ตอนที่แล้วตอนที่ 7 : อรรถา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 9 : งาน

ตอนที่ 8 : ศีลมหาสนิท


เรื่อง : รัตติกาลไม่สิ้นแสง (长夜余火 Embers Ad Infinitum)

ตอนที่ 8 : ศีลมหาสนิท

* * * * * * * * * * * * * * *

“หลังการให้นมแต่ละครั้ง ควรจับทารกตั้งตรงสัก 20-30 นาที

“ควรป้อนอาหารให้ทารกก่อนที่เขาจะหิวเกินไป…

“…”

เสียงบรรยายของเหรินเจี๋ยดังก้องเบาๆ ภายในห้อง เฉินตู้กับคนอื่นๆ ล้วนฟังอย่างตั้งใจ หยิบกระดาษและปากกาที่เตรียมไว้ออกมาจดสิ่งที่คิดว่าสำคัญไว้เป็นครั้งคราว

ซางเจี้ยนเย่ารักษาท่าทางตั้งแต่เริ่มต้นเอาไว้และมองเหรินเจี๋ยอย่างตั้งใจ แต่ดวงตาเหมือนจะเลื่อนลอย

หลังผ่านไป 20-30 นาที เหรินเจี๋ยหยุดบรรยาย สายตากวาดมองไปยังทุกคน

“นั่นคือเนื้อหาสำหรับวันนี้

“ทั้งหมดล้วนเป็นคำสอนขององค์เทพ”

“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน” ก่อนที่เฉินตู้และคนอื่นๆ จะทันพูดอะไร ซางเจี้ยนเย่าก็ยื่นมือออกมาแล้วทำท่าอุ้มเขย่าเด็กทารกอย่างกระตือรือร้น

“…” ผู้ชุมนุมคนอื่นๆ ต่างตกตะลึงไปถึงสองวินาที แต่ในที่สุดก็เรียนรู้จากซางเจี้ยนเย่า ยื่นแขนงอข้อศอกแล้วเขย่าเบาๆ “สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน”

เหรินเจี๋ยอ้าปากค้างเหมือนจะพูดอะไรออกมาแต่แล้วก็ไม่ได้พูด

เธอเหลือบมองนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์เรือนเก่าที่ข้อมือแล้วเอ่ยขึ้น

“ดึกมากแล้ว พวกเราต้องกลับบ้านก่อนไฟถนนจะเปิด

“ช่วงสุดท้ายคือศีลมหาสนิท”

เมื่อพูดจบ เธอกับหญิงสาวแซ่หลี่ก็เดินเข้าไปยังห้องด้านในสุด

ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็เดินออกมาทีละคน คนหนึ่งถือเอาอุปกรณ์รับประทานอาหารออกมาด้วย มีชามใบเล็กบ้างใหญ่บ้าง กล่องอาหาร และช้อนกระเบื้องเคลือบ ส่วนอีกคนถือภาชนะทรงกระบอกขนาดใหญ่ที่บรรจุอะไรบางอย่างสีดำเอาไว้

กลิ่นหอมเข้มข้นลอยเข้าจมูกซางเจี้ยนเย่าอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาถึงกับยกมือขวาขึ้นมาเช็ดมุมปากโดยไม่ได้ตั้งใจ

นั่นคือกลิ่นหอมของงาและน้ำตาล!

ของคล้ายๆ อะไรแบบนี้ อย่างพวกขนมทั่วไป มีราคาถึง 60 คะแนนความร่วมมือต่อน้ำหนัก 1 จิน นี่มันแพงกว่าเนื้อหมูซะอีก!

[จิน หน่วยวัดน้ำหนัก 500 กรัม]

พวกสินค้าระดับสูงมีราคาเกือบ 720 คะแนนต่อ 1 จิน ซึ่งซางเจี้ยนเย่าใช้เพียง 8-10 คะแนนต่ออาหารเช้าทุกมื้อ

ในไม่ช้า หญิงสาวแซ่หลี่ก็แจกจ่ายอุปกรณ์ทานอาหารให้กับทุกคน เหรินเจี๋ยนั้นมือหนึ่งถือภาชนะพลาสติกโปร่งแสง ส่วนมืออีกข้างถือทัพพีแล้วตักของกินสีดำเต็มทัพพีลงในชามและกล่องอาหารของสหายธรรมแต่ละคน

เมื่อตักให้แล้วเธอก็จะเอ่ยว่า

“ศีลมหาสนิทวันนี้ เป็นงาดำกวน”

ผู้ที่รับแจกศีลมหาสนิทก็จะตอบกลับอย่างสำรวม

“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน”

ในฐานะสมาชิกใหม่ของคณะธรรม ซางเจี้ยนเย่าจึงเป็นคนสุดท้ายที่ได้รับศีลนอกเหนือไปจากเหรินเจี๋ยและหญิงสาวแซ่หลี่ เขาได้รับหนึ่งทัพพีเต็มซึ่งเกือบจะเต็มถ้วยใบเล็กในมือเขาเลย

“ศีลมหาสนิทวันนี้ เป็นงาดำกวน” เธอพูดตามปกติ

“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน” ซางเจี้ยนเย่ากล่าวตอบอย่างจริงใจ

เหรินเจี๋ยที่แจกศีลอยู่นั้นกระทำในนามของตุลากรชะตาแห่ง “ผู้ครองกาล” ดังนั้นคำว่า “ท่าน” จึงหมายถึงตุลากรชะตา ไม่ใช่เหรินเจี๋ย

หญิงสาวแซ่หลี่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของซางเจี้ยนเย่า จึงถามด้วยรอยยิ้ม

“ซาบซึ้งไหม?”

“ซาบซึ้งครับ” ซางเจี้ยนเย่าถือถ้วยไว้มือหนึ่ง ยกมืออีกข้างขึ้นมาเช็ดมุมปาก

เหรินเจี๋ยกับหญิงสาวแซ่หลี่ไม่ได้พูดอะไรอีก พวกเขากลับไปที่เตียงแล้วแบ่งงาดำกวนที่เหลือระหว่างกัน จากนั้นก้มศีรษะแล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน”

ทุกคนส่งเสียงเป็นการตอบรับแล้วเริ่มเพลิดเพลินกับศีลมหาสนิท

ศีลมหาสนิทนั้นถูกเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้านานแล้ว มันเย็นไปแล้วแต่ก็ไม่ได้มีผลต่อรสชาติที่เต็มไปด้วยความหอมหวานและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของงา

หลังจากที่ซางเจี้ยนเย่าค่อยๆ กัดอย่างระวัง เขาก็หยุดชั่วขณะแล้วก็ตักงาดำเข้าปากต่อเนื่องไม่หยุด

แก๊ก แก๊ก แก๊ก

เขากินจนเกลี้ยงไม่มีเศษงากวนเหลือติดก้นชามแม้แต่น้อย

เมื่อกินเสร็จก็มองไปรอบๆ พลางใช้หลังมือเช็ดปาก

หลังจากศีลมหาสนิทสิ้นสุดลง ทุกคนต่างสรรเสริญเทพีตุลากรชะตาผู้ดูแลเดือนสิบสองอีกครั้งอย่างพร้อมเพรียงและต่อแถวเพื่อส่งคืนอุปกรณ์ทานอาหารให้กับหญิงสาวแซ่หลี่และเหรินเจี๋ย

เมื่อมาถึงซางเจี้ยนเย่า หญิงสาวแซ่หลี่ถามด้วยรอยยิ้ม

“มาร่วมชุมนุมครั้งแรก คิดว่าเป็นไงบ้าง?”

ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง

“อร่อยมากครับ”

หญิงสาวแซ่หลี่ถึงกับใบหน้าแข็งทื่อ ถามต่อว่า

“มีคำแนะนำอะไรไหม?

“ไม่ต้องกลัว เมื่อมาเข้าร่วมคณะธรรมแล้ว พวกเราก็ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่มีเรื่องไหนที่คุยกับคนในครอบครัวไม่ได้”

ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนพูด

“เพิ่มศีลให้เยอะขึ้นอีกหน่อย”

“มีอะไรอีกไหม?” หญิงสาวแซ่หลี่ยิ้มอย่างฝืนๆ

ดวงตาของซางเจี้ยนเย่าขยับวูบ

“ต้องแปรงฟันก่อนมา”

หญิงสาวแซ่หลี่ถึงกับสำลัก

“ตอนนี้ทุกคนกลับกันได้แล้ว ส่วนซางเจี้ยนเย่าอยู่ก่อน ผู้ชี้นำมีอะไรอยากคุยด้วยสักหน่อย”

เฉินตู้กับคนอื่นๆ ทยอยเดินออกไปทีละคน หญิงสาวแซ่หลี่กับสามียกอุปกรณ์ทานอาหารเข้าไปในห้อง

เหรินเจี๋ยเดินไปหาซางเจี้ยนเย่า ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วพูดกับเขา

“เธอเพิ่งเข้าร่วมคณะธรรม ต้องรีบขวนขวายหาความรู้สำหรับสวดภาวนา

“ไม่ต้องกังวล นี่ง่ายมาก เทพีตุลากรชะตาของพวกเราทรงเป็นเทพแท้จริงผู้ควบคุมกาลเวลา พระองค์ไม่ใส่ใจเรื่องหยุมหยิม ไม่มีพิธีรีตรองซับซ้อน

ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าแสดงถึงว่าเขากำลังฟัง

เหรินเจี๋ยพูดช้าลง

“เราไม่ได้กำหนดเวลาสวดมนต์ตายตัว แต่มักเลือกช่วงเวลาตื่นนอนตอนเช้า เราขอบคุณเทพีตุลากรชะตาที่ให้เรายังมีชีวิตอยู่

“เราให้ความสำคัญต่อชีวิตกำเนิดใหม่และการจากไปของผู้ตาย ดังนั้นพิธีกรรมอย่างเป็นทางการหรือเกี่ยวเนื่องกับศาสนพิธีซึ่งปกติจะเป็นการอรรถา มักจัดเมื่อมีทารกแรกเกิดอายุครบเดือนหรือฝังศพผู้วายชนม์ เวลาจึงไม่ได้กำหนดตายตัว

“จะมีพิธีใหญ่ในวันแรกของเดือนสิบสองเพื่อต้อนรับการมาถึงของเทพีตุลากรชะตาของพวกเรา และในวันสุดท้ายของเดือนสิบสองก็เช่นกัน จะมีพิธีใหญ่เพื่อสวดภาวนาที่พระองค์เปิดประตูแห่งโลกใหม่

“เธอรู้วิธีการสดุดีแล้ว มันคือการทำท่าเหมือนอุ้มทารกเอาไว้แล้วเขย่าเบาๆ ประโยคที่เกี่ยวข้องจะแบ่งออกเป็นสามหมวด เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับความตายและการจากไป จะพูดว่า ‘ปัจฉิมกาลแห่งตุลากรชะตา’ เมื่อพูดถึงความสูงส่งของชีวิตหรือสดุดีพระคุณของพระองค์ใช้ ‘สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน’ เมื่อเกี่ยวกับการเกิดใหม่ให้พูดว่า ‘เกิดใหม่ดั่งตะวัน’ หรือ ‘ชีพนั้นสำคัญสุด’

“โดยพื้นฐานแล้วก็มีแค่นี้ ส่วนเรื่องศีลมหาสนิทนั้นแต่ละครั้งก็จะแตกต่างกันไป อาจเป็นงาดำกวน ไม่ก็นม น้ำผลไม้ นมถั่วเหลือง ซุปเนื้อ ซุปผัก หรือโยเกิร์ต ฮ่า ฮ่า รู้ไหมว่าพวกนี้มีอะไรเหมือนกัน?”

ซางเจี้ยนเย่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ

“ความอร่อย”

“…” เหรินเจี๋ยพยายามรักษารอยยิ้มเอาไว้ “ทั้งหมดเป็นอาหารเหลวหรือใกล้เคียง อาหารเหลวเป็นอาหารหลักของทารกแรกเกิดและผู้ที่ใกล้เสียชีวิต”

ก่อนที่ซางเจี้ยนเย่าจะพูดอะไร เหรินเจี๋ยก็ชี้ไปที่ประตู

“เอาล่ะ เธอกลับได้แล้ว”

ซางเจี้ยนเย่าเหลียวมองแต่ไม่ได้ขยับก้าวเท้าออกไป เขากลับถามขึ้น

“น้าเหริน ผู้ครองกาลทั้งหมดมีกี่พระองค์เหรอครับ?”

“ตามความเข้าใจของคนทั่วไปเมื่อคิดถึงคำจำกัดความของนาม ‘ผู้ครองกาล’ ก็มักจะคิดว่ามี 12 พระองค์ แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่” เหรินเจี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีผู้ครองกาลทั้งหมด 13 พระองค์ อีกหนึ่งพระองค์คือตัวแทนแห่งปีอธิกมาส ฮ่า ฮ่า แต่ถ้าปีไหนไม่มีอธิกมาส พระองค์ก็คือตัวแทนของตลอดทั้งปี”

“พระนามของพระองค์คือ?” ซางเจี้ยนเย่าถาม

เหรินเจี๋ยสั่นศีรษะ “น้าก็ไม่รู้หรอก พวกเราศรัทธาในเทพีตุลากรชะตา ไม่จำเป็นต้องรู้จักผู้ครองกาลองค์อื่นๆ”

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ถามอะไรเพิ่มอีก เขากลับหลังหันแล้วออกจากห้อง 35 เขต A

ด้วยความช่วยเหลือของไฟฉาย เขาก็เดินลัดเลาะผ่านถนนจนกลับมายังห้อง 196 ในเขต B ทุกครั้งที่มาถึงสี่แยกเขาก็ทำตามเฉินตู้ด้วยการปิดไฟฉายและเดินชิดกำแพง

เมื่อกลับถึงบ้าน ซางเจี้ยนเย่าเดินไปยังอ่างล้างมือแล้วหยิบยาสีฟันที่หลอดบางจนเหมือนกับชั้นบางๆ หลังจากที่พยายามอย่างยิ่งยวด ในที่สุดเขาสามารถรีดเอายาสีฟันออกมาได้เล็กน้อยป้ายบนแปรงสีฟันที่เหลือขนแปรงเป็นหย่อมๆ

เมื่อแปรงฟันและล้างหน้าแล้ว ซางเจี้ยนเย่าเห็นว่าไฟถนนบนเพดานยังคงมืดอยู่ จึงนั่งลงที่โต๊ะไม้ เอนพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลง

เขายกมือขึ้นมานวดขมับทั้งสองข้างก่อนลดมือลงอีกครั้ง

* * * * *

ร่างซางเจี้ยนเย่าปรากฏขึ้นในโถงกว้างที่เต็มไปด้วย “ดวงดารา”

แรกสุดเขามองไปที่กำแพงโลหะเยียบเย็นสีดำ ก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้า

จุดสว่างนับไม่ถ้วนเหมือนกับดวงดาวที่เขียนไว้ในตำราเรียน พวกมันจับกลุ่มรวมเป็นระบบสุริยะอันแล้วอันเล่า หลากหลายระบบสุริยะรวมตัวกันเป็น “ดาราจักร” มากมาย

มีขอบเขตระหว่างแต่ละ “ดาราจักร” แต่เห็นไม่ชัดนัก

ซางเจี้ยนเย่าเคยนับจำนวน “ดาราจักร” เหล่านี้แล้ว คราวนี้เขาก็เริ่มนับใหม่อีกครั้ง

“หนึ่ง สอง สาม… สิบเอ็ด สิบสอง สิบสาม

“สิบสาม…”

เขาเงียบเสียงลง ขณะเดียวกันร่างก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากห้องที่เต็มไปด้วยดวงดาว

* * * * *

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ซางเจี้ยนเย่าก็เห็นพื้นที่นอกหน้าต่างสว่างโดยฉับพลันทันที

ไฟถนนทั้งหมดสว่างขึ้นในเวลาเดียวกัน ยามเช้าได้มาเยือนอาคารใต้ดินแห่งนี้แล้ว

ซางเจี้ยนเย่าที่ยังคงสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายตัวหนาสีเขียวแก่ หยิบเอากล่องอาหารพลาสติกเดินออกจากห้องมุ่งหน้าไปยังเขต C

เป้าหมายคือ “ตลาดโภคภัณฑ์”

ระหว่างทาง ซางเจี้ยนเย่าเจอกับหลงเยว่หงที่พักอยู่แถวนี้ เห็นได้ว่าหลงเยว่หงตื่นแต่เช้าและไม่จำเป็นต้องไปต่อแถวรอคิวใช้ห้องน้ำสาธารณะ

“ผลการจัดสรรตำแหน่งงานจะออกวันนี้…” หลงเยว่หงตั้งใจรอพบซางเจี้ยนเย่ากลางทางเพื่อหาเพื่อนแบ่งปันความเครียด

“ใช่” ซางเจี้ยนเย่ามองไปข้างหน้าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังปลอบทารกที่ร้องไห้เบาๆ อยู่ที่หน้าประตูห้อง

สีหน้าเขาเปลี่ยนในทันทีทันใดราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่แต่ก็เจือด้วยร่องรอยแห่งความสับสน

หลงเยว่หงมองเขาแล้วถามในระหว่างที่เดินไปข้างหน้าด้วยกัน

“เป็นอะไรเหรอ?

“เมื่อคืนฝันร้ายหรือไง?”

ซางเจี้ยนเย่านิ่งไปสองวินาทีก่อนจะตอบ

“สงสัยเรื่องชีวิตมนุษย์”


[หมายเหตุ]

ศีลมหาสนิท ต้นฉบับใช้คำว่า 圣餐 ซึ่งหมายถึงพิธีศีลมหาสนิทของชาวคริสต์ ผู้รับศีลจะกินขนมปังที่ได้รับจากบาทหลวง ที่เรียกว่า ‘แผ่นปังศักดิ์สิทธิ์’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนพระวรกายของพระเยซู ในนิยายสมมติพิธีกรรมรับศีลนี้มาดัดแปลง

อธิกมาส คือเดือนที่เพิ่มขึ้นในปีจันทรคติ ปกติในรอบ 1 ปี จะมี 12 เดือน แต่เนื่องจากใน 1 เดือนนั้น วันทางจันทรคติจะมีน้อยกว่าวันทางสุริยคติ (ทางจันทรคติ หนึ่งเดือนมี 29-30 วัน หนึ่งปีมี 354 วัน ส่วนทางสุริยคติหนึ่งเดือนมี 30-31 วัน หนึ่งปีมี 365 วัน)

ดังนั้นทุก 3 ปีโดยประมาณ จึงต้องมีการทดเดือนเข้าไปเพื่อให้วันทางจันทรคติกับสุริยคติตรงกัน ซึ่งปฏิทินจันทรคติของไทยจะเพิ่มเดือน 8 ซ้ำเป็น 2 ครั้ง (เพื่อให้การเข้าพรรษาของพระสงฆ์ตรงกับช่วงฤดูฝน) แต่ปฏิทินจันทรคติของทางจีนจะเพิ่มเดือนที่มีวันเพ็ญสองครั้ง ซึ่งมีโอกาสเกิดได้กับทุกเดือน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด