ตอนที่แล้วตอนที่ 9 การตายของหลางตู่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 11 ใต้กระโปรง

ตอนที่ 10 ปรมาจารย์


ศิษย์สายนอกคนนี้เริ่มร้องไห้ออกมา"ซูเจี้ยน! เป็นเขา ข้าเห็นเขาวางยาพิษในอาหารและนำกลุ่มคนมาฆ่าในตอนกลางคืน หลังจากนั้นพวกเขาก็โยนร่างผู้ตายลงไปในหน้าผา ข้าน้อยบอกท่านแล้ว ผู้อาวุโสโปรดไว้ชีวิตด้วย!"

ดวงตาของ ฉินหยู แข็งค้าง จิตใจของเขารู้สึกสับสน เขาได้สับฝ่ามือไปที่สันคอของอีกฝ่ายเพื่อทำให้หมดสติ ก่อนที่เขาจะจากไปจากที่นี่อย่างรวดเร็วภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง

"ซู...เจี้ยน..!"ดวงตาของ ฉินหยู ได้กลายเป็นมุ่งร้ายทันที เจตนาฆ่าที่รุนแรงได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

คนที่ฆ่า หลางตู่ ไม่ใช่เพียงแค่ ซูเจี้ยน ใครก็ตามที่ให้ความร่วมมือ เขาจะสังหารพวกมันทั้งหมด แม้จะมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมปราณเขาก็ไม่กลัว

ฉินหยู ได้ยกมือขวาขึ้นและมองไปที่นิ้วที่ส่องแสงสีขาวและบ่นพึมพัม"พิษ?"

ค่ำคืนได้ผ่านไปแสงแดดค่อย ๆ ส่องลงมาปกคลุมผืนดิน สภาพแวดล้อมที่เงียบสงบของนิกายภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ได้ถูกทำลายโดยศิษย์นอกนิกายที่พลุกพล่านทีละคน พวกเขาได้ออกจากลานบ้านไปเพื่อเริ่มงานอย่างปกติ โดยที่พวกเขาหารู้ไม่ว่ามีอยู่คนนึงที่ตื่นขึ้นมาด้วยสายตาที่อาฆาตแค้น

ฉินหยู ได้เข้าไปในลานบ้านของ ซูเจี้ยน อย่างง่ายดาย ที่นี่ ไม่เพียงแต่เป็นลานบ้านที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ยังมีการสร้างห้องสลับซับซ้อน มีอุปกรณ์และข้าวของเครื่องใช้อีกทั้งยังมีสุราชั้นดีวางอยู่ หากสัมผัสดี ๆ จะรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่ชวนให้มึนเมา

ฉินหยู มองไปรอบ ๆ และพบ ไหสุราที่วางไว้อยู่ ไหสุราใบนี้จะต้องถูกเปิดทิ้งไว้ได้ไม่นานแน่

เขาได้เปิดขวดอย่างระวังและสอดมือเข้าไปข้างในก่อนที่จะใช้นิ้วแตะ ไม่นานเขาก็เอามือออกและมองไปโดยรอบก่อนที่จะหันหลังจากไป

ซูเจี้ยน เป็นที่รู้จักของคนหลาย ๆ คน เนื่องจาก สุราที่เขามี เหตุผลที่เขามีผู้ติดตามจำนวนมากเพราะว่าในแต่ละปี ตระกูลซู จะส่งสุราชั้นดีเข้ามาจำนวนมาก สุราเหล่านี้ เขาไว้ใช้ดื่มกับลูกน้องจำนวนมากสำหรับชัยชนะของเขา

คืนนี้ก็คงไม่มีข้อยกเว้น

หลังจาก ฆ่า หลางตู่ ไปและโยนทิ้งที่หน้าผา เขาก็คงคิดว่าไม่มีใครสามารถสืบหาร่องรอยจนพบ

ดังนั้น ฉินหยู จึงต้องการให้อีกฝ่ายเจ็บปวดเนื่องจากถูกพิษตาย

"หึ่ม,กล้าที่จะทำร้ายคนของข้า ข้าจะไม่ปล่อยพวกมันไปง่าย ๆ แน่!"

ในเวลาเดียวกัน ซูเจี้ยน ก็กลับมา พร้อมกับนั่งลงบนโต๊ะ เขาได้มองไปที่ ไหสุรา และยิ้มออกมาก่อนที่จะกระดกมันเข้าไปในปาก"หืม,ทำไมมันถึงมีรสชาติหอมหวานกว่าปกติ?"

ในฐานะที่เป็นคนชอบดื่มเหล้า เขาจึงชอบทำการค้นคว้า แต่ในขณะที่ เขากำลังจะเรียกคนอื่นให้มาดื่มเป็นเพื่อน จู่ ๆ เขาก็รู้สึกปวดที่ท้อง ราวกับมีดจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังกรีดอวัยวะของเขา

ใบหน้าของ ซูเจี้ยน ได้ซีดลง โดยไม่มีร่องรอยของเลือดฝาด เขาได้ทรุดตัวลงบนพื้น แม้จะอ้าปากส่งเสียงตะโกน ก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ร่างกายของเขาเริ่มบิดตัวเหมือนตะขาบ เล็บของเขาได้จิกลงไปบนพื้น ดวงตาเริ่มสะท้อนเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวและเจ็บปวด

ฉินหยู ที่ยืนอยู่บนต้นไม้ไม่ไกลจากลานบ้านจ้องมองไปที่อีกฝ่ายอย่างเย็นชา เขารอให้ร่างกายของ ซูเจี้ยน หยุดการเคลื่อนไหว ก่อนที่จะจากไป

ฉินหยู ได้กลับไปที่ สวนสมุนไพรใต้ดินของถ้ำกำจัดโอสถเขาได้นั่งอ้อยอิ่งอยู่บนพื้นและบ่นพึมพัมออกมา

"ถู๋โต้ว ดูสิ มันง่ายมากที่จะฆ่าใครสักคนโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ ข้าได้ให้เขาลิ้มรสชาติแห่งความเจ็บปวดก่อนที่จะตาย ดังนั้นเจ้าคิดว่า พี่ใหญ่คนนี้ ฉลาดหรือไม่ ข้าต้องการได้ยินเสียงของเจ้า เรียกข้า หยุดข้า คอยบ่นข้า ทำไมกัน? ข้าคิดจะบอกข้อมูลของโคมไฟสีน้ำเงินนี้แก่เจ้าด้วยซ้ำ!"

จากนั้น ฉินหยู ก็หยิบโคมไฟสีน้ำเงินออกมา"นี่คือโคมไฟสีน้ำเงิน ข้าตั้งชื่อให้มันจำง่าย เจ้าไม่สงสัยเหรอว่าทำไม เวยเว่ย ถึงมีโชคชะตาพลิกผันเช่นนี้? ข้าจะบอกเจ้าให้ ทั้งหมดเป็นเพราะ โคมไฟสีน้ำเงินนี้ เจ้ามองเห็นไป ? ตอนนี้ข้าบ่มเพาะพลังไปจนถึงขั้นรวมปราณแล้วนะ!"

ด้านหน้าของ ฉินหยู คือหลุมศพที่เขาทำขึ้นเขานั่งพูดคุยเป็นเวลานานและยังวางโอสถบางส่วนไว้หน้าหลุมฝังศพ

ฉินหยู รู้สึกว่าปากของเขาแห้งเขาได้เช็ดใบหน้าด้วยมือจากนั้นก็หยิบโอสถกลับมาทีละเม็ด"ตอนนี้เจ้าคงไม่ต้องการมันแล้ว ข้าจะเก็บมันไว้ใช้ วางใจเถอะ สถานะของเจ้าจะยังคงอยู่ในใจของข้าเสมอ พักผ่อนให้สบายจะไม่มีใครมารบกวนเจ้าที่นี่ได้"

หลังจากเขาพูดจบเขาก็ปีนอุโงค์มาจนถึงเตียงที่สกปรก นี่เป็นวันแรกในรอบแปดปีที่เขาไม่ได้ฝึกฝนและจมดิ่งลงสู่ห้วงนิทรา

เขาได้นอนหลับเช่นนี้เป็นเวลากว่าสามวันสามคืน ราวกับว่าเพื่อที่จะขจัดความเหนื่อยล้าทั้งหมดออกจากร่างกายในคราวเดียว เมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้น เขาก็รู้สึกมีความสุขและในใจสงบนิ่งอย่างมาก

เขาเริ่มบ่มเพาะพลังอีกครั้ง

เนื่องจาก ฉินหยู มีอดีตที่อ่อนแอ และ ต้องอาศัยการพึ่งพาของ หลางตู่ ในการมีชีวิตรอด มาตอนนี้เขาจึงได้ค้นพบว่าหากมีความแข็งแกร่งที่เพียงพอเขาก็จะสามารถมีชีวิตต่อไปได้

ดังนั้นหลังจากผ่านไปไม่นานที่เขาบ่มเพาะพลังไปจนถึงขั้นรวมปราณโดยใช้โอสถ เขาก็พบว่าโอสถที่เขาใช้ให้ประสิทธิภาพเริ่มลดน้อยลงมันไม่สามารถช่วยเหลือในการเพิ่มความเร็วการบ่มเพาะพลังเท่าเดิมได้ โอสถรวมปราณนั้น มีไว้สำหรับ ขั้นพลังที่ด้อยกว่าขั้นรวมปราณ ดังนั้นหากคิดจะบ่มเพาะพลังขั้นต่อจำเป็นจะต้องมีโอสถที่มีระดับสูงขึ้น

เมื่อถึงเวลากลางคืน ฉินหยู ก็ออกมาจากสถานที่พักอาศัยของเขาและหายตัวไปอย่างเงียบ ๆ ในความมืด

หลังจากนั้นหนึ่งปี โอสถเสียในเตาหลอมโอสถใต้ดินก็ใกล้จะหมดลงหากเขาต้องการจะบ่มเพาะพลังต่อไปเขาจะต้องออกไปผจญโลกภายนอกเท่านั้น แม้ว่าจะอันตราย แต่หลังจากพิจารณาถี่ถ้วนแล้ว ฉินหยู ก็ตัดสินใจที่จะออกไปอยู่ดี มันมีโอกาสที่เขาจะได้รับผลประโยชน์มากมาย

...

เมืองตงหลิว เป็นเมืองที่ไม่ได้ใหญ่โต มีเพียงถนน 7-8 สายเท่านั้นที่ทอดยาวไปนับพันลี้ มันมีชื่อเสียงด้านการซื้อขายสมบัติโอสถ ที่เป็นของ ตระกูลเจิ้ง พวกเขามีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานและเชี่ยวชาญการซื้อขายส่วนผสมของโอสถ หากมีคุณภาพที่ดีย่อมได้รับราคาที่ยุติธรรม ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นที่รู้จักของคนนอกเมืองจำนวนมาก

ภายใต้แสงไฟจากโคมไฟตามถนน เจ้าของร้านได้นั่งขมวดคิ้วแน่นและประเมินบันทึกรายรับรายจ่ายด้วยความรอบคอบ แต่สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา

ตั้งแต่ครึ่งเดือนที่ผ่านมาพวกเขาขายส่วนผสมของโอสถไป 421 เม็ด ซึ่งมันมากกว่าปกติถึงสองเท่า และ ยอดซื้อมีเพียงไม่กี่ร้อยเม็ด ซึ่งมันเกือบเท่า 40 % ของยอดขาย

เขาอยู่ในธุรกิจนี้มาเป็นระยะเวลานานกว่า 50 ปี เจ้าของร้านรู้สึกประหลาดใจและพบว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ

"ไปตรวจสอบมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น"เจ้าของร้านได้โบกมือ ทันใดนั้นเงาในมุมห้องก็หายไปอย่างรวดเร็ว ตระกูลเจิ้ง เป็นตระกูลอันดับต้น ๆ ของเมืองนี้มาเป็นเวลานานกว่า 100 ปี แล้ว สมาชิกของตระกูลส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกพลังที่แข็งแกร่ง นี่เป็นเหตุผลที่พวกเขามีกองกำลังอย่างลับ ๆ

เจ้าของร้านเชื่อว่า เมื่อ กองกำลังลับเคลื่อนไหว เหตุการณ์ทั้งหมดก็จะได้รับการแก้ไข

หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง เอกสารหลายฉบับ ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาของเขา เขาได้มองผ่านมันด้วยท่าทีเฉยเมย และ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขาไม่รอช้า รีบตะโกนเรียกรถม้าทันที และ รวบรวมเอกสารในมือ ตรงดิ่งไปยังที่อยู่อาศัยของตระกูลเจิ้ง

...

ภูเขาไร้ขอบเขต สถานที่มั่งคั่งที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรจำนวนมากมันทอดยาวไปจนลับขอบฟ้าเป็นระยะทางนับหมื่นลี้ บนภูเขามีหมอกพิษ พร้อมกับสัตว์อสูรที่ดุร้ายบ้าคลั่ง ที่นี่มีร่องรอยของคนสัญจรไปมาเพียงไม่กี่คนพวกเขามาค้นหาสมุนไพรวิญญาณที่นี่ เมืองตงหลิว อยู่ใกล้กับ ภูเขาลูกนี้ ดังนั้นจึงมีนักล่าจำนวนมากที่หวังจะเข้าไปเก็บสมุนไพรวิญญาณ มาเลี้ยงชีพตน

เฉาฮัว ก็เป็นหนึ่งในนักล่าเหล่านั้น

เขาท่องไปบนภูเขาลูกนี้มานานเกือบ 8 ปี แล้ว โดยสามารถเอาชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้ นี่ก็สามารถพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเขา เขาค่อย ๆ เริ่มมีชื่อเสียง จนผู้คนเคารพยกย่องเขาเรียกเขาว่า พี่เฉา

"พี่เฉา ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นท่านบนภูเขาเลยเป็นอะไรหรือไม่?"ที่ร้านเหล้า ชายร่างกำยำ ได้กล่าวถามออกมา

เฉาฮัว ได้กล่าวพูดอย่างติดตลก"ให้ข้าพักหน่อยไม่ได้รึยังไง? ทุกครั้งที่ข้าต้องขึ้นเขาไปข้าก็ต้องเสี่ยงชีวิตขึ้นไปที่นั่นเหมือนกัน"

ภายในร้านเหล้าเต็มไปด้วยบรรยากาศเสียงหัวเราะ เนื่องจากพวกเขาเป็นนักล่า หากไม่ล่า ก็จะไม่ได้รับเงินไปซื้อโอสถมาบ่มเพาะพลัง

ถ้าพวกเขากลัวความตายพวกเขาก็คงไม่ได้เป็นนักล่าและอยู่ที่นี่!

เฉาฮัว ได้เดินอย่างเร่งรีบเข้าไปในตรอกโดยทิ้งเสียงหัวเราะไว้ข้างหลังพร้อมกับรอยยิ้ม

บัดซบ!

'ข้าได้หินวิญญาณมาจำนวนมาก เหตุใดข้ายังต้องขึ้นไปเสี่ยงชีวิตบนภูเขาอีก?' เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เฉาฮัว รู้สึกตื่นเต้น และ พูดขึ้นด้วยท่าทีกังวล"เมื่อเวลาผ่านไปคนจำนวนมากอาจจะรู้เรื่องนี้ ข้าจะต้องรีบหาทางทำเงินให้ได้มากที่สุด"

ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดเขาก็มองไปยังทางลานเล็ก ๆ

แต่ในไม่ช้ารอยยิ้มของเขาก็หยุดนิ่งลง

รถม้าหลายคันได้จอดอยู่บนถนน รถม้าขนาดใหญ่นี้ตกแต่งด้วยเครื่องประดับหรูหรา และสิ่งที่ค่อนข้างดึงดูดความสนใจของ เฉาฮัว ก็คือ ตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลรูปหนาม

ตระกูล เจิ้ง!

นี่เป็นตราสัญลักษณ์ของตระกูล เจิ้ง และ ยังเป็นรถม้าจาก ร้านสมบัติโอสถ นี่ทำให้สีหน้าของ เฉาฮัว ปรากฏเหงื่อเย็นออกมา ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในทันที เขาเดินอยู่บนเส้นทางอันตรายมานานหลายปี และมีสัญชาตญาณบางอย่างดังนั้น เฉาฮัว จึงก้มศีรษะต่ำลงและเดินหนีไปทางตรอกด้านข้าง

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากรถม้า

"ที่นี่งั้นเหรอ?"

"ขอรับคุณหนู"

"ไปถามข้อมูลมา"

"ขอรับ"

บทสนทนานี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาและไม่ได้ร้อนรนใจแต่อย่างใด ขณะที่ เฉาฮัว กำลังจะจากไป ขาของเขาก็ดูเหมือนจะก้าวไม่ออกเขา เขาได้ยินเสียงเรียกจากทางด้านหลัง

เจ้าของร้านได้เดินลงมาจากบนรถม้าและจ้องมองไปที่เขาอย่างเย็นชา"ดีที่เจ้าไม่ได้วิ่งหนีช่วยประหยัดการเสียเวลาของข้าได้เยอะ ข้าต้องการรู้อะไรบางอย่าง?"

จากนั้น เฉาฮัว ก็ตอบคำถามจากนั้นก็จากไปอย่างรวดเร็ว

ครู่ต่อมาหัวหน้าร้านก็กลับไปที่รถม้าและรายงานข้อมูล"การแลกเปลี่ยนสามต่อหนึ่ง"

ด้านในรถม้าพลันเงียบเฉียบราวกับว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นก็มีคนผลักประตูรถม้าลงมาด้วยท่าทีสง่างาม ลักษณะของนางดูเหมือนคนธรรมดา แต่ความไร้เดียงสาที่แผ่ออกมานี้ กลับทำให้นางมีเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวล้วนทำให้บุรุษต้องหัวใจเต้นแรง

เมื่อจ้องมองไปที่ประตูที่ถูกปิดอยู่ในลานธรรมดา เจิ้งโม่เอ๋อร์ ก็กระพริบตาและพูดขึ้น"ข้าจะเข้าไปดู"

เจ้าของร้านได้เบิกตากว้างและพูดขึ้น"คุณหนูไม่ได้..."

เจิ้งโม่เอ๋อร์ ได้โบกมือ"ข้าเพียงต้องการมาขอโอสถและทำตามคำเรียกร้องของพวกเขาคิดหรือว่าพวกเขาจะปฏิเสธ?"

นางมองไปที่รถม้าคันสุดท้ายด้วยสายตาคลุมเครือ

เจ้าของร้านไม่สามารถหยุดนางได้ทำได้เพียงเตรียมวัตถุดิบดังกล่าวและพึมพัมออกมา'นางคือบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของผู้นำตระกูล หากมีอะไรเกิดขึ้นกับนาง ข้าก็คงไม่อาจรอดพ้นไปได้แน่'

*ก็อก*

ประตูด้านหน้าได้ถูกเคาะ จากนั้นก็มีเด็กหนุ่มคนนึงที่ไม่ได้สูงและหล่อเหลาเป็นพิเศษเดินออกมา ท่าทีของเขาเต็มไปด้วยความกล้าหาญ ดวงตาของเขาแดงก่ำราวกับว่าไม่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลาหลายวัน น้ำเสียงของเขาได้กล่าวถามออกไปอย่างรุนแรง

"เจ้าต้องการอะไร?รู้กฏของที่นี่หรือไม่?"

เจิ้งโม่เอ๋อร์ได้กลิ่นหอมของสมุนไพรนางได้กล่าวทักทายอย่างใจเย็น"ข้าได้ยินว่าเมืองตงหลิว มีปรมาจารย์ที่สามารถปรุงโอสถได้ ข้า เจิ้งโม่เอ๋อร์ จากร้านสมบัติโอสถ ข้ามาที่นี่เพื่อไหว้วานให้ทำโอสถเม็ด ข้าไม่คิดเลยว่าปรมาจารย์ผู้ปรุงโอสถคนนั้นจะอายุน้อยขนาดนี้ช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ"

ใบหน้าของเด็กหนุ่มได้เปลี่ยนไปและโบกมือขึ้นอย่างช้า ๆ"เจ้าพูดบ้าอะไร ข้าเป็นเพียงแค่เด็กฝึกงานของท่านปรมาจารย์ก็เท่านั้น"

"เช่นนั้นข้าต้องขอโทษด้วยสำหรับท่าทีหยาบคาย สหายเต๋า เจ้าช่วยไปรายงานทีว่า ข้า เจิ้งโม่เอ๋อร์ ต้องการพบปรมาจารย์"เจิ้งโม่เอ๋อร์ ได้ยิ้มออกมา

เด็กหนุ่มได้สั่นศีรษะ"ปรมาจารย์ ไม่รับแขก หากเจ้าต้องการปรุงโอสถทิ้งสวนผสมไว้ที่นี่ถ้าไม่มีก็จากไป"

เจิ้งโม่เอ๋อร์ ได้ตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบนิ่งและพูดขึ้นด้วยท่าทีเย็นชา"สหายตัว เจ้าคงไม่รู้จักตระกูล เจิ้ง ของข้าใช่หรือไม่ ? ในเมืองตงหลิว ตระกูลเจิ้งของข้า เป็นผู้ปกครองที่นี่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าแม้แต่หน้าท่านปรมาจารย์ข้าก็ไม่มีสิทธิ์เข้าพบ?"

ชายหนุ่มได้กลอกตาและปิดประตูเสียงดังโครมครามทันที

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด