่งก้าว จับจ้องสี่ผู้อาวุโสอย่างเย้ยหยัน

“หึ! พล่ามไร้สาระแล้ว!”

สี่ผู้อาวุโสคำรามลั่น สำแดงขุมพลังสุดแกร่ง รีดเร้นโจมตีเข้าใส่เย่ชุ่นซินอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ว่าไร้ซึ่งความปราณีอันใด

สำหรับเย่ชุ่นซินผู้หยิ่งผยอง ใฝ่หาอำนาจจนดวงตามืดบอด พวกเขาควรสั่งสอนให้หลาบจำไปชั่วชีวิต

เมื่อเผชิญหน้ากับสี่ผู้อาวุโสที่ประจันบานเคลื่อวไหวพร้อมกัน สีหน้าการแสดงออกของเย่ชุนซินกลับไม่แปรเปลี่ยน หนึ่งกระบวนก้าวเลี่ยงหลบอย่างง่ายดาย เหลือบเล็งไปที่ใบหน้าของผู้อาวุโสคนหนึ่ง

บูมม!

เย่ชุ่นซินควบกระแสลมปราณขุมใหญ่อันแน่นลงในกำปั้นและชกออกไประเบิดพลังทำลายล้างคลั่ง ผู้อาวุโสคนนั้นร่างปลิวกระเด็นออกจากเรือนรับรองดุจว่าวไร้เชือกปราจาศการควบคุม นอนแน่นิ่งหมดสภาพอยู่บนพื้น

เย่ชุ่นซินยังไม่หยุดแค่นั้น กระบวนเคลื่อนไหวเรียบง่ายดั่งเทพมังกรสะบัดหาง กวาดผู้อาวุโสอีกสองคนกระเด็นออกไปคนละทิศละทาง จากนั้นกลับตัวหันมาระเบิดกำปั้นใส่ผู้อาวุโสคนสุดท้าย ทั้งคู่ออกกำปั้นระเบิดพลังหมัดปะทะกันโดยตรง แต่ผู้อาวุโสคนนั้นกลับทรงตัวไม่อยู่ ปลิวกระเด็นออกไปเสมือนถูกกระทิงคลั่งพุ่งเข้าชน ร่างร่วงกระแทกอัดพื้นดิน พ่นกระอักเลือดสดออกมาคำโต

เพียงช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่อึดใจ สี่ผู้อาวุโสต่างนอนระเนระนาดกลางพื้น ได้รับบาดเจ็บในระดับที่แตกต่างกันไป แต่ทั้งหมดล้วนสาหัสทั้งสิ้น

“นับแต่นี้เป็นต้นไป ตำแหน่งประมุขตระกูลเย่เป็นของข้าผู้นี้แล้ว หากผู้ใดรู้สึกกังขาใจก็จงก้าวออกมา!”

เย่ชุ่นซินเดินออกไปนอกตัวเรือน ยามนี้เกิดเสียงดังอึกทึกจนเรียกความสนใจของผู้คนทั้งหมดในตระกูลเย่ให้ออกมามุงดู เห็นเพียงเย่ชุ่นซินที่ยืนตระหง่านอย่างภาคภูมิใจ กวาดสายตามองไปทางใคร ผู้นั้นต่างต้องก้มหน้าก้มตาด้วยความหวาดกลัว

เหล่าผู้คนในตระกูลเย่ไม่มีใครกล้าคัดค้านหรือก้าวออกไปรับหน้า บัดนี้รัศมีกลิ่นอายพลังของเย่ชุ่นซินแผ่ซานกระจายทั่วบริเวณ แค่แรงกดดันที่พุ่งออกมาทุกคนก็แทบยืนไม่อยู่แล้ว กระทั่งสี่ผู้อาวุโสใหญ่ยังพ่ายแพ้ลงแก่เขา แล้วนับประสาอะไรกับพวกลิ่วล้อคนอื่นๆ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะเย่ชุ่นซิน

“เจ้า...เจ้าทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วงแล้ว?!”

หนึ่งในสี่ผู้อาวุโสที่มีขุมพลังแกร่งกล้าที่สุดเงยขึ้นมองเย่ชุ่นซินด้วยสีหน้าซีดเซียวตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง พอได้สัมผัสพลังนี้ด้วยตนเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อ

“ใช่.. เช่นนั้นแล้ว...พวกเจ้าทั้งหมดควรยอมจำนนต่อข้าเสีย”

เย่ชุ่นซินเชิดหน้าชูจมูกขึ้นฟ้าด้วยความหยิ่งผยอง กวาดสายตามองไปรอบๆก็เห็นสีหน้าของทุกคนที่ดูหวาดกลัว เขาก็ยิ่งพึงพอใจเป็นอย่างมากก ไม่รีรอให้เจ้าพวกนั้นขานรับตอบ เขาคำรามเสียงกึกก้องต่อว่า

“หากใครไม่อยากตายก็จงคุกเข่าลงต่อหน้าข้าเสียเดี๋ยวนี้!”

บรรดาผู้คนในตระกูลเย่ต่างเหลือบแลสบตากันไปมา พลางมองไปที่สี่ผู้อาวุโสที่นอนหมดสภาพอยู่กับพื้น ยิ่งถูกแรงกดดันของเย่ชุ่นซินบีบให้ยอมจำนนเข้าไปทุกที พวกเขายิ่งไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตนควรทำเช่นไร

ทันใดนั้นเองร่างของเย่ชุ่นซินก็หายวับลับสายตาของทุกคนไปทันที เมื่อปรากฏตัวขึ้นประจักสายตาอีดกครั้ง เขาก็กำลังบีบคอของเยาวชนหนุ่มคนหนึ่งชูลอยกลางอากาศ เสียงกระดูกหักดักแกร๊กดังลั่นทำให้ทุกคนขนลุกซูวกันเป็นแถบ เยาวชนหนุ่มคนนั้นตายคาที่กระดูดคอถูกหักเป็นสองท่อน

เย่เจวี๋ยโยนศพของอีกฝ่ายทิ้งข้างทางไป และเหลือบมองบริเวณโดยรอบอีกครั้งและกล่าวน้ำเสียงเย็นว่า

“ข้าบอกไปแล้วว่า ใครยังไม่อยากตาย จงคุกเข่าเสียเดี๋ยวนี้!”

ใช่แล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะเคล็ดวิชาที่เย่เจวี๋ยถ่ายทอดให้มา ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก จนขึ้นกลายมาเป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงแล้ว ได้บรรลุความปรารถนาของตนตลอดมาได้ในท่าสุด เช่นนี้กล่าวได้ว่า ยังมีผู้ใดในตระกูลเย่สามารถเป็นคู่มือของเขาได้อีก?

ในขณะนั้นเอง น้ำเสียงที่ฟังดูสับสนก็พลันเปล่งดังขึ้น

“อาสอง ท่านทำอะไรน่ะ?”

เห็นเพียงเย่เจวี๋ยก้าวย่างเข้ามาอย่างแช่ช้า ตอนนี้เขาถอดผ้าแพร่ปิดตาสีขาวออกไปแล้ว ปรากฏให้เห็นดวงตาสีดำขลับ ดูลึกล้ำและเปล่งประกายเจิดจ้าออกมาจากนัยน์ลึก

ทุกคนที่เห็นภาพฉากนี้ถึงกับตกตะลึงอย่างยิ่ง

ไม่ใช่ว่าเย่เจวี๋ยถูกควักลูกตาออกไปแล้วเหรอ? ทำไม....

มีเพียงเย่ชุ่นซินเท่านั้นที่ไม่ค่อยประหลาดใจเท่าไหร่ เพราะในคืนนั้น เขาได้เห็นดวงตาของเย่เจวี๋ยถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้งแล้ว

“เย่เจวี๋ย มิใช่ว่าต้องไปประลองยุทธ์กับพวกตระกูลหยางหรอกรึ? ไฉนมาอยู่ที่นี่ได้?”

เห็นเย่เจวี๋ยยังคงอยู่ที่นี่ เย่ชุ่นซินเอ่ยถามขึ้นทันทีด้วยความสงสัย

ตามหลักแล้ว แม้เย่เจวี๋ยจะได้รับสืบทอดเคล็ดวิชาจากเซียนบอดสวรรค์มา แต่อีกฝ่ายก็ควรถูกบรรดาเยาวชนของตระกูลหยางฆ่าตายคาลานประลองไปแล้วมิใช่รึ?

อืม ตลอดเวลาที่ผ่านมา เย่ชุ่นซินแฝงเก็บตัวอยู่ในตระกูลมาโดยตลอดเพื่อทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วง ย่อมไม่ทราบข่าวที่แพร่สะพัดออกไปทั่วเมือง แล้วก็ยังมีคนในตระกูลเย่บางคนที่ไม่ออกไปไหนก็ยังไม่ทราบ เรื่องที่เขาล้างบางตระกูลหยางไปแล้วเช่นกัน

“อาลอง การประลองยุทธ์จบแล้ว”

เย่เจวี๋ยเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเมินเฉย จากนั้นก็กวาดสายตามองไปยังสี่ผู้อาวุโสใหญ่ที่นอนโทรมอยู่บนพื้น ก่อนเงยมองไปที่เย่ชุ่นซินและถามอีกครั้งว่า

“อาสอง ท่านยังไม่ได้ตอบข้าเลย เกิดอะไรขึ้น?”

ในความเป็นจริงแล้ว เย่เจวี่ยทราบดีถึงสถานการณ์ในตอนนี้ เขาที่ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้แก่เย่ชุ่นซินไป หลังจากความแกร่งกล้าของเขาเพิ่มพูนขึ้น ความหยิ่งผยองและความกระหายในอำนาจย่อมเพิ่มขึ้นโดยธรรมชาติเช่นกัน

ยิ่งแกร่งกล้ามากขึ้นเท่าไหร่ ความปรารถนาที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจย่อมเพิ่มขึ้นเช่านกัน นี่เป็นธรรมชาติของคนโล�

“เลิกกล่าวไร้สาระได้แล้ว เจ้าหรือจะสามารถ...”

“ตระกูลหยางไม่มีอีกต่อไปแล้ว! ตอนนั้นที่ข้าเคยลั่นวาจาไว้ สักวันจักต้องทำให้ตระกูลหยางกลายมาเป็นทะเลเลือด บัดนี้ข้าทำสำเร็จแล้ว!”

เพียงเย่เจวี๋ยสะบัดชายเสื้อขาวออกไปทีหนึ่ง คลื่นพลังขุมใหญ่ก็เข้าข่มรัศมีแรงกดดันของเย่ชุ่นซินได้พริบตา ถึงขั้นที่ว่าสามารถตัดบทพูดของอีกฝ่ายได้ทันควัน

เมื่อเย่ชุ่นซินเห็นดังนั้น รูม่านตาพลันหดแคบลงชั่วขณะ จับจ้องไปที่เย่เจวี๋ยด้วยความไม่อยากเชื่อ และเอ่ยถามขึ้นว่า

“อาศัยเจ้าเพียงลำพัง...เจ้ากำลังจะบอกว่า ตนเองโค่นล้มตระกูลหยางได้แล้ว?”

“ถูกต้อง มีหลายคนในตระกูลที่กลับจากลานประลองมาแล้ว ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมือง ทุกคนต่างรู้กันดี”

พอกล่าวจบเย่เจวี๋ยก็เหลือบตามองบรรดาผู้เห็นเหตุการณ์ พอพวกเขาเหล่านั้นเห็นแววตาของเย่เจวี๋ยที่เข้ากดดัน แต่ละคนถึงกับขนนลุกซูว รีบกล่าวเสริมด้วยความเคารพวิ่งว่า

“นี่เป็นเรื่องจริง นายน้อยเย่เข้ารับมือกับยอดฝีมือตระกูลหยางทั้งหมดเพียงลำพัง แต่ไม่มีใครสามารถเป็นคู่มือของนายน้อยเย่ได้เลยสักคน แม้แต่ประมุขตระกูลหยางก็ตาม พวกเขาทั้งหมดถูกนายน้อยเย่สังหารทิ้งราวกับมดปลวก”

“ใช่แล้ว สิ่งที่นายน้อยเย่เคยลั่นวาจาเอาไว้ ยามนี้เขาได้ทำสำเร็จแล้ว! ด้วยความแกร่งกล้าในตอนนี้ของนายน้อยเย่ แทบไม่มีผู้ใดภายในเมืองหลงเย่ทัดเทียมได้! ข้าเห็นมากับตา! ภาพฉากที่นายน้อยเย่ละเลงเลือดของพวกตระกูลหยาง!”

หลังจากนั้นบทพูดประโยคกล่าวขานเย่เจวี๋ยก็ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง นี่ถึงกับทำให้เย่ชุ่นซินส่อแววตะลึงขึ้นหนึ่งส่วน

เย่เจวี๋ยเพียงยืนนิ่งอยู่แบบนั้น ปล่อยให้คำกล่าวเยินยอดังต่อไป สีหน้าท่าทางช่างสงบนิ่ง ม่านตาสีดำขลับจ้องเขม็งไปทางเย่ชุ่นซินไม่คลายอ่อน บางคนโดยรอบที่เห็นท่าทีแบบนั้นยังรู้สึกสั่นกลัวโดยไร้เหตุผล

“ฮ่าฮ่าๆๆ...”

เมื่อครู่เย่ชุ่นซินยังปั้นหน้าไม่อยากจะเชื่ออยู่เลย ทว่าตอนนี้กลับเปลี่ยนสีแปรงสีหน้าโดยไว เขาระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นด้วยความภาคภูมิใจ จากนั้นก็เดินตรงเข้ามาหยุดต่อหน้าเย่เจวี๋ยพร้อมยกมือตบบ่าอีกฝ่ายอย่างแรงทีหนึ่ง

“หลานข้า! เจ้าไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังเลยจริงๆ! ตระกูลหยางบังอาจรังแกเจ้า พวกมันก็สมควรได้รับจุดจบเช่นนั้นเสีย! เร็วเข้า! เร็วเข้า! ไปฉลองกันดีกว่าหลานข้า! ฮ่าฮ่าๆๆ...”

หากเป็นคนนอกที่ไม่เข้าใจสถานการณ์มาเห็นภาพฉากตอนนี้ คงต้องคิดว่าพวกเขาทั้งสองเป็นคู่อาหลานที่ดูสนิทสนมกันอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เบื้องลึกในใจเย่เจวี๋ยเผยปรากฏรอยยิ้มแสนเย้ยหยันไม่มีที่สิ้นสุด

จนถึงตอนนี้ เย่ชุ่นซินจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดได้อย่างไร? เย่เจวี๋ยที่สามารถล้างบางตระกูลหยางได้ด้วยตัวคนเดียง มันหมายความว่าอะไร? หลานคนนี้ช่างแข็งแกร่งอย่างยิ่ง! การจะเก็บรักษาเยาวชนหนุ่มมากพรสวรรค์แบบนี้ไว้ข้างกายนับเป็นลาภอันประเสริฐ มาช่วยเสริมบารมีของเขาได้เป็นอย่างดีในอนาคต! นี่จึงเป็นเหตุผลที่เย่ชุ่นซินทำดีกับตนในขณะนี้

นี่มันสุนัขจิ้งจอกตาขาวอย่างแท้จริง! รอยยิ้มเย้ยนี้เย่เจวี๋ยเก็บไว้ในส่วนลึกภายในใจไม่ยอมให้สิ่งพวกนี้รั่วไหลออกมาเด็ดขาด แต่บนพื้นผิวภายนอกที่แสดงออกมา เขากลับยิ้มแย้มราวกับสนิทสนมกับเย่ชุ่นซินอย่างแท้จริง ทุกคนที่เห็นดังนั้น บางคนยังหลงคิดไปว่า หรือทั้งหมดเป็นแผนของสองคู่อาหลานกัน?

เมื่อเห็นภาพฉากดังกล่าว สี่ผู้อาวุโสใหญ่ต่างรู้สึกจงเกลียดจงชังทั้งเย่ชุ่นซินและเย่เจวี๋ยอย่างยิ่งยวด ต่อหน้าทุกคน ทำหมดเย่เจวี๋ยแสร้งทำเป็นช่วยเหลือตระกูล ใครจะไปคิดว่า ในท้ายที่สุดเย่เจวี๋ยกับเย่ชุ่นซินกลับร่วมมือกันลับหลัง!

“เร็วเข้าเถิดอาสอง เดี๋ยวสุราเย็นชืดกันพอดี! ฮ่าฮ่า...”

เย่เจวี๋ยพยักหน้าตอบพร้อมระเบิดหัวเราะลั่นอย่างสุขใจ

ยิ่งสี่ผู้อาวุโสใหญ่เห็นแบบนี้ ก็รู้ตัวว่าสิ้นหวังแล้ว แต่อย่างไรพวกเขาไม่ยอมให้ตระกูลเย่ตกอยู่ในมือคนพวกนี้แน่นอน คิดได้ดังนั้น ทั้งสี่กัดฟันดังกรอดพยายามฝืนร่างกายลุกขึ้นทันที ทั่วกายาสั่นเทาไม่หยุดใบหน้าแดงก่ำเนื่องจากอาการบาดเจ็บสาหัส แต่ในฐานะสี่ผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลเย่ หากไม่ใช่พวกเขา แล้วใครจะปกป้องลูกหลานทุกคน!

ผู้อาวุโสที่สูงวัยที่สุดเหลือบมองไปที่เย่เจวี๋ยพร้อมอ้าปากคล้ายกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เย่ชุ่นซินที่อยู่ข้างเคียงกลับชิงพูดก่อน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด