ตอนที่แล้วตอนที่ 6 : พบเจอในยามวิกาล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 8 : ศีลมหาสนิท

ตอนที่ 7 : อรรถา


เรื่อง : รัตติกาลไม่สิ้นแสง (长夜余火 Embers Ad Infinitum)

ตอนที่ 7 : อรรถา

* * * * * * * * * * * * * * *

เฉินตู้ยิ้มพลางพูด

“งั้นก็ไปด้วยกันเลย คอยหลบ…”

เขาไม่ได้พูดจนจบประโยค สายตามองเพดาน เพื่อสื่อให้ซางเจี้ยนเย่าคอยระวัง

“เขตที่พักอาศัย” นั้นมีกล้องวงจรปิดติดตั้งเอาไว้ทุกชั้นแต่ก็ไม่มากนัก มีเฉพาะทางแยกหลักและพื้นที่สาธารณะในร่มเท่านั้น

เมื่อเทียบกันแล้ว ใน “เขตนิเวศน์ภายใน” และ “เขตโรงงาน” จะมีกล้องวงจรปิดเยอะกว่า แต่ก็ยังคงเทียบไม่ได้กับ “เขตค้นคว้าวิจัย” และ “เขตการจัดการ”

ซางเจี้ยนเย่ามองตามสายตาของเฉินตู้ไปยังสี่แยกเบื้องหน้า แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“มันอาจไม่ได้เปิดไว้ก็ได้”

“นั่นก็จริง” เฉินตู้เห็นด้วยกับซางเจี้ยนเย่า

นี่เพราะเหตุการณ์แบบนี้เป็นเรื่องปกติในบริษัท บางครั้งบางคราวก็เคยมีการเปิดเผยว่าอุปกรณ์บางจุดชำรุดจนไม่สามารถใช้การได้ บางทีก็แค่ติดตั้งไว้เพื่อให้รู้ว่ามีแค่นั้น

ว่ากันว่านี่เกี่ยวข้องกับความโกลาหลวุ่นวายเมื่อตอนที่โลกเก่าถูกทำลาย ผู้รอดชีวิตต่างรีบถอยหนีเข้าไปในอาคารใต้ดิน

ยิ่งไปกว่านั้น ปีปฏิทินใหม่ก็ผ่านมาตั้ง 46 ปีแล้ว เป็นธรรมดาที่อุปกรณ์บางตัวจะชำรุด สายการผลิตที่เกี่ยวข้องไม่อาจสร้างขึ้นทดแทนเนื่องเพราะขาดแคลนวัตถุดิบ เทคโนโลยีสูญหาย หรือขาดข้อมูลความรู้ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะหามาเปลี่ยนหรือซ่อมแซม

“แต่ยังไงก็ต้องระวังไว้ก่อนล่ะ บริษัทเข้มงวดเรื่องเกี่ยวกับศาสนามาก” เฉินตู้เตือนแล้วเดินไปข้างหน้าพร้อมไฟฉาย

เมื่อมาถึงสี่แยก เขาดับไฟแล้วขยับไปชิดกำแพงจากนั้นก็เลี้ยวขวา

ซางเจี้ยนเย่าเดินตามเขาไป หันมองดูกล้องวงจรปิดบนเพดานของสี่แยก

มีจุดแดงกะพริบช้าๆ

ซางเจี้ยนเย่ามองดูจุดสีแดงแล้วก็ยกมือขึ้นมาบีบแก้มทั้งสองข้างและดึงมุมปากขึ้น

เขาทำหน้าหลอกผี

จากนั้นเขาก็ลูบกล้ามเนื้อใบหน้าที่โดนไฟฉายส่อง แล้วเลียนแบบท่าทางของเฉินตู้ ขยับชิดกำแพง

หลังจากเดินไปได้สักพักผ่านหลายแยกหลายเลี้ยว เฉินตู้ก็มาหยุดอยู่หน้าประตูห้อง 35 เขต A

เขายกมือซ้ายขึ้นมาแล้วเคาะลงไปสามครั้ง

“เกิดใหม่ดั่งตะวัน” มีเสียงดัดให้ทุ้มต่ำดังออกมาจากห้อง

เฉินตู้ยื่นหัวไปข้างหน้าแล้วตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำเช่นกัน

“ชีพนั้นสำคัญสุด”

เสียงดังเอี๊ยดขณะที่ประตูเปิดออก แสงเหลืองสลัวลอดออกมาก

“นี่คือ?” หญิงที่เปิดประตูเห็นซางเจี้ยนเย่าที่ด้านหลังเฉินตู้

เธออยู่ในวัยสามสิบและเห็นได้อย่างชัดเจนว่าได้รับการดัดแปลงพันธุกรรม คิ้วสีดำตั้งตรง จมูกโด่ง หางตาชี้เฉียงขึ้น เธอทั้งสวยและมีเอกลักษณ์

ซางเจี้ยนเย่าก้าวออกไปข้างหน้าแล้วพูดอย่างจริงใจ

“ผมเพิ่งมาครั้งแรก

“ลุงเฉินพาผมมาครับ”

คิ้วที่ขมวดมุ่นของหญิงสาวผู้นั้นผ่อนคลายลง เธอพูดอย่างใคร่ครวญ

“งั้นก็เป็นสหายธรรมใหม่สินะ”

เธอเหลียวซ้ายแลขวาก่อนถอยหลบไปด้านข้าง

“รีบเข้ามา อย่าให้ใครเห็น”

เมื่อเฉินตู้เห็นผู้หญิงคนนี้จำซางเจี้ยนเย่าได้ เขาก็ไม่ได้สงสัยอะไรอีก เขาเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับดับไฟฉาย

ซางเจี้ยนเย่าเดินตามหลังเข้าไปแล้วมองสำรวจรอบๆ เพื่อดูสถานการณ์ภายในห้อง

ห้องนี้มีขนาดใหญ่กว่าห้องที่เขาพักอยู่มาก ด้านในสุดฝั่งขวามีประตูอยู่แสดงว่ายังมีห้องนอนอยู่ข้างในสุด ไม่ก็เป็นห้องน้ำ หรือห้องครัวเล็กๆ

นี่ทำให้ซางเจี้ยนเย่านึกถึงบ้านเก่าของเขา หมายความว่าเจ้าของห้องนี้แต่งงานแล้วและมีระดับไม่ต่ำกว่า D4 ไม่ก็คนใดคนหนึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มระดับ D7

ห้องข้างนอกกว้าง 2 เมตรครึ่ง ยาวเกือบ 5 เมตร ผนังด้านในสุดมีตู้เสื้อผ้าและตู้เก็บของ เฟอร์นิเจอร์ทั้งสองชิ้นแยกจากกันโดยมีเตียงคู่คั่นไว้เป็นแนวขวาง ปลายเตียงเป็นทางเดินไปสู่ห้องนอนด้านใน

ถัดจากเตียงหลังใหญ่คือห้องนั่งเล่นขนาดย่อมที่ประกอบไปด้วยเก้าอี้มีพนัก ม้านั่ง ตั่งเตี้ย โต๊ะกาแฟ โต๊ะทำงาน และโซฟาผ้า

ตอนนี้มีเทียนสองเล่มจุดไว้บนโต๊ะกาแฟทำให้เกิดแสงสีเหลืองสลัว มีหลายคนนั่งล้อมรอบอยู่ ทั้งชายหญิงเยาว์ชรา

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้นับคน แต่ดูจากความคับคั่งแล้วก็รู้สึกว่าไม่น่าจะต่ำกว่าสิบคน

“ซางน้อย มาลงทะเบียนก่อน” หญิงคนที่เปิดประตูนำสมุดปกอ่อนออกมา

ซางเจี้ยนเย่าหยิบปากกาแล้วเขียนชื่อลงในหน้าว่างๆ

“คุณรู้จักผมด้วยเหรอครับ?” เขามีหน้าตาสงสัย

หญิงคนนั้นยิ้มแล้วพูดตอบ

“ตอนที่พ่อแม่เธอยังอยู่ที่นี่ พวกเราเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน

“แต่เธอคงจำฉันไม่ได้สินะ เรียกฉันว่าน้าหลี่ก็ได้”

“ครับ น้าหลี่” ซางเจี้ยนเย่าไม่เกรงใจอีกต่อไป

“ดีแล้ว รีบนั่งลงเถอะ ผู้ชี้นำกำลังจะเริ่มอรรถาแล้ว” หญิงสาวแซ่หลี่ชี้ไปยังม้านั่งที่ยังว่างอยู่

“แล้วน้าจะไปนั่งที่ไหน?” ซางเจี้ยนเย่าถามอย่างสุภาพ

“น้านั่งที่เตียงก็ได้” หญิงสาวแซ่หลี่ตอบด้วยรอยยิ้ม

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ถามอะไรอีก เขาเดินไปด้านข้างสองสามก้าวแล้วนั่งลง

ราวสองสามนาทีหลังจากนั้น ประตูที่อยู่ด้านในสุดของเตียงก็เปิดออก มีร่างหนึ่งเดินออกมา

เงาร่างนั้นไม่ได้แปลกหน้าสำหรับซางเจี้ยนเย่า นั่นคือน้าเหริน คนที่เขาเพิ่งเจอกันที่ “ศูนย์กิจกรรม” เมื่อตอนเย็น เธอเป็นพนักงานระดับ D3 “คณะกรรมการยุทธศาสตร์” ของบริษัท

ตอนนี้เหรินเจี๋ยยังคงสวมเสื้อใยสังเคราะห์เช่นเดิม แต่เปลี่ยนเป็นกางเกงขายาวสีเทา บนใบหน้าอันสวยงามนั้นมีริ้วรอยความร่วงโรย สีหน้าดูศักดิ์สิทธิ์และสง่างาม

เธอเดินวนระหว่างเตียงหลังใหญ่ ตู้เสื้อผ้า และตู้เก็บของ กวาดสายตามองทุกคนรอบๆ

“ซางน้อย?” เธอมองเห็นซางเจี้ยนเย่าที่นั่งอยู่ทันที

ซางเจี้ยนเย่าลุกขึ้นยืน ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วพูดทักทาย

“น้าเหริน ผมเพิ่งลงทะเบียน

“ลุงเฉินพาผมมา”

ดวงตาของเหรินเจี๋ยวูบไหวราวกับครุ่นคิดบางอย่าง แล้วก็ยิ้มออกมา

“งั้นเธอก็ผ่านการตรวจสอบเรียบร้อยแล้วสินะ”

“นั่งลงเถอะ”

เมื่อซางเจี้ยนเย่านั่งลงอีกครั้ง เธอมองทุกคนแล้วเอ่ยขึ้น

“เนื่องจากมีสหายธรรมใหม่มาเข้าร่วม งั้นฉันขอแนะนำคณะธรรมของพวกเราอย่างคร่าวๆ ก่อนแล้วกัน”

แปะ แปะ แปะ ซางเจี้ยนเย่าตบมืออย่างกระตือรือร้น

เฉินตู้กับคนอื่นๆ หันมามองเขาแบบอึ้งๆ

เหรินเจี๋ยซึ่งเคยได้ยินคนพูดถึงบุคลิกที่ค่อนข้างแปลกแยกของเขามาก่อนแล้ว หลังจากอึ้งไปชั่วอึดใจเธอก็หัวเราะขึ้นมา

“ไม่ต้องทำแบบนี้หรอก นี่ไม่ใช่การประชุมในบริษัท”

เธอหยุดไปสองวินาที หลังจากซางเจี้ยนเย่าหยุด เธอก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“พวกเราทุกคนที่นี่ล้วนไม่เคยได้ออกไปนอกบริษัท ไม่เคยย่างเหยียบบนพื้นผิว

“พวกเรารู้จักแดนธุลีจากการกระจายเสียงของบริษัท ในหนังสือเรียน และคำอธิบายจากพนักงานของ ‘ฝ่ายความมั่นคง’ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ล้วนถูกคัดกรองเบื้องลึกไปแล้ว

“พวกเราไม่รู้ความเป็นจริงของแดนธุลี เช่นเดียวกับที่พวกเราไม่เคยมองเห็นท้องฟ้าของจริงว่าเป็นเช่นไร”

สายตาเธอกวาดไปรอบๆ แล้วหยุดลงที่ใบหน้าซางเจี้ยนเย่า

“เรารู้กันว่าหลังจากการทำลายล้างโลกเก่า หลังจากช่วงเวลาอันยาวนานแห่งความโกลาหลและความขัดแย้ง ในที่สุดมนุษย์ก็รื้อฟื้นสร้างกฎระเบียบขึ้นใหม่ในบางพื้นที่ได้สำเร็จและเริ่มต้นปีปฏิทินใหม่

“เรารู้ว่าเงามืดยังคงปกคลุมแดนธุลี ในหนังสือเรียนเขียนไว้ว่าผืนดินที่มีกฎระเบียบนั้นเปรียบดังเกาะที่อยู่ท่ามกลางท้องทะเลแห่งแผ่นดินอันสับสนวุ่นวาย ดินแดนไร้ผู้คน แดนรกร้างและภูเขามากมาย มลพิษ การกลายพันธุ์ ความอดอยาก เป็นดั่งคลื่นที่ถาโถมเข้าซัดลูกแล้วลูกเล่าไม่เคยจบสิ้น

“โรคร้ายแรงที่สุดก็คือโรคไร้ใจ ซึ่งจะเปลี่ยนให้เรากลายเป็นสัตว์ร้ายที่เขียนไว้ในหนังสือ จวบจนบัดนี้เรายังคงไม่อาจเข้าใจสาเหตุของโรคและการแพร่เชื้อ คนรอบข้างหรือแม้แต่ตัวเราเองอยู่ดีๆ วันหนึ่งเมื่อตื่นขึ้นมาก็อาจกลายเป็น ‘สัตว์ร้าย’ ไม่สามารถติดต่อสื่อสารได้ เหลือเพียงแค่สัญชาตญาณการล่าเท่านั้น”

เหรินเจี๋ยสูดหายใจยาวแล้วพูดต่อ

“นี่คือสิ่งที่เรารู้ แล้วสิ่งที่เราไม่รู้ล่ะ มันคืออะไร?

“ก็คือทำไมโลกเก่าถูกทำลายลง ทำไมถึงมีการจัดระเบียบขึ้นมาใหม่

“บนแดนธุลีมีข่าวลือมากมายที่แพร่สะพัดออกไปว่า

“การกระทำบางอย่างของโลกเก่าทำให้ทวยเทพพิโรธ ดังนั้นจึงถูกทำลายโดยพระองค์ ผู้รอดชีวิตที่ผ่านการทดสอบจะได้รับความช่วยเหลือจากพวกท่าน

“ข่าวลือนี้มีทั้งเรื่องจริงและเรื่องเท็จ

“เรื่องจริงก็คือมีทวยเทพในโลกนี้จริง พวกท่านร่วมกันควบคุมเวลาและแยกกันจัดการแต่ละเดือน ดังนั้นพวกพระองค์จึงได้รับการยกย่องและขนานนามว่า ‘ผู้ครองกาล’ มีบางคนเรียกพวกท่านว่า ‘นักบุญ’ ‘วัยเทพ’ ‘กาลเทพ’ ‘ผู้โปรดช่วย’ ‘จิตรกรแห่งอดีต’ ‘เจ้าแห่งชีวิต’

“เรื่องเท็จก็คือ โลกเก่าไม่ได้ถูกทำลายเพราะความพิโรธแห่ง ‘ผู้ครองกาล’ แต่เกิดจากผลที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงของความก้าวหน้าทางวิทยาการ

“ชีวิตนั้นสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ แต่ถึงที่สุดแล้วก็ล่วงลับไป โลกนี้ก็เช่นกัน ดังเช่นขวบปีที่มาจนถึงจุดสิ้นสุดเพื่อเริ่มต้นปีใหม่

“คณะธรรมของเรามีชื่อว่า ‘พิธีกรรมแห่งชีวิต’ พวกเราเชื่อในความเลิศล้ำขององค์เทพี ‘ตุลากรชะตา’ แห่ง ‘ผู้ครองกาล’ ผู้โอบอุ้มเดือนสิบสอง พระองค์คือสิ้นปี และก็ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งการมาถึงของปีใหม่ พระองค์เป็นผู้ยุติโลกเก่าและเป็นผู้สถาปนาโลกใหม่

เมื่อเหรินเจี๋ยพูดมาถึงตรงนี้ นอกจากซางเจี้ยนเย่าแล้วทุกคนต่างก็ยื่นมือออกมาราวกับกำลังอุ้มเด็กแล้วเขย่าเบาๆ

“ปัจฉิมกาลแห่งตุลากรชะตา”

เสียงทุ้มต่ำแต่ชัดเจนของพวกเขาผสานรวมเข้าด้วยกันดังก้องภายในห้อง

เหรินเจี๋ยมองซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดต่อ

“โลกใหม่นั้นที่จริงแล้วยังมาไม่ถึง ตอนนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการทดสอบมวลเวไนยของทวยเทพ มีเพียงผู้ศรัทธาแห่งองค์ตุลากรชะตาที่เชื่อมั่นในพระองค์ ด้วยพิธีกรรมอุทิศตนจึงจะสามารถเข้าสู่โลกใหม่ หลุดพ้นจากวัฏฏะแห่งขวบปี ได้รับชีวิตนิรันดร์ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป”

“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน!” ผู้ชุมนุมโอบแขนเขย่าอีกครั้งและพูดด้วยเสียงต่ำ

ซางเจี้ยนเย่าเลียนแบบท่าทางของพวกเขา

“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน”

เหรินเจี๋ยพยักหน้าพอใจแล้วเอ่ยขึ้น

“เอาล่ะ มาเริ่มอรรถาอย่างเป็นทางการกันเถอะ

“คณะพิธีกรรมแห่งชีวิตของพวกเรานั้นบูชาชีวิตและเคารพความตาย ดังนั้นเราจึงให้คุณค่ากับชีวิตกำเนิดใหม่และพิธีศพ

“เนื้อหาหลักในวันนี้เราจะสนทนาเกี่ยวกับชีวิตกำเนิดใหม่”

ซางเจี้ยนเย่านั่งตัวตรงตั้งใจฟังเช่นเดียวกับคนรอบข้าง

เสียงของเหรินเจี๋ยค่อยๆ อ่อนลงและสีหน้าฉายความศักดิ์สิทธิ์

“เราควรให้ทารกนอนหงาย

“เราควรให้ทารกพัฒนานิสัยเล่นในยามกลางวันและนอนหลับในยามกลางคืน

“เราควรฮัมเพลงให้ทารกฟังเมื่อเขาหลับ

“เราควรแยกแยะเสียงร้องของทารกอย่างระวัง

“สั้นแต่ทุ้ม สูงบ้างต่ำบ้าง หมายถึงหิว ร้องรุนแรงคือโกรธ จู่ๆ กรีดร้องเสียงดังและแหลมก่อนจะหยุดไปนานๆ แล้วเปลี่ยนเป็นเบาลง โศกเศร้า ครวญคราง คือเจ็บปวด…

“เราควรตบหลังทารกเบาๆ ให้เรอลมออกจากท้อง…

“เราควรประคองท้ายทอยไว้เมื่อยามอุ้ม…

“เราต้องให้นมลูกด้วยน้ำนมมารดา…”

ดวงตาซางเจี้ยนเย่าค่อยๆ หรี่ปรือ ปากเผยอออกเล็กน้อย ไม่อาจหุบลง


[หมายเหตุ]

ผู้ครองกาล ต้นฉบับใช้คำว่า 执岁 ความหมายว่า ‘ผู้ปกครองแห่งกาลเวลา’

เดือนสิบสอง ภาษาจีนเรียกเดือนมกราคมถึงธันวาคมว่าเดือนหนึ่งถึงเดือนสิบสอง แต่ก็เรียกเดือนทางจันทรคติจีนว่าเดือนหนึ่งถึงเดือนสิบสองเช่นเดียวกัน เดือนในเรื่องนี้มีการพูดถึงอธิกมาส เลยคิดว่าน่าจะเป็นเดือนทางจันทรคติ จึงแปลเป็นเดือนสิบสองแทนเดือนธันวาคม

ตุลากรชะตา ต้นฉบับใช้คำว่า 司命 แปลได้ว่า ‘ผู้ตัดสินชะตาชีวิต’

ปัจฉิมกาลแห่งตุลากรชะตา ต้นฉบับใช้คำว่า ‘终将归于司命’ แปลได้ว่า ‘ความสิ้นสุดนั้นเป็นของผู้ตัดสินชะตาชีวิต’

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด