17.ซื้อของเข้าบ้าน
เมื่อทอดตามองม้วนตำราไม้ไผ่ ก็คล้ายได้เห็นใบหน้าอันมีความหวังของกู้หรูเฟิง สุดท้ายก็ทำใจแข็ง ล้วงถุงใส่เงินออกมา นี่คือเงินก้อนสุดท้ายแล้ว
เจ้าของร้านหนังสือประหลาดใจเล็กน้อย เขาจึงเอาม้วนตำรานั่นยื่นให้นางทันที “เล่มนี้กำลังเป็นที่นิยมมากเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีชื่อเรียกว่าหลักพิชัยสงครามรณรัฐ[1] ทุกคนล้วนชอบเสาะหาอ่านกันทั้งนั้น เจ้าน่าเอาไปดูด้วยนะ”
แคว้นนี้ยังหล้าหลังอยู่ กระดาษเพิ่งมีการประดิษฐ์ขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่เนื่องจากการผลิตยังไม่แพร่หลาย รวมทั้งวัสดุที่ราคาแพง ตำราหรือหนังสือส่วนใหญ่จึงยังทำด้วยแท่งไม้ไผ่ มีผู้มั่งคั่งจำนวนเพียงหยิบมือที่มีกำลังหาซื้อกระดาษมาใช้ได้ ยามที่กู้หรูเฟิงยังมีฐานะอยู่นั้น เขาจึงซื้อกระดาษมาใช้วาดรูป
แม้หลิ่วเจินเคยเป็นแต่นักศึกษาแพทย์ ทว่าพอได้ยินชื่อตำรานี้ ก็ค่อนข้างคุ้นหูอยู่บ้าง พอดูเนื้อหาอีกที ก็นึกทบทวนอย่างละเอียด ไม่ใช่ปรัชญาหลักกฏหมายของหานเฟย[2]หรอกรึ ? ทว่าพอเห็นงานเขียนแล้ว ก็นึกถึงคนที่มีนามว่าต้านเย่วได้ ซ้ำยังมีการลงชื่อในรูปตัวอักษรจีนอย่างง่ายอีกด้วย
“เถ้าแก่ ท่านรู้จักคนที่ชื่อต้านเย่วนี่ไหม?”
เถ้าแก่ผู้นั้นส่ายหน้าเป็นเชิงว่าตนเองไม่รู้จัก กล่าวกันว่าคนที่มีนามว่าต้านเย่วนี้ เป็นคนลึกลับมาก เขาส่งตำราไปวางขายที่ร้านหนังสือในเมืองหลวงเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจขัดขวางชื่อเสียงที่ดังเป็นพลุแตกของเขาได้เลย ดังคำกล่าวว่า ทองย่อมส่องประกายอยู่เสมอ ฉันใดก็ฉันนั้น
หลิ่วเจินคิดใคร่ครวญอยู่เป็นนานสองนาน ในที่สุดจึงตัดสินใจปล่อยเลยตามเลย ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะคิดมาก มาให้ความสำคัญกับชีวิตเรียบง่ายในปัจจุบันดีกว่า อีกทั้งยามนี้กู้หรูเฟิงกำลังรอตนเองอยู่ด้วย
เมื่อกลัวว่าอีกฝ่ายจะรอนางนานเกินไป ในใจให้รู้สึกกังวลนัก หญิงสาวรีบเดินกลับอย่างเร็วรี่ ทว่าพอไปถึงสถานที่นัดหมายกันไว้ กลับไม่พบคนเลย หญิงสาวสอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ เป็นนาน จึงเห็นรถของกู้หรูเฟิงเคลื่อนมาหา อีกฝ่ายวิตกกังวลอยู่หน่อยๆ เอ่ยอย่างขออภัย “ข้าไปธุระนานไปหน่อยน่ะ”
หลิ่วเจินสั่นศีรษะรัว ๆ ตัวนางเองก็ไปซื้อม้วนตำราห่อกลับมาเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน แล้วก็แอบซ่อนไว้มิดชิด เอาไปวางไว้บนรถเกวียน เตรียมพร้อมกลับบ้าน หญิงสาวคิดว่าหลังจากนั้นค่อยมอบให้ชายหนุ่ม กะจะให้เขาประหลาดใจ
มิคาดว่ากู้หรูเฟิงยังไม่รีบกลับ เขากลับแบมือออกมา บนมือวางไว้ด้วยกล่องสีแดงเล็ก ๆ ทำด้วยไม้ ส่งกลิ่นหอมจรุงโชยมา ด้านบนกล่องแกะสลักเป็นลายดอกไม้เล็ก ๆ ดูน่ารักน่าทะนุถนอมยิ่ง
“ข้าแค่มองหาท่านไม่เจอเอง....”
ชั่วชีวิตของหลิ่วเจินนี้ หญิงสาวใช้เครื่องสำอางมานักต่อนัก ทว่ายามที่ได้รับเครื่องสำอางนี้ ความปลาบปลื้มยินดีตีตื้นขึ้นมาจนล้นอก หญิงสาวเอื้อมมือไปหยิบมา หอมมากหอมจริง ๆ ต่อให้ปิดฝาไว้ ก็ยังได้กลิ่นหอม นางส่งยิ้มให้ชายหนุ่ม “ท่านเลือกเป็นจริง ๆ ด้วย”
ชายหนุ่มตรึกตรองถ้อยคำของหญิงสาว บนใบหน้ากลับไม่ปรากฏความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทว่าใบหูกลับเริ่มมีสีแดงเรื่อ ๆ แผ่ลามให้เห็น “ข้าไม่เข้าใจที่เถ้าแก่ร้านคนนั้นแนะนำนักหรอก เขาบอกว่าเด็กสาว ๆล้วนชอบขี้ผึ้งบำรุงผิว ทาบนผิวหน้าให้หน้านุ่มลื่น ซ้ำยังมีกลิ่นหอมด้วย”
หลิ่วเจินนึกในใจเพียงว่า คนที่ทำอันใดไม่ถูกเช่นนี้ ยามนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ตนเองได้เสียพลังงานไปกับการเลือกของอย่างละเอียดละออแค่ไหน ทว่ากลับหลบเลี่ยงไม่พูดอะไรมาก
ดูเหมือนว่าหนุ่มน้อยที่ตรงไปตรงมา และไร้แผนการใด ๆเช่นนี้ ช่างมีเสน่ห์ดึงดูดใจจริง ๆ
“ของดี ๆ เช่นนี้ย่อมแพงมากแน่เลย” หญิงสาวนึกฉงนใจหน่อย ๆ เพราะยามนี้กู้หรูเฟิงต้องไม่มีเงินในมือแน่ แล้วเขาไปซื้อของชิ้นนี้มาได้อย่างไร?
กู้หรูเฟิงเอ่ยเรียบเรื่อย “ถึงข้าไม่มีเงินในมือ แต่ยังมีกระดาษซวนจื่ออยู่สองสามแผ่นมิใช่รึ? เมื่อขายไปแล้ว ก็รวยขึ้นทันทีเลย”
กระดาษซวนจื่อนั่นราคาแพงยิ่งนัก ยามที่หลบหนีเภทภัยมาในครานั้น เขายังเอาข้าวของมีค่าบางส่วนติดตัวมาด้วย ภายหลังช่วงนั้นได้ขายข้าวของแลกเปลี่ยนเป็นเงินมาใช้จ่ายอย่างไม่บันยะบันยัง จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาถึงได้ตระหนักว่า ฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ และของใช้ประจำวัน แท้จริงแล้วมีราคาค่างวดมากเพียงใด ด้วยการใช้เงินตามใจก่อนหน้าในอดีต ทำให้จ่ายออกไปจนไม่เหลือเก็บไว้เลย
***
[1]ยุครณรัฐ (จีนตัวย่อ: 战国; จีนตัวเต็ม: 戰國; พินอิน: Zhànguó; อังกฤษ: Warring States) หรือเรียกอีกชื่อนึงว่า "ยุคจ้าวกว๋อ" เป็นชื่อยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์จีนโบราณ ถัดจากยุควสันตสารท และสิ้นสุดลงเมื่อฉินฉื่อหฺวังตี้รวมแผ่นดินในปีที่ 221 ก่อนคริสตกาล เป็นผลให้รัฐต่าง ๆ ที่รบรากันได้รวมเป็นหนึ่ง คือ จักรวรรดิฉิน
ยุครณรัฐเริ่มขึ้นเมื่อใดนั้น นักวิชาการว่าไว้ต่างกัน ซึ่งมักตกในระหว่างปีที่ 481 ถึงปีที่ 403 ก่อนคริสตกาล แต่ซือหม่า เชียน นักประวัติศาสตร์ในราชวงศ์ฮั่น ว่า เริ่มเมื่อปีที่ 475 ก่อนคริสตกาล และข้อเขียนของซือหม่า เชียนนี้เป็นที่อ้างอิงกันมาก ส่วนชื่อ "รณรัฐ" นั้นเรียกตามชื่อหนังสือ "พิชัยสงครามรณรัฐ" (戰國策 Zhàn Guó Cè ?; Strategies of the Warring States)
[2] หานเฟย นักปรัชญนิตินิยมคนสำคัญ อยู่ในสมัยยุค รณรัฐ
เขาเห็นว่าธรรมชาติมนุษย์นั้นเห็นแก่ตัว จำเป็นต้องมีกฏหรือข้อบังคับไม่ให้เกิดการกระทำความชั่วอย่างเด็ดขาดผู้นำ รัฐต้องมีอำนาจเด็ดขาดในการปกครอง การกำหนดคุณและโทษต้องชัดเจน มีกฏหมายที่เคร่งครัด และทุกคนมีความเท่าเทียมกันในกฏหมาย ผู้คนพลเมือง ชาวไร่ ชาวนา ต้องเสียภาษีหรือหารายได้เข้ารัฐ ผู้นำของรัฐต้องแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงกำแหน่งต่างๆ ตามความสามารถมีความรับผิดชอบและอำนาจหน้าที่ที่ชัดเจนเพื่อแบ่งเบาภาระของ ผู้นำ