ตอนที่แล้วบทที่ 30 ดาบและร่างกาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 32 ไดเออะทูม

บทที่ 31 ก้าวสุดท้าย


****ถ โรงแรม ดราก้อนสไพน์ ****

มุมมองของนักผจญภัย:

“เฮ้เฮ้นายได้ยินเกี่ยวกับข่าวลือที่เกิดขึ้นบ้างมั้ย?”

ฉันถามขณะวางแก้วเบียร์ลง

ชายร่างกำยำที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกันกระดกหมดแก้วก่อนที่จะกระแทกแก้วลงบนโต๊ะ “

ถ้านายกำลังพูดถึงนักดาบที่สวมหน้ากากที่มีชื่อเสียงขอบอกเลยว่ามันไร้สาระสิ้นดี!”

ตั้งแต่แก้มที่แดงระเรื่อไปจนถึงดวงตาที่วาววับของเขาไม่จำเป็นต้องเป็นอัจฉริยะก็บอกได้ว่าเขากำลังเมา

“ไม่เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องจริง! คนรู้จักของฉันเคยร่วมทีมกับเขา เขาเดินทางไปกับจัสมินเฟลมส์เวิร์ธ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะไม่เคยพบกับเขา”

เด็กหนุ่มตัวผอมผมมัดมวยเข้ามาที่โต๊ะของเราเพื่อร่วมวงนินทา

"แล้วไงละ? คนที่แกเรียกว่า "คนรู้จัก" พูดอะไรบ้างไหม? "

คนขี้เมาอุทานเพราะเริ่มหมดความอดทน

“พวกเขามักไปสำรวจดันเจี้ยนย่อยๆที่ถูกเคลียร์ไปก่อนหน้านี้ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาค่อนข้างตัวเล็ก! ฉันคิดว่าข่าวลือว่าเขาไม่ใช่นักเวทย์อาจจะเป็นจริง”

เด็กน้อยส่ายหัวด้วยความสงสัย

“ห๊ะ! ไร้สาระ! เป็นได้ว่านักดาบที่สวมหน้ากากอาจจะเป็นออกเมนเตอร์หรือไม่ก็ข่าวลือพูดเกินจริง! นายเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเขาบ้างไหม? มีข่าวลือแม้แต่เรื่องที่ว่าเขาเคลียร์ดันเจี้ยนด้วยตัวคนเดียว! เป็นไปได้หรือ? ออกเมนเตอร์ระดับ B ยังไม่สามารถทำเช่นนั้นได้แม้ว่ามันจะเป็นดันเจี้ยนระดับต่ำก็ตามและนายคาดหวังว่าฉันจะเชื่อว่านักดาบธรรมดาๆจะมีปัญญาทำได้?”

แล้วไอ้ขี้เมาคนนี้ก็โบกแก้วเปล่าของเขาเพื่อขอเติมเบียร์

“ใช่ฉันคิดว่าข่าวลือเหล่านั้นพูดเกินจริงเล็กน้อย ข่าวลือที่ว่าเค้าเคลียร์ดันเจี้ยนด้วยตัวคนเดี่ยวนั้น ... ไหนนายบอกว่าจัสมินเฟลมส์เวิร์ธอยู่กับเขาตลอดเวลาไม่ใช่เหรอ? เธอคงเป็นคนช่วยเขาใช่ไหมละ?”

ฉันจิบเบียร์อีกครั้งและรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย

“ใช่มั้ย? ฉันขอบอกพวกไอ้ขี้เมาอย่างแกทั้งหลาย นักดาบคนนั้นอาจจะไม่แข็งแกร่งขนาดนั้นก็ได้! ข่าวลือครึ่งหนึ่งนั้นน่าจะเป็นฝีมือของจัสมินเฟลมส์เวิร์ธ ! นักดาบตัวเตี้ยกล้าเรียกตัวเองว่านักดาบเชียวหรือ? พามันมาที่นี่ดิ! วันไหนก็ได้เดี๋ยวฉันจะจัดการมันให้ดูเป็นบุณตาเลย!”

สิ่งต่างๆเริ่มดังขึ้นเนื่องจากการเมาอย่างหนักขึ้นเรื่อยๆ หัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดในหมู่นักผจญภัยในทุกวันนี้คือเรื่องของนักดาบที่สวมหน้ากาก มีเรื่องเล่าบอกว่าเขาเป็นเด็กฝึกงานของจัสมินเฟลมส์เวิร์ธ แต่นั่นก็เป็นเรื่องไกลตัวเล็กน้อย เป็นที่รู้กันว่าเขาสอบได้ในอันดับ B ซึ่งก็ยากพอสมควรแล้ว ที่น่าตกใจกว่านั้นคือตอนนี้เขาอยู่ที่คราส A แล้ว! เลื่อนอันดับภายในสองปี?

ฉันแค่ส่ายหัวในขณะที่ฉันสมเพชกับตัวเอง นี่ฉันคือนักผจญภัยที่คาบเส้นของคราส C ฉันสอบเพื่อเลื่อนขั้นไม่ผ่านมาสามครั้งแล้วในช่วงสามปีที่ผ่านมา เมื่อคุณรวบรวมแต้มได้เพียงพอจากการเข้าดันเจี้ยนและทำภารกิจและเควสให้สำเร็จแล้วนักผจญภัยจะได้รับโอกาสเลื่อนขั้นหากสอบผ่าน

การสอบจะแตกต่างกันไปในแต่ละคลาส แต่คาดว่าจะเข้าสู่อันดับ A ซึ่งเป็นอันดับต้นๆที่ถือว่าเป็น 'พวกอัจฉริยะ' ผู้เข้าสอบต้องต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับนักผจญภัยระดับ A ถึงสองคนและใช้เวลาสิบนาที

สิ่งที่แปลกก็คือเมื่อข่าวลือบางส่วนได้ไปถึงผู้เข้าสอบที่อยู่ที่นั่นพร้อมกับนักดาบสวมหน้ากากเมื่อเขาทำการสอบ พวกเขาต่างก็บอกว่าเขาเป็นออกเมนเตอร์

ข่าวลือนั้นใหญ่โตขึ้นเพราะทุกคนที่เคยร่วมสำรวจดันเจี้ยนกับเขาบอกว่าเขาไม่เคยใช้มานาเลยแม้แต่นิดเดียวแต่เขายังคงเก่งเหมือนสัตว์ประหลาด

ตอนนี้ชายร่างกำยำกำลังสติแตกเล็กน้อยและรู้สึกรำคาญกับความจริงที่ว่านักดาบตัวน้อยน่าจะเก่งกว่าเขา เขาเป็นทหารผ่านศึกคลาส B ฉันนึกภาพออกว่านั่นเป็นความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขา

ประตูผับที่ส่งเสียงดังเอี้ยดเปิดออกและฉันก็ทิ้งส้อมที่อยู่ในมือของฉันลงเมื่อเห็นร่างที่กำลังเดินเข้ามา

“กำลังพูดถึงอยู่พอดี! นักดาบตัวน้อยที่ทุกคนกำลังพูดถึงอยู่ อยู่ที่นี่แล้ว! ผู้ปกครองของนายอยู่ที่ไหนละ?”

ชายร่างกำยำลุกขึ้นจากที่นั่งพร้อมกับรอยยิ้มขณะที่ใบหน้าและแก้มยังคงแดงระเรื่อ

นักดาบสวมหน้ากากคนเดียวกันที่เป็นข่าวลือ ... เขาอยู่ที่นี่ตัวเป็นๆ!

ฉันเห็นดวงตาสีฟ้าของเขาภายใต้หน้ากาก เขามองขึ้นไปที่ชายร่างกำยำด้วยสีหน้างุนงง เขาสวมเสื้อโค้ทสีดำเรียบง่ายที่ยาวลงมาถึงกลางต้นขาของเขามีฮูดบนเสื้อโค้ทปกปิดสิ่งที่หน้ากากไม่สามารถทำได้

ถ้าฉันได้เดินผ่านไปแม้จะมีหน้ากากและดาบสองเล่มฉันก็คงไม่ได้สังเกตเห็นอะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับเขา แต่หากมองดูดีๆเขาก็เป็นแค่คนแปลกๆ

ชายสวมหน้ากากสูงประมาณ 1.6 ม. ซึ่งไม่ได้สูงขนาดนั้น เขามีรูปร่างที่เพรียวบางอยู่ใต้เสื้อโค้ทซึ่งบ่งบอกว่าเขาเป็นคนธรรมดาๆหรือเป็นคอนเจอะเรอร์ซะมากกว่า

ที่รัดอยู่ข้างหลังเขาคือดาบสั้นธรรมดาๆที่ด้านบนและมีแท่งสีดำเงาอยู่ด้านล่าง ฉันอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเขาเป็นคอนเจอะเรอร์หรือเปล่าและนั่นคือไม้เท้าของเขา

หลังจากเหลือบไปเห็นไอ้ขี้เมาที่กำลังเรียกเขา ชายสวมหน้ากากก็เดินผ่านเขาไปโดยไม่สนใจราวกับว่าเขาไม่มีค่าพอให้เสียเวลา

“ไอ้สารเลว! แกไม่สนใจฉันหรือ เพียงเพราะแกมีชื่อเสียงเพียงเล็กน้อยจากข่าวลือไร้สาระ แกคิดว่าแกเก่งกว่าฉันหรือ?”

ฟางเส้นสุดท้ายของไอ้ขี้เมาขาดในขณะที่เขาปลดดาบยักษ์ออกจากหลังของเขาและถือมันไว้เหนือหัวเพื่อที่จะเหวี่ยงลง

“ใจเย็นๆ ! นายรู้ว่านายไม่ได้รับอนุญาตให้ฆ่าคนที่นี่!”

ฉันพยายามระงับชายคนนั้นโดยยกแขนขึ้นเพื่อไม่ให้ดาบของเขาแกว่งออกไป แต่ชายสวมหน้ากากไม่แม้แต่จะหันหลังกลับและเดินไปที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า

สิ่งนี้ยิ่งทำให้ไอ้ขี้เมายิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อเขาเสริมมานาไปที่ร่างกายและดาบของเขาซึ่งทั้งคู่เปล่งแสงสีเงิน เขาผลักฉันออกไปและเหวี่ยงลงไปที่นักดาบสวมหน้ากากคนนั้น

เสียงระเบิดดังกึกก้องดังก้องและฉันจ้องมองด้วยความสยดสยองและนึกภาพศพเปื้อนเลือดที่อาจถูกแยกออกเป็นสองส่วนจากแรงระเบิด อย่างไรก็ตามในทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่ฉันคาดไว้ดาบได้สร้างหลุมขนาดเล็กถัดจากชายสวมหน้ากากทำให้เขาหลบดาบห่างเพียงแค่เส้นผม

ค่อนยังชั่ว…อย่างน้อยไอ้ขี้เมาก็มีสติมากพอที่จะไม่ฆ่าผู้ชายคนนั้น เขาอาจแค่อยากทำให้เขาตกใจ

ฉันยืนขึ้นเพื่อที่จะช่วยสงบสติอารมณ์ของชายร่างกำยำไม่ให้แกว่งดาบอีกครั้ง แต่เมื่อฉันหันไปหาเขาฉันก็เห็นว่าใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยสีหน้าตกใจและหดหู่

“กราาา!”

เขาเหวี่ยงดาบของเขาอีกครั้งและยกมันออกมาจากความหดหู่เล็กน้อยที่เขามีก่อนหน้านี้ ลูกค้าที่นั่งอยู่ในห้องอาหารของโรงแรมต่างก็จ้องมองในขณะนี้บางคนถึงกับเชียร์ให้มีการต่อสู้กันถึงเลือดถึงเนื้อ

ด้วยมานาที่เสริมสร้างร่างกายของผู้ชายที่กำยำและดาบใหญ่ของเขาไม่ว่าเขาจะเมาแค่ไหนก็ตาม พลังและความเร็วของเขาไม่ใช่เรื่องตลก เขาโจมตีด้วยการเหวี่ยงอย่างรุนแรงซึ่งทำให้ที่นั่งและโต๊ะไม้ที่ขวางทางอยู่แหลกละเอียด แต่ไม่ว่าเขาจะโจมตีมากแค่ไหนดาบของเขาก็พลาดเป้าเสมอ ดาบของชายคนนั้นฟันโดนเพียงอากาศที่ว่างเปล่าขณะที่นักดาบสวมหน้ากากก้มลงและหลบไปมาเพื่อหลีกเลี่ยงมัน ส่วนที่บ้าที่สุดก็คือเขาไม่ได้ก้าวออกจากตำแหน่งเดิมเลยแม้แต่ก้าวเดียว

หลังจากการโจมตีของชายร่างกำยำและดาบใหญ่ของเขาถูกเหวียงออกเป็นเวลาประมาณหนึ่งนาทีเขาก็เหงื่อออกอย่างท่วมท้นขณะที่ใบหน้าของเขาเหี่ยวย่นด้วยความหงุดหงิด แต่ตอนนี้เขาระมัดระวังมากขึ้นในขณะที่เขาถอยหลัง

“แกหลบเป็นอย่างเดียวหรือ? ฉันเดาว่าผู้ปกครองของแกคงจัดการทุกอย่างในขณะที่แกวิ่งหนีสินะ!”

ชายคนนั้นยิ้มให้เขาอย่างน่ากลัว แต่ยังคงมั่นใจว่าเขาสามารถเอาชนะชายสวมหน้ากากได้ เขาวางมือทั้งสองข้างจับดาบและเหวี่ยงไปอีกครั้ง คราวนี้มันเร็วกว่าการโจมตีครั้งก่อนมาก

ด้วยเสียงดังแหลม ดาบใหญ่ของไอ้ขี้เมาตัวใหญ่ที่อาจมีน้ำหนักมากกว่าชายสวมหน้ากากลอยขึ้นฟ้า แต่ฉันไม่รู้ว่าได้ยังไง เสียงดังกล่าวทำให้ดูเหมือนว่าดาบได้ถูกปะทะเข้ากับโลหะจากดาบอีกเล่ม แต่ฉันมองไม่เห็น ฉันไม่เห็นแม้แต่นักดาบสวมหน้ากากได้ดึงอาวุธออกมา

"พอใจหรือยัง?"

ชายสวมหน้ากากถาม

“อะ - อะ…”

เป็นเสียงเดียวที่ฉันได้ยินจากไอ้ขี้เมาก่อนที่เราทุกคนจะล้มตัวลงไปกับพื้น

ทันใดนั้นฉันรู้สึกเหมือนอยู่ใต้น้ำลึก ฉันหายใจไม่ออกและอากาศรอบๆดูเหมือนจะต้องการบดขยี้ฉัน

“…”

นี่คืออะไร?

ฉัน - ฉันกลัว ...

ฉันได้ยินมาว่านักสู้ชั้นยอดบางคนสามารถสร้างจิตสั่งหารที่สามารถไล่สัตว์มานาออกไปได้ แต่นี่มันอะไรกัน? มีจิตสั่งหารที่สามารถฆ่าคนได้จริงๆหรือ?

ฉันค่อยๆหันศีรษะไปเผชิญหน้ากับชายสวมหน้ากากซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นที่มาของความกระหายเลือดนี้ฉันรู้สึกได้ว่าเลือดได้ถูกดูดออกไปจากใบหน้าขณะที่จ้องมองเขา

ฉันไม่สามารถบอกได้ว่าเขาแสดงออกอย่างไรภายใต้หน้ากาก แต่ฉันไม่จำเป็นต้องรู้ ดูเหมือนจะมีออร่าที่มืดมิดและเปล่งประกายออกมาจากเขา ฉันสาบานได้เลยว่ามันรู้สึกราวกับว่าออร่าแห่งความมืดรอบๆตัวเขามีชีวิตและกำลังโกรธ จิตสั่งหารไม่ได้มุ่งเน้นมาที่ฉันแต่ฉันยังต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้กางเกงเปียกฉี่

ฉันได้เห็นอาการของไอ้ขี้เมาที่อยู่ตรงนั้น ดวงตาของเขาเบิกกว้างและร่างกายของเขาแข็งทื่อราวกับว่าเขากลายเป็นหิน เขาพึมพำอะไรบางอย่างและฉันก็เห็นน้ำตาไหลอาบแก้มของเขาในขณะที่บริเวณเป้ากางเกงของเขามีสีเข้มขึ้นเรือยๆ

ทันใดนั้นเขาก็ถอนความกระหายเลือดของเขาและฉันก็หายใจได้อีกครั้ง ฉันสูดอากาศลึกๆ อย่างหมดหวังและจบลงด้วยการไอ ฉันเห็นนักผจญภัยคนอื่นๆ และคนในโรงแรมทำแบบเดียวกัน บางคนอยู่ในสภาพแย่กว่าที่ฉันเป็นอีก

ชายสวมหน้ากากหันกลับไปที่เคาน์เตอร์และเผชิญหน้ากับพนักงานเสิร์ฟที่กำลังสั่นขณะที่ใบหน้าของเธอมีเฉดสีอ่อนกว่าเดิมถึงสามเฉด

“ฉันเชื่อว่ามีเสบียงอาหารภายใต้ชื่อ ‘โน้ต’ ที่เพื่อนของฉันสั่งเมื่อไม่นานมานี้”

ชายสวมหน้ากากพูดด้วยเสียงโทนของผู้ชายวัยกลางคนที่ชัดเจนและแม่นยำ

“ค่ะ! ฉันจะจัดการให้คุณทันที!”

เขาพยักหน้าเล็กน้อยให้กับพนักงานเสิร์ฟขณะที่เธอยื่นเสบียงอาหารให้เขาและเขาก็จากไปเพราะคนทั้งโรงแรมเฝ้าดูเขาออกไปโดยไม่กล้าส่งเสียงอะไร

มุมมองของอาเธอร์เลีย์วิน:

“ใช้เวลานานอะไรขนาดนี้?”

จัสมินแบ่งอาหารและใส่ลงในกระเป๋าแต่ละใบที่ติดกับอานม้าของเรา

“เออพอดีมีเรื่องนิดหน่อยกับนักผจญภัยคนหนึ่งที่โรงแรม! ฮ่า ๆ”

ฉันเกาหัวขณะกระโดดขึ้นไปบนสัตว์ขี่สีน้ำตาล

ฉันรู้สึกได้ว่าจัสมินจ้องมองมาที่ฉันอย่างสงสัย ดวงตาที่ปิดครึ่งของเธอกำลังจินตนาการถึงความชั่วร้ายที่ฉันได้ก่อ

“อย่าไปสนใจเลยน่า! ฉันไม่ได้ทำเรื่องให้ใหญ่โตขนาดนั้น! ฉันไม่ได้ทำร้ายผู้ชายคนนั้นด้วยซ้ำ!”

ฉันโบกมือพยายามเกลี้ยกล่อมให้จัสมินกลับไปที่โรงแรมดราก้อนสไพน์

จัสมินส่ายหัวและขี่ม้าของเธอเช่นกันและไม่สนใจ

“ฮืบ!”

เรามุ่งหน้าไปยังจุดหมาย

ขณะที่เราเดินทางฉันคิดย้อนกลับไปเมื่อสองปีที่แล้ว จัสมินต้องการให้ฉันไปเลื่อนชั้นไปที่คลาส A ให้เร็วที่สุดเพื่อสำรวจดันเจี้ยนที่เรากำลังจะไปในวันนี้

ตลอดการเดินทางเพื่อยกระดับของฉัน เธอได้รับการจัดอันดับใหม่เช่นกันและกลายเป็นนักผจญภัยระดับ AA ยังคงมีความแตกต่างในระดับเล็กน้อยระหว่างเธอกับคาสเปี้ยน แต่เธอก็ปรับปรุงได้ดีขึ้นมากในช่วงสองปีนี้ เมื่อเราไม่ได้ทำภารกิจหรือสำรวจดันเจี้ยนเราก็ซ้อมกัน

ในเวลากลางคืนฉันควรทำสมาธิอย่างน้อยสองสามชั่วโมงก่อนเข้านอน ในช่วงสองปีที่ผ่านมาฉันได้ก้าวเข้าสู่ขั้นสีส้มอ่อนซึ่งฉันนับได้ว่าเป็นความสำเร็จมากเมื่อพิจารณาว่าฉันใช้เวลาในการนั่งสมาธินานแค่ไหน

ไม่สิ...การปรับปรุงที่ใหญ่ที่สุดตลอดช่วงเวลานี้คือร่างกายของฉัน การไม่ใช้มานาทำให้ฉันต้องเดินถอยหลังและจำวิธีใช้ดาบและร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพดังนั้นฉันจะเก่งขึ้นมากเมื่อเพิ่มพลังตัวเอง

ฉันไม่สามารถพูดได้ว่าฉันอยู่ที่ 100% ในแง่ของความแข็งแกร่งเนื่องจากกล้ามเนื้อของฉันยังไม่ได้รับการพัฒนาเทียบกับฉันตอนที่เป็นผู้ใหญ่ แต่ฉันก็ไม่รู้สึกอึดอัดอีกต่อไปเมื่อต่อสู้ ตอนนี้ ฉันปรับแต่งเทคนิคดาบบางอย่างเพื่อให้เข้ากับร่างกายในปัจจุบันของฉันได้ดีขึ้น ซึ่งฉันปรับปรุงมันไปพร้อมๆกัน

มันห่างไกลจากคำว่าง่ายและฉันยังมีรอยแผลเป็นบนร่างกายเพื่อพิสูจน์มัน แต่ฉันก็รู้ว่ามันคุ้มค่า ควบคู่ไปกับร่างกายที่มีเจตจำนงของมังกรของฉันและการใช้การหมุนของมานาในที่สุดฉันก็เริ่มที่จะชินกับมัน ฉันรู้ว่าฉันมาถูกทางแล้วสำหรับอนาคตของฉัน

จัสมินก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน ในขณะที่เดินทางไปกับเธอฉันสังเกตเห็นว่าข้อบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดของเธออยู่ที่ฝีมือดาบของเธอ เธอโตขึ้นและเรียนรู้ทักษะของธาตุไฟเพียงอย่างเดียวจนเธอจะเห็นมันว่าไม่เหมาะกับเธอ เธอจึงเรียนรู้วิธีควบคุมดาบของเธอใหม่เพื่อให้เหมาะกับทักษะธาตุลมของเธอ

ฉันไม่เก่งเรื่องของธาตุลม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะสอนเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ให้กับเธอไม่ได้ เธอสอบผ่านชั้นเรียน AA โดยใช้ทักษะใหม่ที่ฉันสอนเธอพร้อมกับเทคนิคดาบคู่ของเธอที่เธอได้พัฒนาขึ้นมาเอง ฉันต้องการสอบเลื่อนขั้นไปคลาส AA เช่นกัน แต่ข้อกำหนดเรื่องแต้มทำให้ฉันต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จและเคลียร์ดันเจี้ยนอีกมากมายก่อนที่จะมีสิทธิ์

ฉันส่งจิตไปที่ซิลวี เธอทำตัวแปลกๆ ตั้งแต่เรามาที่บีสเกลด โดยปกติแล้วเราจะติดต่อกันตลอดเวลา แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเธอยังไม่อยากมาพบฉันแม้ว่าฉันจะกลับไปที่ไซรัสเพื่อเยี่ยมครอบครัวก็ตาม ทุกครั้งที่ฉันบอกให้เธอไปด้วยเธอตอบโดยบอกว่ามีบางอย่างที่เธอต้องทำให้เสร็จก่อนจะกลับ

อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ฉันสามารถบอกได้อย่างแน่นอนว่าเธอโตขึ้นมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตอนนี้เราสามารถสนทนากันได้แล้วและอารมณ์ของเธอก็เริ่มซับซ้อนขึ้นกว่าเดิมมากจนบางครั้งถึงกับเกิดความผิดพลาด

ในขณะที่ฉันกลับบ้านสองสามครั้งในช่วงปีแรกแต่ปีที่แล้วใช้เวลานานเกินไปในการเดินทางกลับไปยังไซรัสและดันเจี้ยน เราเลยติดต่อจดหมายแทนและพบกับพ่อแม่ทุกๆครั้งที่กิลด์ฮอลล์ซึ่งเป็นประตูมิติ

แม่ของฉันไม่ค่อยพอใจกับข้อเท็จจริงนี้ แต่เธอก็เข้าใจในระดับหนึ่ง ฉันบอกได้เลยว่าพ่อของฉันกำลังฝึกอย่างเต็มที่เพราะตอนนี้เขาผ่านเข้าสู่ขั้นสีส้มเข้มซึ่งมันน่าประทับใจมากสำหรับคนที่อายุเท่าเขา ฉันยังจำรอยยิ้มที่ฉาบบนใบหน้าได้ในขณะที่เขาชี้ให้เห็นว่าฉันได้รับพรสวรรค์ที่น่าประทับใจมาจากใคร

พวกเขายังบอกฉันมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่ตระกูลเฮลสเตอา น้องสาวของฉันยังคงอยู่ห่างจากการสร้างแกนมานาของเธอเล็กน้อย แต่ฉันรู้สึกประหลาดใจเมื่อรู้ว่าลิเลียตื่นขึ้นเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อน การตื่นขึ้นของเธอทำให้เตียงของเธอระเบิดซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับนักเวทย์

พ่อแม่ของเธอมีความสุขและไม่รอช้าที่จะสมัครเข้าเรียนในสถาบันไซร้ส

หลังจากได้รับการทดสอบ แกนมานาของเธออยู่ในค่าเฉลี่ย แต่ประสิทธิภาพของเส้นมานาของเธอนั้นยอดเยี่ยมมาก เธอมีความสามารถสูงในการดูดซับมานาจากสิ่งรอบๆตัวซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคอนเจอะเรอร์

ความจริงที่ว่าลิเลียจะกลายเป็นรุ่นพี่ของฉันที่โรงเรียนเมื่อฉันเริ่มเรียนในปีหน้านั้นเป็นเรื่องที่น่าขบขันมาก

“เรามาถึงแล้ว”

จัสมินประกาศและดึงฉันออกจากความคิด ตามสัญญาณของเธอเราสองคนนำม้าของเราวิ่งเหยาะๆไปยังที่โล่งเล็กๆ ในป่า

ที่โล่งที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้สูงและที่ตั้งของทางเข้าดันเจี้ยนนั้นเต็มไปด้วยกลุ่มนักผจญภัยที่กำลังเคลียร์แคมป์ของพวกเขาบางคนกำลังตรวจสอบอาวุธของพวกเขาเมื่อพวกเขาพร้อมที่จะเข้าไป

“ฉันเดาว่าเรากำลังจะมีออกเมนเตอร์มาแจมมากขึ้นนะนี้”

เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นเมื่อเขาเดาะลิ้นของเขา เมื่อลงจะม้าฉันเดินไปหากลุ่มนักผจญภัยเมื่อนักเวทย์ผมสีบลอนด์ที่เคยเจอในสถานที่เข้าสอบดูไม่พอใจ

จัสมินเดินตามหลังฉันไปในขณะที่ออกเมนเตอร์ที่สวมชุดเกราะออกมาและยื่นมือออกไปข้างหน้าเขาหวังที่จะจับมือ

“ได้โปรดอย่ารังเกียจลูคัสเลย ให้ฉันแนะนำสมาชิกในปาร์ตี้ดีกว่า ผมชื่อเรจินัลด์บรูคส์เป็นออกเมนเตอร์ระดับ อยู่ขั้นสีเหลืองของธาตุดินที่เชี่ยวชาญในการใช้ค้อน”

เขาชี้ไปที่ค้อนขนาดยักษ์ที่นอนอยู่บนพื้น

ฉันศึกษาเกี่ยวกับเรจินัลด์ ชายคนนี้มีผมสีน้ำตาลสั้นยุ่งที่เข้ากับดวงตาของเขา กรามเหลี่ยมของเขาที่มีเคราหนาประกอบกับความสูงเกือบสองเมตรและไหล่กว้างที่ทำให้ผู้ชายคนนี่ดูน่าเกรงขาม

ออกเมนเตอร์ในกลุ่มหากไม่รวมจัสมินและฉันก็จะมี เรจินัลด์ ครีออลและ แบรลด์

ครีออลเป็นออกเมนเตอร์สายธาตุน้ำสายป้องกันที่ใช้เพียงโล่ขนาดมหึมาเป็นอาวุธของเขา เขาตัวเตี้ยกว่าเรจินัลด์และมีพุงใหญ่ซึ่งบ่งบอกว่าชายคนนี้ชอบการดื่มเบียร์มาก ฉันบอกได้เลยว่าเขาแข็งแกร่งแม้ว่าโดยรวมแล้วร่างกายของเขาจะดูไม่เหมือนเช่นนั้น แม้ว่าหน้าท้องของเขาจะบีบออกมาจากชุดเกราะก็ตาม

แบรลด์เป็นชายที่ดูสูงศักดิ์และเตี้ยกว่าเรจินัลด์เล็กน้อย เขาสวมชุดเกราะโลหะสีขาวที่ปิดไหล่และหน้าอกเท่านั้นโดยมีผ้าคลุมหรูหราไหลอยู่ข้างหลังเขา ด้วยผมสีบลอนด์ที่ถูกตัดแต่งและดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่แหลมคมเขาดูเหมือนเสือผู้หญิงตัวจริง แต่มันทำให้ฉันประหลาดใจมากเมื่อพบว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษจริงๆและยื่นมือมาให้เราและยิ้มให้เราอย่างไร้เดียงสา

“ผมชื่อแบลด์และเพิ่งกลายเป็นออกเมนเตอร์ขั้นสีเหลืองอ่อนระดับ AA ผมเป็นออกเมนเตอร์ธาตุไฟที่เชี่ยวชาญในดาบและโล่ ผมจะเป็นคนนำทางพวกเราในวันนี้”

เขาหันหลบหนีหลังจากสบตากับจัสมิน

หลังจากที่ออกเมนเตอร์แนะนำตัวเองคอนเจอะเรอร์ก็ก้าวขึ้นมา รวมทั้งลูคัสมีคอนเจอะเรอร์อื่นๆอยู่อีกสี่คน หนึ่งในนั้นคือชายร่างท้วมและอีกคนเป็นเด็กผู้หญิงในขณะที่คนสุดท้ายเป็นเด็กผู้ชายผมสีดำหน้าตาจริงจังที่ฉันเคยเห็นในสถานที่สอบ

เขาชื่ออะไรนะ…?

“ผมชื่ออาไลจาห์ไนท์ คอนเจอะเรอร์คราส A ขั้นสีส้มเข้ม…ความเชี่ยวชาญเดียวคือดิน”

เขากล่าวอย่างสั้น ๆ

ฉันอดไม่ได้ที่จะจับตาดูเขาอย่างระมัดระวัง จะต้องมีมากกว่านั้น เขาจะไม่สามารถผ่านการสอบและถูกจัดให้อยู่ในอันดับ B ได้เพียงแค่การเป็นคอนเจอะเรอร์สายดินไม่ว่าเขาจะอายุน้อยแค่ไหนก็ตาม

ผู้ชายขี้อายที่ดูดีในวัยสามสิบของเขาเดินออกมาถัดไป เขามีใบหน้าที่ดูอ่อนโยนแม้จะมีหน้าตาที่ดูไม่น่าสนใจนักก็ตามด้วยจมูกที่คดและผมสีน้ำตาลทรงแสกกลาง

“อะแฮ่ม! ฉันชื่อโอลิเวอร์และฉันเป็นคอนเจอะเรอร์ระดับคลาส A ขั้นสีเหลืองเข้ม ฉันเป็นดีวีเอินทสายอิมิตเตอร์และเชี่ยวชาญในการรักษา”

เขาขบกรามของตัวเองอย่างขบขันในขณะที่เขากอดอก

แม้จะมีท่าทางที่ดูหยิ่งของเขา แต่มันก็มั่นใจได้มากขึ้นหากจะนักเวทย์สายฟื้นฟูในปาร์ตี้

“สวัสดี! ฉันชื่อซาแมนธา แต่พวกคุณเรียกฉันว่าแซมมี่ก็ได้ค่ะ! อยู่ในขั้นสีเหลืองเข้มคอนเจอะเรอร์ระดับ A ที่มีความเชี่ยวชาญด้านน้ำเพียงอย่างเดียวพร้อมที่จะบริการคุณ!”

เธอพุ่งเข้ามาในทิศทางของฉัน ซาแมนธาดูเหมือนจะอายุประมาณยี่สิบกลางๆและเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจที่เธอเองก็รู้ เธอมีผมสีบลอนด์หยักศกที่ไหลลงมาที่ไหล่และดวงตาสีฟ้าอ่อนที่ดูเกือบจะเป็นสีเทา ดวงตาของเธอกลมโต ทำให้เธอดูไร้เดียงสาอย่างหลอกลวงและความสูงเล็กของเธอก็ช่วยให้คนอื่นเชื่อได้ง่ายๆ หญิงสาวโยกสะโพกของเธอตลอดเวลาขณะที่เธอสลับขาเพื่อดึงดูดสายตาจากผู้ชายที่อยู่ใกล้ๆ และโอลิเวอร์ดูเหมือนจะสนใจเป็นพิเศษ

“จัสมิน ออกเมนเตอร์ขั้นสีเหลืองอ่อนระดับ AA คุณสมบัติของลมกับดาบคู่”

คู่หูของฉันพูดโดยไม่สบตา

“โน็ต ออกเมนเตอร์ขั้นสีส้มอ่อนคราส A คุณสมบัติไฟที่มีความเชี่ยวชาญในดาบ”

ฉันพูดตามเธอโดยไม่รอช้า

แบรลด์ยิ้มให้เรา

“ยินดีต้อนรับพวกคุณสองคน! ฉันดีใจอย่างมากที่มีคลาส AA คนอื่นในกลุ่ม!”

ออกเมนเตอร์อีกสองคนพยักหน้าเห็นด้วยในขณะที่ใบหน้าเฉยเมยของโอลิเวอร์และลูคัสแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่สนใจ

เมื่อถูกขอให้แนะนำโดยแบรลด์ลูคัสก็พูดออกมาว่าเขาเป็นนักเวทที่เชี่ยวชาญด้านไฟซึ่งอยู่ในขั้นสีเหลืองเข้ม ทั้งหมดนี้อาไลจาห์ยังคงทำหน้านิ่งขณะที่ฉันเริ่มรำคาญสายตาที่ซาแมนธามองมาที่ฉันอย่างต่อเนื่องและพยายามมองผ่านหน้ากาก

“ฉันอดถามไม่ได้ ว่าคุณโน้ตมีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับตัวคุณที่บอกว่าคุณไม่ใช่ออกเมนเตอร์ แต่คุณเพิ่งประกาศอย่างชัดเจนว่าคุณเป็น”

เรจินัลด์ถามพลางหยิบค้อนยักษ์ขึ้นมาแล้วจับมันขึ้นบ่า

“ฉันไม่ได้ใช้เวทมนตร์มาระยะหนึ่งแล้วเนื่องจากเหตุผลส่วนตัว นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ข่าวลือเหล่านั้นเกิดขึ้น”

ฉันแค่ยักไหล่เพื่อให้เรืองมันจบ

เมื่อสังเกตเห็นว่าฉันไม่ต้องการดื่มด่ำกับความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาเขาจึงไออย่างไม่สบายใจและตั้งขบวนสำหรับปาร์ตี้

โดยพื้นฐานแล้วมันจะเป็นแบลด์ที่อยู่ด้านหน้าเนื่องจากรูปแบบของโล่และดาบของเขาเหมาะสมที่สุดสำหรับแนวหน้า ข้างๆเขาคือเรจินัลด์และฉันซึ่งทั้งคู่เชี่ยวชาญในการรุก การปกป้องด้านหลังคือ ครีออลพร้อมกับโล่ขนาดมหึมาของเขาเพื่อป้องกันไม่ให้เราถูกขนาบข้าง จัสมินอยู่ข้างๆเขาพร้อมที่จะฆ่าทุกสิ่งที่อาจผ่านเข้ามา เราทุกคนต้องรับผิดชอบในการปกป้องคอนเจอะเรอร์ทั้งสี่โดยมีโอลิเวอร์อยู่ในจุดศูนย์กลางซึ่งจะได้รับการปกป้องมากที่สุดเนื่องจากเขาเป็นนักเวทย์สายฟื่นฟูของเรา

“เราควรรีบออกเดินทางทันที”

แบลด์ประกาศ เขาได้รับตำแหน่งผู้นำเนื่องจากเขาอยู่ในแนวหน้าและเป็นคลาส AA คนเดียวนอกเหนือจากจัสมินที่เงียบสงบ

ดันเจี้ยนนี้ถือว่าอยู่ในระดับ AA ซึ่งหมายความว่าปาร์ตี้ที่มีคลาส A ขึ้นไปเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้า เมื่อเร็วๆ นี้แบลด์พบว่ามีอุโมงค์ที่ซ่อนอยู่ซึ่งนำไปสู่ส่วนที่ยังไม่ได้สำรวจของดันเจี้ยนซึ่งเรากำลังจะเข้าไปในวันนี้

นั่นหมายความว่าการสำรวจดันเจี้ยนส่วนใหญ่ของเราจะต้องผ่านพื้นที่ที่ไม่มีใครเคยผ่านมาก่อน ทุกคนนำอาวุธของพวกเขาออกมาในขณะที่แม้แต่คอนเจอะเรอร์ก็ยังเช็ดการแสดงออกที่น่ารังเกียจของพวกเขาออกไปขณะที่เราก้าวเข้าไปในดันเจี้ยนที่นักสำรวจคนแรกตั้งชื่อมันว่า “เดอะไดเออะทูม” (สุสานที่น่ากลัว)

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด