ตอนที่แล้วเรื่องสยองที่ 14 : เพราะคนตายพูดไม่ได้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเรื่องสยองที่ 16 : ชีวิตที่ดำเนินต่อ

เรื่องสยองที่ 15 : งานศพ


พี่น้ำฟื้นขึ้นมาระหว่างทางที่พวกเรากำลังจะถึงคอนโด

ผมหันไปมองเจ้าตัวที่ค่อย ๆ ยันตัวขึ้นมานั่งด้านหลังของรถ ไอ้คีย์ที่กำลังขับรถอยู่เหลือบตาขึ้นมองที่กระจกรถด้านบนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ส่วนไอ้ชาที่นั่งข้าง ๆ ก็หันไปมองเหมือนกันเมื่อเห็นพี่น้ำรู้สึกตัว ใบหน้าของเจ้าตัวแสดงความเศร้าออกมาอย่างชัดเจนพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นทาง ตั้งแต่พี่น้ำมาอยู่ในร่างของผม ผมแทบจำไม่ได้แล้วว่าพี่น้ำร้องไห้ออกมาเป็นครั้งที่เท่าไร

ตอนนี้เจ้าตัวกำลังร้องไห้ออกมาแบบไม่มีเสียง ...

ผมเข้าใจความรู้สึกของเธอดี มันคงทั้งเจ็บ ทั้งเสียใจจนไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบาย ที่อยู่ ๆ คนที่ตัวเองรักมากที่สุดมาเสียชีวิตกะทันหันแบบนี้ ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งได้บอกลา ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งเข้าไปพูดคุย ครั้งสุดท้ายที่พี่น้ำเจอพ่อ ผมคิดว่าเป็นเมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เอง ที่เข้าไปเยี่ยมร่างตัวเองแล้วได้เจอกับเขาในร่างของผม แถมไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก แค่ถามไถ่ถึงอาการของพี่น้ำ พูดคุยเรื่องทั่วไปแล้วก็ออกมา ช่างเป็นการเจอกันครั้งสุดท้ายที่เจ็บปวดเหลือเกิน

ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมฟ้าถึงส่งเรื่องร้าย ๆ เข้ามาหาพี่น้ำพร้อมกันมากมายหลายเรื่องขนาดนี้  ถ้าผมเป็นพี่น้ำ ผมเองก็คงแทบเป็นบ้าเหมือนกัน ไอ้ชาหันมามองผมเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ เพราะดูเหมือนมันเองก็ไม่รู้จะปลอบใจพี่น้ำกับเหตุการณ์แบบนี้ยังไงเหมือนกัน

ผมมองหน้าพี่น้ำ เจ้าตัวไม่สบตาผมแต่หันไปมองหน้าต่างรถที่เต็มไปด้วยการจราจรในช่วงหลังเลิกงานแทน

มือโปร่งแสงของผมค่อย ๆ เอื้อมไปกุมมือของพี่น้ำเอาไว้ ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป แค่อยากให้เธอเข้มแข็ง อยากให้เธอรู้ว่าอย่างน้อย ๆ ก็ยังมีผมอีกคนที่อยู่ตรงนี้ ถึงแม้ว่าตอนนี้พี่น้ำจะไม่มีใครก็ตาม

ไม่รู้ทำไมครั้งนี้ผมถึงรู้สึกถึงความอบอุ่นของอุณหภูมิมนุษย์ มันเหมือนได้จับมือพี่น้ำจริง ๆ เหมือนจริงจนน่าประหลาด ไม่มีใครพูดอะไรต่อ ทั้งไอ้คีย์และไอ้ชาต่างก็นั่งเงียบ ๆ จนกระทั่งพวกเราถึงคอนโด

หลังจากถึงคอนโด พวกเราก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดดำเตรียมตัวไปงานศพพ่อของพี่น้ำ ยังไงพี่น้ำก็คงอยากเข้าไปกราบศพพ่อตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย พี่น้ำยังคงไม่พูดอะไรออกมาสักคำหลังจากฟื้นขึ้นมา พวกผมเองก็พอเข้าใจว่าเจ้าตัวคงไม่มีกระจิตกระใจพูดอะไรหรอก เมื่อทุกคนพร้อม พวกเราก็ไปยังวัดที่ไอ้คีย์ได้ถามแม่บ้านที่บ้านของพี่น้ำเอาไว้

พอพวกเรามาถึงงาน แขกก็เริ่มมาเต็มศาลาแล้ว พ่อของพี่น้ำดูเป็นคนที่กว้างขวางน่าดู ถึงมีแขกมางานเยอะมากมายขนาดนี้ ผมเห็นมีนักข่าวมาทำข่าวด้วย ถึงแม้จะเจ้าตัวจะไม่ได้มีชื่อเสียงระดับประเทศก็ตาม แต่ผมคิดว่าเขาเองคงเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงในวงการพอสมควร

ผมหันไปมองพี่น้ำอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นสายตาของพี่น้ำมองไปยังแม่เลี้ยงของตัวเองที่ยืนรับแขกอยู่ที่บริเวณทางเข้าศาลากับเด็กสาวอีกคนที่ผมคิดว่าเป็นน้องสาวพี่น้ำ ใบหน้าแม่เลี้ยงพี่น้ำนั้นเป็นหน้ากากที่เต็มไปด้วยความเศร้าของคนที่เพิ่งสูญเสียสามีสุดที่รักไป ถึงจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าพ่อพี่น้ำตายด้วยหัวใจล้มเหลวหรือแม่เลี้ยงพี่น้ำกันแน่ แต่ในสมองผมตอนนี้เหตุผลมันตกไปอยู่ข้อหลังเหมือนที่ไอ้คีย์บอกมากกว่า

“พี่น้ำ พี่โอเคใช่ไหม” ผมเอื้อมมือไปจับไหล่พี่น้ำ

เจ้าตัวนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนหันมามองผมเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่

“พี่โอเคอิฐ พี่ไม่ทำอะไรบ้า ๆ ในงานศพพ่อตัวเองหรอก” พี่น้ำพูดออกมา

ได้ยินแบบนั้นพวกเราก็เบาใจ เพราะพี่น้ำเองก็เป็นคนอารมณ์ร้อนพอสมควรตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกันมาเดือนกว่าเวลาเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมาแต่ละอย่าง อย่างตอนเจอพี่เอกครั้งนั้น ผมแทบจะแทรกแผ่นดินหนีทีเดียวที่พี่น้ำเข้าไปจัดหนักจัดเต็มจนหน้าพี่เอกเต็มไปด้วยรอยมือ ในที่สุดพวกเราก็เดินมาหยุดอยู่ที่แม่เลี้ยงของพี่น้ำ แม่เลี้ยงพี่น้ำมองมาที่พวกเราอย่างแปลก ๆ ก่อนหันไปหาลูกสาวตัวเอง

“นี่เพื่อนมิ้งค์หรอลูก”

“เอ่อ เปล่าค่ะ”

“พวกผมเป็นรุ่นน้องของพี่น้ำเองครับ พอดีทราบข่าว เลยมาแสดงความเสียใจด้วยน่ะครับ” ไอ้คีย์เป็นคนพูดออกไป

“งั้นหรอ พาพวกเขาไปสิมิ้งค์” แม่เลี้ยงพี่น้ำพูดก่อนบอกให้เด็กสาวชื่อมิ้งค์พาพวกเราไปนั่งที่เก้าอี้ พอพวกเราเดินไปถึงบริเวณหนึ่งก็เห็นคนที่พวกเราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

“เฮ้ย ! ปูน กี้ มาได้ไงเนี่ย” ไอ้ชาเป็นคนทักออกไปเมื่อเห็นปูนกับกี้ที่นั่งอยู่ด้วยกันตรงนั้น

ผมเองก็งงเหมือนกันว่าไอ้ปูนกับกี้มางานศพพ่อของพี่น้ำได้ยังไง

“นี่พวกเราเรียนคณะเดียวกันหรอ ... อ่อ”

หลังจากที่ไอ้ชาได้พูดคุยกันนิดหน่อย ผมก็ทราบว่าทั้งไอ้ปูนและกี้เป็นเพื่อนร่วมคณะกับมิ้งค์ ไม่อยากจะเชื่อว่าโลกมันจะกลมขนาดนี้ นี่น้องสาวพี่น้ำเป็นเพื่อนกับไอ้ปูนและกี้หรอเนี่ย

“เอ่อ พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ พี่สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย” มิ้งค์พูดออกมาหลังจากหันไปมองพี่น้ำที่อยู่ในร่างของผม

“พี่สบายดี ขอตัวไปกราบคุณพ่อก่อนนะ”

พูดจบพี่น้ำก็เดินห่างออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้มิ้งค์ยืนทำหน้าไม่ถูกหลังจากโดนพี่น้ำพูดประโยคห้วน ๆ ใส่แบบนั้น ผมเองก็คิดว่าพี่น้ำแสดงออกทั้งทางสีหน้าและน้ำเสียงว่าไม่พอใจออกมาอย่างมากจนทุกคนดูออก เท่าที่ดู ผมคิดว่ามิ้งค์ก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไร ตอนพี่น้ำนอนสลบช่วงเกิดอุบัติเหตุใหม่ ๆ ผมก็เห็นน้องสาวของเธอมาเยี่ยมเป็นบางครั้งกับพ่อพี่น้ำอยู่เลย บางทีผมก็คิดว่าพี่น้ำอคติจนเกินเหตุแล้ว คนเราไม่ได้เหมือนกันทุกคนสักหน่อย ต่อให้พ่อแม่จะเลว จะชั่ว มันก็ไม่ได้หมายความว่าลูกจะเลว จะชั่วด้วยนี่ ผมไม่อยากให้พี่น้ำมีความคิดแบบนี้เลย

“นายก็มาด้วยหรอ”

เสียงทักหนึ่งดังขึ้น ระหว่างที่พวกเรากำลังเดินกลับมานั่งหลังจากเข้าไปไหว้ศพของพ่อพี่น้ำเสร็จ  เสียงทักทายนั้นเป็นของพี่เอก ที่เจ้าตัวในวันนี้อยู่ในชุดสูทสีดำ เจ้าของร่างส่งยิ้มเศร้า ๆ มาให้กับพวกเรา ผมเองตอนนี้ก็เชื่อแล้วล่ะ ว่าพี่เอกเขายังรักพี่น้ำอยู่จริง ๆ เขาไม่จำเป็นต้องสนใจต้องห่วงครอบครัวพี่น้ำขนาดนี้ก็ได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา นอกจากพ่อพี่น้ำที่ไปเฝ้าเธอที่โรงพยาบาลบ่อย ๆ ก็มีพี่เอกอีกคน ที่เวลาผมแวะไปดูร่างพี่น้ำ ก็มักจะเจอเขาเสมอ แต่ก็ไม่บ่อยเท่ากับพ่อพี่น้ำ

ไม่รู้ว่ามันเป็นความเห็นแก่ตัวของผมหรือเปล่าที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับพี่น้ำ ว่าหลังจากวันที่พี่น้ำเจอพี่เอกที่โรงพยาบาลครั้งนั้น พี่เอกก็ยังคงมาเยี่ยมเธออยู่เรื่อย ๆ แต่ผมคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าพี่น้ำอยากหยุดเรื่องของพี่เอกไว้เท่านี้จริง ๆ เพราะอย่างที่ผมเคยถามพี่น้ำว่าพี่น้ำจะอภัยให้เขาไหม คำตอบที่ได้มาทำให้ผมไม่อยากให้พี่น้ำเสียใจแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง ผมไม่รู้ว่าพี่เอกจะทำให้พี่น้ำเสียใจอีกหรือเปล่า ผมยอมรับว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมามันทำให้ผมรู้สึกดีกับพี่น้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ

มากจนผมไม่อยากเสียพี่น้ำไป ...

“มาสิครับ พ่อพี่น้ำก็เป็นคนที่ผมเคารพมากเหมือนกัน” พี่น้ำพูด

“ถ้าน้ำฟื้นขึ้นมา เขาต้องเสียใจมากแน่ ๆ”

พี่เอกพูดออกมาเบา ๆ สีหน้าเจ้าตัวและแววตาแสดงความจริงใจออกมาจนผมเองยังรับรู้ได้ พี่น้ำนิ่งไปสักพักมองคงตรงหน้าก่อนตอบกลับไป

“ผมก็คิดว่างั้น”

“พระจะเริ่มสวดแล้ว ฉันขอตัวก่อนละกัน” พูดจบพี่เอกก็ขอตัวเดินออกไปอีกทาง พี่น้ำมองตามร่างของพี่เอกไปด้วยสายตาที่ผมคาดเดาไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าพี่น้ำยังคงหลงเหลือเยื่อใยให้พี่เอกอยู่เหลือเปล่า เขาคบกันมาตั้งหลายปี แต่ผมกลับผมมันก็แค่วิญญาณที่ตามติดเขามาเดือนกว่า มันคงจะต่างกันมาก แล้วท่าทีที่พี่น้ำมีให้ผมทุกวันนี้

เราก็ยังคงเป็นเหมือนแค่รุ่นพี่และรุ่นน้องเหมือนเดิม ...

เสียงบทสวดพระอภิธรรมในงานศพยังคงดังต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ แต่ร่างของสุจิตราขอตัวลุกเดินออกมาก่อน พร้อมกับบอกลูกสาวตัวเองที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ว่าขอตัวไปเข้าห้องน้ำ สายตามองไปยังเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่บอกว่าเป็นรุ่นน้องของลูกเลี้ยงเธออย่างไม่ไว้วางใจ ลางสังหรณ์มันบอกว่ามีอะไรแปลก ๆ ที่เชื่อมโยงกับเรื่องที่เธอเจอเมื่อสามสี่วันก่อนกับเด็กพวกนี้ ในห้องของลูกเลี้ยงเธอที่พยายามจะฆ่าแต่ไม่สำเร็จ มันต้องเกี่ยวแน่ ๆ รุ่นน้องสนิทขนาดไหนถึงตามมางานศพพ่อรุ่นพี่ที่เรียนจบไปแล้วอยู่ห่างกันตั้งหลายปี

ร่างของเจ้าตัวเดินตรงไปยังที่เปลี่ยว ๆ ด้านหลังของวัด บริเวณนั้นมีเจดีย์บรรจุกระดูกของคนตายอยู่นับสิบเจดีย์ เสียงมือถือดังขึ้นมาทำให้สุจิตราหยิบมันขึ้นมารับก่อนคุยสายอยู่สักพักกับคนในสาย

“ฉันว่าเราเจอตัวปัญหาแล้ว แต่ขอฉันพิสูจน์อะไรให้แน่ใจก่อน”

“ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอก”

“ได้สิ งั้นแค่นี้ก่อนนะ”

หลังจากวางสายลง สุจิตราก็เดินไปยังเจดีย์บรรจุกระดูกเจดีย์หนึ่งที่ดูเก่าและเหมือนจะไม่มีใครมาสนใจดูแลเป็นเวลานาน เจ้าตัวมองซ้ายมองขวาเมื่อพบว่าไม่มีใคร มือก็ล้วงเข้าไปในเจดีย์หยิบโกศบรรจุกระดูกออกมาอย่างไม่เกรงกลัว ผ้าสีขาวห่อกระดูกที่ผ่านกาลเวลาหลายปีจนดูสกปรกถูกเปิดออก นิ้วมือเรียวจิ้มไปยังเศษเถ้ากระดูกเหล่านั้นก่อนหลับตาแล้วยกนิ้วมือขึ้นมาป้ายเปลือกตา

พอได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ สุจิตราก็ทิ้งโกศลงพื้นอย่างไม่ใยดี

พวกเราอยู่ร่วมพิธีสวดศพกันจนจบพิธี ไอ้ชาถือโอกาสเข้าไปสักซักไซ้ไอ้ปูนใหญ่เลยว่าสนิทกับน้องมันมากน้อยแค่ไหน อะไรยังไงกัน ผมเองก็ไม่ได้เข้าไปคุยกับไอ้ปูนเลย เพราะตอนนี้มันคงมองไม่เห็นผมไปแล้ว จะให้ไอ้คีย์เอานิ้วยมทูตป้ายเปลือกตาแล้วคุยด้วยตอนนี้ก็คงลำบากเพราะมีคนอยู่เยอะแยะ แต่มันเองก็ถามถึงผมผ่านไอ้คีย์และไอ้ชาว่าเป็นไงบ้าง อยากจะเข้ามาหาแต่กิจกรรมปีหนึ่งเยอะจนแทบจะไม่มีเวลาออกไปไหนเลย ไหนจะเรื่องเรียนอีก ผมเองก็เข้าใจมัน เพราะช่วงผมอยู่ปีหนึ่งใหม่ ๆ กิจกรรมตอนนั้นมันเยอะมากจริง ๆ อีกอย่างนี่ก็ใกล้สอบมิดเทอมแล้วด้วย

“แล้วนี่มากันยังไง ให้พี่ไปส่งหอในปะ” ไอ้คีย์เป็นคนถาม

“ดีเลยเฮียคีย์ นี่กี้กับปูนก็มาแท็กซี่กัน” กี้เป็นคนตอบ

“เดี๋ยววันอาทิตย์ผมแวะไปเอามอไซค์พี่อิฐที่คอนโดพวกพี่มาใช้ดีกว่า เบื่อนั่งรถปลากระป๋องรอบมหาลัยแย่แล้ว” ไอ้ปูนพูด

“ได้ดิ ยังไงมอไซค์ไอ้อิฐก็ไม่มีใครใช้อยู่แล้ว ตอนเอาไปล้มครั้งนั้นพี่ก็คิดว่าจะพังถาวรซะแล้ว ดีนะเขาซ่อมกลับมาได้” ไอ้ชาพูด หันมามองหน้าผมขำ ๆ ซึ่งไอ้ปูนก็หันมองตามด้วย มันคงพอจะเดาได้ว่าผมก็ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยเหมือนกัน

“งั้นกลับกันเถอะนี่ก็ดึกแล้ว”

“กลับกันครับพี่น้ำ” ผมหันไปบอกพี่น้ำ ซึ่งเจ้าตัวพยักหน้าให้ผมเบา ๆ

“เดี๋ยวสิ จะรีบไปไหนกัน”

เสียงเรียกดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมอง สุจิตรากำลังเดินตรงมาทางพวกเรา สายตานั้นมองพวกผมไล่ไปทีละคนก่อนหยุดลงที่พี่น้ำแล้วยิ้มน้อย ๆ เมื่อเหลือบลงไปเห็นเจ้าตัวกำลังกำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดนูนขึ้นมา ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีเลย หรือว่าเจ้าตัวรู้แล้วว่าวิญญาณพี่น้ำอยู่ในร่างของผม

“ขอตัวกลับก่อนนะครับ พวกเราเสียใจด้วย” พี่น้ำกัดฟันพูดออกไปเสียงแข็ง ๆ

“จ้ะ น้าเองก็เสียใจที่พ่อของยัยน้ำเขาด่วนจากไปขนาดนี้ ก็ได้แต่หวัง ว่ายัยน้ำจะไม่รีบด่วนจากน้าไปอีกคน”

พูดจบ ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางก็หันมองมายังบริเวณด้านข้างของพี่น้ำ ก่อนยกยิ้มบาง ๆ ส่งให้ ทั้ง ๆ ที่ในสายตาของคนทั่วไป ที่ตรงนี้ไม่มีใครยืนอยู่ด้วยซ้ำ

“ยินดีที่ได้รู้จัก รุ่นน้องยัยน้ำ”

... เขากำลังพูดกับผม

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด