ตอนที่แล้วเรื่องสยองที่ 13 : สังขยาสีชมพู
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเรื่องสยองที่ 15 : งานศพ

เรื่องสยองที่ 14 : เพราะคนตายพูดไม่ได้


ภายในห้องพักของผู้ป่วย ร่างของชายวัยกลางคนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา เขารู้สึกว่าตัวเองหมดแรงแถมวูบบ่อยมากในช่วงนี้ ไม่รู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไรกันแน่ เท่าที่คุยกับหมอก็ทราบมาว่าร่างกายของเขามีอาการอ่อนเพลียเนื่องจากความเครียด มันก็จริงที่ว่าเขาเครียดเรื่องลูกสาวของตัวเองที่นอนเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่ แต่เขาเองก็มั่นใจว่าได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ และดูแลรักษาร่างกายของตัวเองเป็นอย่างดีเพื่อรอลูกสาวเขาฟื้น ไม่น่ามีอาการแบบนี้ขึ้นมาได้

นอนคิดอะไรไปเพลิน ๆ สักพัก ประตูห้องพักคนป่วยก็ถูกเปิดขึ้นมาพร้อมกับพยาบาลที่นำอาหารเช้ามาให้กับเขา เขาทักทายพยาบาล ก่อนพยาบาลจะช่วยปรับระดับเตียงให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะ หลังจากนั้นก็เข็นโต๊ะทานอาหารและของที่จำเป็นมาจัดเตรียมไว้ให้

เขานอนที่โรงพยาบาลมาได้สามสี่วันแล้วหลังจากทะเลาะกับภรรยาอย่างรุนแรงและล้มหมดสติไปที่พื้นหน้าบ้านของตัวเอง สุจิตรามาเยี่ยมเขาบ้างครั้งคราวและเขาก็ไล่ให้เธอกลับไป บอกตามตรงว่าเขาสุดจะทนกับนิสัยผู้หญิงคนนี้แล้ว ไม่อยากอยู่ด้วย อยากจะหย่าให้เร็วที่สุดทันทีที่ออกจากโรงพยาบาล เป็นห่วงก็แต่ยัยมิ้งค์ ลูกสาวอีกคนของเขาที่กลัวจะได้รับผลกระทบนี้ไปด้วย

“อาหารเช้าวันนี้เป็นข้าวต้มกุ้งนะคะ ผลไม้ แล้วก็นมค่ะ” พยาบาลสาวพูด ขณะเดียวกันกับประตูห้องก็เปิดขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับลูกสาวของเขาที่ปรากฏตัวขึ้น

“เดี๋ยวฉันดูแลคุณพ่อต่อเองค่ะคุณพยาบาล” มิ้งค์พูดพร้อมส่งยิ้มให้กับพยาบาล

“งั้นดิฉันไม่รบกวนแล้วนะคะ”

พูดจบพยาบาลสาวก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งไว้เพียงลูกสาวของคนป่วยกับคนป่วยให้อยู่กันสองคน

“วันนี้ไม่มีเรียนหรอลูก มาแต่เช้าเชียว” คนเป็นพ่อถามลูกสาวตัวเอง

“มิ้งค์มีเรียนบ่ายค่ะพ่อ เลยแวะมาเยี่ยมคุณพ่อก่อน แล้วนี่คุณแม่หายไปไหนคะ ทำไมไม่มาดูแลคุณพ่อ”

“พ่อให้เขากลับไปเองล่ะลูก พ่ออยู่คนเดียวได้ พยาบาลก็มี จริง ๆ หมอก็ไม่น่าให้พ่ออยู่ดูอาการอีก พ่อก็ไม่ได้เป็นอะไรอีกสักหน่อย” เขาพูดออกไป

“เชื่อคุณหมอเถอะค่ะ คุณพ่ออยู่ดูอาการอีกสองสามวัน”

คนเป็นพ่อพยักหน้ารับแล้วยิ้มให้ลูกสาวอย่างอ่อนโยน หลังจากนั้นก็ยันตัวขึ้นเพื่อให้ลูกสาวป้อนอาหารเช้าให้ตัวเองรับประทาน จริง ๆ เขาก็ไม่ได้ถึงขนาดไม่มีแรงจนทำอะไรเองไม่ได้ แต่การที่ได้มีลูกมาดูแล มันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งของคนเป็นพ่อเป็นแม่

ข้าวต้มกุ้งถูกตักป้อนเข้าปากของผู้เป็นพ่อไปเรื่อย ๆ พร้อมบทสนทนาของลูกสาวเขาที่เล่าเรื่องของตัวเองในรั้วมหาวิทยาลัยให้ฟัง ทั้งเรื่องเพื่อน และเรื่องชีวิตในมหาวิทยาลัย มีเสียงหัวเราะบ้างประปรายระหว่างมื้ออาหาร นอกจากน้ำที่เป็นความสุขของเขา ก็มีมิ้งค์อีกคนล่ะนะ ที่ทำให้เขามีความสุขได้

โดยที่เขาไม่รู้เลยสักนิด ว่าอาหารเช้าที่เขากำลังทานแต่ละคำ

มันทำให้เวลาที่เหลือบนโลกใบนี้ สั้นลงไปทุกที ...

ไม่นานข้าวต้มกุ้งก็หมดชาม วันนี้เขาเจริญอาหารผิดปกติเพราะลูกสาวของตัวเอง ทั้งสองคุยกันอีกสักพัก แต่อยู่ดี ๆ คนเป็นพ่อก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่หน้าอกข้างซ้ายขึ้นมา มันเจ็บปวดทรมานจนเขาต้องร้องออกมา เขาเริ่มไอออกมา รู้สึกคลื่นไส้อาเจียนอยากจะอ้วก แล้วของเหลวสีแดงก็ออกมาจากปากของเขา มิ้งค์ร้องออกมาอย่างตกใจกับอาการของพ่อตัวเองก่อนรีบกดเรียกพยาบาลทันที

“พ่อคะ พ่อ ! พ่อเป็นอะไร”

เด็กสาวเริ่มร้องไห้ขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้ยังปกติดีอยู่แท้ ๆ

ร่างของชายวัยกลางคนเริ่มชัก พยาบาลและหมอต่างกรูกันเข้ามาในห้อง เลือดเลอะไปทั่วเสื้อของผู้ป่วย ร่างทั้งร่างเริ่มสงบลงพร้อมกับเปลือกตาที่ปิดลงอย่างช้า ๆ แต่สายตากับเต็มไปด้วยห่วง

หมอเจ้าของคนไข้หันกลับมามองเด็กสาวที่ยืนน้ำตาไหลเป็นทางที่กำลังช็อกอยู่พร้อมกับคำพูดที่ทำให้ร่างทั้งร่างทรุดตัวลงไปที่พื้น

“หมอเสียใจด้วยครับ คนไข้เสียแล้ว”

หลังจากที่พี่น้ำฟื้นวันนั้น ผมก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับพี่น้ำฟัง และเป็นไปอย่างที่คาด พี่น้ำปรี๊ดแตกทันทีด้วยอารมณ์ที่โมโหจนไอ้คีย์กับไอ้ชาต้องรีบรั้งตัวเอาไว้ ไม่ให้ออกไปหาแม่เลี้ยงตัวเองในสภาพร่างของผม ผมขอให้พี่น้ำใจเย็นลงและเล่าเรื่องครอบครัวของตัวเองให้ฟังก่อน จะได้ช่วยกันแก้ปัญหาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อีกอย่างแม่เลี้ยงพี่น้ำเองก็เป็นคนมีวิชา ซึ่งถ้าผมไม่เคยผ่านเรื่องของไอ้คีย์กับไอ้ชามาก่อนก็คงไม่กังวลขนาดนี้หรอก ผมรู้ดีว่าคนที่เล่นคุณไสยมีวิชาแบบนี้มันน่ากลัวขนาดไหน

พี่น้ำเล่าเรื่องครอบครัวของตัวเองให้ฟังว่า ครอบครัวของเธออยู่กันอย่างมีความสุขมาโดยตลอด จนกระทั่งวันหนึ่ง วันที่ผู้หญิงคนนั้นโผล่เข้ามาในชีวิตพร้อมกับลูกสาวที่บอกว่าเป็นน้องสาวของเธอ แม่ของพี่น้ำเสียใจมากจนฆ่าตัวตาย พี่น้ำเองก็ตกใจมากและไม่เคยคิดมาก่อนว่าแม่ตัวเองจะทำแบบนั้น มันทำให้พี่น้ำทะเลาะกับพ่อครั้งใหญ่ในตอนนั้น

หลังจากแม่พี่น้ำเสีย แม่เลี้ยงพี่น้ำก็ได้จดทะเบียนกับพ่อของเธอเป็นสามีภรรยากันอย่างสมบูรณ์ นิสัยและธาตุแท้ก็ค่อย ๆ เผยออกมาทีละน้อยจนทำให้พ่อของเธอต่างสว่างขึ้นมา และมาขอโทษเธอที่ทำให้ครอบครัวเป็นแบบนี้ แต่เจ้าตัวก็ต้องทนอยู่ด้วยต่อไปเพราะลูกสาวอีกคน ซึ่งพี่น้ำเองก็ไม่ได้ชอบใจเท่าไร จะบอกว่าเป็นอคติส่วนตัวก็ว่าได้ ในที่สุด เธอก็ขอพ่อออกมาอยู่คอนโดคนเดียวเพื่อจะได้ไม่มีปากเสียงกับแม่เลี้ยงตัวเอง

“พี่ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเกลียดพี่จนถึงขนาดอยากจะฆ่าให้ตาย”

นั่นเป็นสิ่งที่พี่น้ำบอก เรื่องราวที่พี่น้ำเล่าก็เป็นแบบนั้น มันเลยทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมพี่น้ำถึงเสียใจมากขนาดนั้นตอนที่รู้ว่าพี่เอกไปมีคนอื่น ที่แท้เป็นเพราะเรื่องราวแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับครอบครัวเธอมาก่อนนี่เอง

ตอนนี้ก็ผ่านไปสามวันแล้วหลังจากที่เกิดเรื่องวันนั้น ผมเองก็หายตัวไปดูร่างของพี่น้ำเกือบทุกชั่วโมงแต่ดูเหมือนแม่เลี้ยงพี่น้ำจะไม่ได้เข้ามาอีก พี่น้ำเองก็พยายามใช้ชีวิตของผมต่อไปอย่างปกติ ที่เพิ่มขึ้นมาก็คือพยายามนั่งสมาธิหัดถอดจิตของตัวเองออกมาให้ได้ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่สำเร็จ แต่ผมก็บอกพี่น้ำว่าอยู่ในร่างของผมอาจจะปลอดภัยกว่า

“พี่น้ำเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผมทักพี่น้ำออกไปเมื่อสังเกตเห็นเจ้าตัวหน้าซีด ๆ ตอนนี้พวกเรากำลังนั่งเรียนอยู่ในห้องเลกเชอร์วิชาหนึ่ง

“พี่รู้สึกใจคอไม่ดีเลยอะอิฐ” พี่น้ำตอบกลับมา

“ยังไงครับ เหมือนมีอะไรเกิดขึ้นกับร่างพี่หรอ” ผมรีบถามด้วยความเป็นห่วง นี่เพิ่งหายตัวไปดูร่างเขาเมื่อสิบห้านาทีที่ผ่านมานี้เอง

“เปล่า อยู่ดี ๆ พี่ก็นึกถึงพ่อ พ่อพี่ยังมานอนเฝ้าพี่ทุกคืนอยู่ไหม” พี่น้ำถามผม

ผมเองก็ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลย แต่เท่าที่จำได้ ผมไม่เห็นพ่อพี่น้ำมานอนเฝ้าพี่น้ำได้สองสามวันแล้ว ตอนที่ผมเข้าไปเฝ้าร่างพี่น้ำ ซึ่งก็คิดว่าบางทีท่านอาจจะเหนื่อยเลยพักผ่อนอยู่ที่บ้านในบางวัน ซึ่งก็เป็นปกติ เพราะอาทิตย์หนึ่งท่านจะมานอนเฝ้าสี่ถึงห้าครั้งได้

“สองสามวันนี้ผมเข้าไปไม่เจอท่านนะครับ”

“พี่อยากไปหาพ่อ พี่คิดถึงเขา พอพี่รู้ว่ามันเป็นพวกเล่นของแบบนี้ พี่ไม่อยากให้พ่อพี่อยู่ใกล้เลย” พี่น้ำพูดด้วยสีหน้าเป็นกังวล

ผมเองก็เข้าใจ เป็นใครก็ต้องเป็นห่วงที่ปล่อยให้พ่อตัวเองนอนเตียงเดียวกับผู้หญิงแบบนั้น

“งั้นเย็นนี้เดี๋ยวให้ไอ้คีย์พาไปนะครับ” ผมบอกพี่น้ำไป

ช่วงเย็นของวัน ผมก็วานไอ้คีย์ขับรถพาพี่น้ำไปที่บ้านของตัวเองเพื่อไปพบพ่อ ส่วนไอ้ชาก็ตามมาด้วย เพราะเมื่อตอนเช้าติดรถมาเรียนด้วยกันพอดี ส่วนเรื่องเหตุผลที่มาเจอ ผมก็เตี้ยมกับพี่น้ำไว้บางส่วนแล้ว ว่าเข้ามาเยี่ยมเพราะเป็นคนพาลูกสาวของเขาไปเกิดอุบัติเหตุ อยากเข้ามาสอบถามอาการพี่น้ำและเข้ามาเยี่ยมพ่อพี่น้ำด้วยความเป็นห่วง

ใช้เวลาประมาณยี่สิบกว่านาที รถของไอ้คีย์ก็มาหยุดจอดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง แต่ผมคงเรียกว่าบ้านไม่ได้แล้วแบบนี้ นี่มันคฤหาสน์ชัด ๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเห็นที่นี่มาก่อน หมู่บ้านแถวนี้เป็นหมู่บ้านคนรวย ผมเคยขับรถผ่านและเห็นมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยคิดว่านี่มันคือบ้านของพี่น้ำ

“นี่พี่น้ำรวยขนาดไหนกันครับ ไม่เคยคิดเลยนะว่าบ้านพี่น้ำจะหลังนี้” ไอ้ชาพูดขึ้นมาอย่างตกใจปนทึ่งกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า พี่น้ำไม่ได้ตอบอะไรยิ้มขำ ๆ กับท่าทีไอ้ชา

ไอ้คีย์จอดรถก่อนเดินลงไปกดออดบริเวณด้านหน้าของบ้าน ไม่นานก็มีแม่บ้านคนหนึ่งเดินออกมาดูบริเวณประตูเล็กด้านข้าง ทั้งไอ้ชากับพี่น้ำจึงเดินลงไปดู

“พวกเรามาหาคุณเกรียงไกรครับ” พี่น้ำเป็นคนพูดขึ้น พร้อมกับยิ้มทักทาย

แม่บ้านคนนั้นนิ่งไปสักพัก พร้อมทำหน้าเศร้าก่อนจะพูดอะไรออกมา

“เอ่อ พวกคุณคงยังไม่ทราบสิคะ ว่าคุณผู้ชายเสียแล้ว”

ทันที่ประโยคนั้นพูดจบ ทุกคนต่างตกใจในสิ่งที่ได้ยิน มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อสามสี่วันก่อนผมเข้ามาเยี่ยมร่างพี่น้ำยังเจอพ่อพี่น้ำมานอนเฝ้าพี่น้ำ มาอ่านหนังสือให้ร่างพี่น้ำฟังอยู่เลย ไม่ได้ดูเจ็บไข้ได้ป่วยแม้แต่น้อย

“ตั้งเมื่อไรครับ” ไอ้คีย์ที่ดูมีสติกว่าคนอื่นถามต่อไปอีกคำถาม

“เมื่อเช้านี้เองค่ะ คุณผู้หญิงกับคุณหนูเพิ่งออกไปวัดเมื่อสักครู่”

“ขะ เขาเป็นอะไรเสียครับ” เสียงพี่น้ำพูดออกมาเสียงสั่น ๆ เหมือนเริ่มคุมสติตัวเองไม่อยู่

“เห็นคุณผู้หญิงว่าหัวใจวายเฉียบพลันค่ะ”

“อ้าวคุณ ! เป็นไรไปคะ” เสียงแม่บ้านร้องขึ้นมา เมื่อพบว่าพี่น้ำในร่างผมล้มลงไปกองกับพื้นเรียบร้อยแล้วทันทีที่เจ้าตัวถามจบ

โชคดีที่มีไอ้ชายืนอยู่ใกล้ ๆ เลยรีบช่วงประคองตัวขึ้นมาได้ทัน พี่น้ำคงเป็นลมเพราะตกใจไปแล้ว

“ขอบคุณมากนะครับ” ไอ้คีย์พูด ถามชื่อวัดที่นำศพของพ่อพี่น้ำไปทำพิธีพร้อมขอตัวกลับก่อน ไอ้ชากับไอ้คีย์เลยช่วยกันพยุงร่างของผมกลับขึ้นไปบนรถ

“ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้วะ” ผมพูดหลังจากรถเริ่มเคลื่อนตัวออก ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าพ่อพี่น้ำจะเสียชีวิตกะทันหันแบบนี้

“กูล่ะสงสารพี่น้ำเลย ต้องมาเจอเรื่องร้าย ๆ ติดกันหลาย ๆ เรื่องแบบนี้เนี่ย” ไอ้ชาพูดพลางเอายาดมส่ายไปมาบริเวณจมูกร่างที่กำลังนอนสลบอยู่

“มึงว่า เรื่องที่พ่อพี่น้ำเสีย มันเกี่ยวกับเรื่องแม่เลี้ยงพี่น้ำเปล่าวะ มึงคิดว่าพ่อพี่น้ำตายเพราะหัวใจล้มเหลวจริงหรอ” ผมถามไอ้คีย์ออกไปขณะที่มันกำลังขับรถอยู่

“กูเองก็ไม่แน่ใจ มึงก็รู้ว่าแม่เลี้ยงพี่น้ำเป็นพวกมีวิชา มันมีเป็นร้อยเป็นพันวิธีที่จะทำให้คนตายโดยไม่ใช่ความผิดของตัวเอง กูไม่เข้าใจตั้งแต่ที่แม่เลี้ยงพี่น้ำพยายามจะฆ่าพี่น้ำให้ตายแล้ว แค่เกลียดกัน ไม่เห็นจะต้องทำกันขนาดนั้น พี่น้ำเองก็ย้ายออกจากบ้านมาหลายปีแล้วจากที่เล่า แต่พอมาเห็นสภาพบ้านพี่น้ำในวันนี้ สมมุติฐานเดียวที่มีคือเรื่องเงินกับสมบัติว่ะ”

“กูคิดว่าเรื่องแบบนี้จะมีแต่ในละครซะอีก มันชักจะไปกันใหญ่แล้ว แล้วเรื่องรถที่ไล่ชนกูจนเกิดอุบัติเหตุก็ตำรวจก็ยังตามเรื่องไม่ไปถึงไหนเหมือนกัน”

คิดแล้วก็ปวดหัว ผมจะช่วยพี่น้ำให้พ้นจากเรื่องบ้า ๆ แบบนี้ยังไงดีเนี่ย ...

หญิงสาววัยสี่สิบในชุดผ้าไหมสีดำกำลังนั่งจุดธูปขึ้นมาไหว้โรงศพที่ตั้งอยู่ตรงหน้าด้วยความเศร้าสร้อย ข้างกายมีร่างของลูกสาวตัวเองที่นั่งจุดธูปไหว้ศพอยู่ไม่ห่างกัน

“แม่ไม่คิดเลยว่าพ่อเขาจะด่วนจากพวกเราไปเร็วขนาดนี้” สุจิตราหันไปพูดกับลูกสาวตัวเองหลังจากปักธูปลงไปในกระถางปักธูป

“มิ้งค์ก็เหมือนกันค่ะแม่ มิ้งค์ยังป้อนข้าวคุณพ่ออยู่เลยเมื่อเช้า”

“อย่าคิดมากเลยลูก ลูกไปรับแขกแทนแม่หน่อยนะ แม่ขออยู่ตรงนี้สักพัก” คนเป็นแม่พูดเอามือลูบผมมิ้งค์เบา ๆ

“ได้ค่ะ” พูดจบเจ้าตัวก็ลุกออกไป

ดวงตาที่เคยปริ่มไปด้วยน้ำตาจ้องไปยังกรอบรูปที่มีภาพของผู้ตายปรากฏอยู่ ริมฝีปากนั้นแค่นยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยันก่อนจะพูดอะไรออกมาเบา ๆ

“คุณเคยบอกฉันว่าให้หยุดพูดเรื่องที่ระคายหูคุณแต่ฉันก็ไม่เคยทำได้สักที ตอนนี้คุณคงเข้าใจแล้วสินะคะ ว่าเพราะอะไร ...”

“มีแต่คนตายเท่านั้นแหละ ... ที่พูดไม่ได้”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด