ตอนที่แล้วDH บทที่ 5 - เหวนรก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปDH บทที่ 7 - เก็บสมุนไพร

DH บทที่ 6 - โชคดีได้เจอถ้ำ!


DH บทที่ 6 - โชคดีได้เจอถ้ำ!

“อา เจ็บ เจ็บชะมัดเลย… เอ๊ะ นี่ข้า ยังไม่ตายเหรอเนี่ย แล้วที่นี่ ที่ไหนกันเนี่ย”

ติงโฮวไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนาเท่าไรแล้ว เขาเริ่มรู้สึกตัวขึ้นเพราะความเจ็บปวดที่ไม่สามารถบรรยายได้ มันทำให้เด็กชายรู้สึกราวกับถูกเผาด้วยเปลวไฟอันร้อนระอุและถูกมดนับพันตัวรุมกัดเขา ติงโฮวอยากจะลุกขึ้นแต่ร่างกายของเขากลับแข็งทื่อและไม่สามารถเคลื่อนไหวใด ๆ ได้เลย ติงโฮวค่อย ๆ ลืมตา

เขาเห็นเพียงแสงสีขาวรอบตัวเท่านั้น ติงโฮวรู้สึกเหมือนตัวเองถูกห่อหุ้มด้วยของเหลวสีขาว มันเป็นความรู้สึกเดียวกับทารกที่อยู่ในน้ำคร่ำในท้องแม่ไม่มีผิด

เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย ติงโฮวลอยไปมาอย่างไม่มีสติและเขาเวียนหัวอย่างมาก

เปลือกตาของเด็กหนุ่มหนักอึ้ง เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการที่จะลืมตาขึ้นให้เต็มที่ ภาพที่เห็นนั้นมัวไปหมด มันคือกลุ่มของเหลวเนื้อสีขาวเนื้อนุ่มที่ห่อตัวเขาไว้ก่อนหน้านี้นั่นเอง

“ไอ้ขาว ๆ พวกนี้มันอะไรกันวะ นี่ข้าไม่ได้เข้าไปอยู่ในน้ำแปลก ๆ ใช่ไหม” ติงโฮวปวดไปทั่วร่างกาย ในสถานการณ์นี้เขาได้แต่พยายามคิดในแง่บวกเข้าไว้ และในทันใดนั้นก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น

อยู่ ๆ ติงโฮวก็มองเห็นทุกอย่างชัดเจนขึ้น แม้จะยังเวียนหัวอยู่แต่เขามองเห็นเงาของดาบธรรมดา ๆ คู่หนึ่ง เงานั้นดูเหมือนคู่มังกรกำลังแหวกว่ายอยู่ในของเหลวสีขาว และที่แปลกยิ่งกว่าคือดาบพวกนั้นเป็นเพียงแค่เงามันไม่มีตัวตนสัมผัสได้ด้วยซ้ำ แต่มันกลับดูมีชีวิตชีวาราวกับว่าพวกมันมีอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ติงโฮวรู้สึกว่าดาบนั้นอยู่ใกล้ แต่มันก็ไกลด้วยในขณะเดียวกัน เงาดาบนั้นหมุนวนและสั่นอยู่รอบตัวเขาอย่างต่อเนื่อง เหมือนว่าพวกมันเป็นลูกค้าเรื่องมากที่กำลังเลือกดูของในร้านค้าอย่างละเอียด

“เทวดาเหรอ หรือปีศาจ” ติงโฮวคิดอย่างตื่นตระหนก

และทันใดนั้นเอง เงาของดาบโบราณทั้งคู่ดูเหมือนจะตกลงกันได้แล้ว พวกมันส่องแสงสว่างจ้าออกมาราวกับมังกรพ่นไฟ

เงาทั้งสองพุ่งตรงเข้าหาเด็กหนุ่มทันที พวกมันส่งเสียงร้องเพลงอย่างสุขใจเหมือนมังกรน้ำที่ถูกขังอยู่บนบกมานับล้านปีได้กลับคืนสู่ท้องทะเล เงานั้นเคลื่อนเข้าสู่ร่างของติงโฮวไปอย่างง่ายดายและสลายหายไปเป็นพลังงานอุ่น ๆ ในตัวของเขาแทน

หลังจากนั้น...ติงโฮวก็เริ่มเห็นภาพหลอน!

อยู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงคนสองคนเถียงกันในหัวตัวเอง เสียงทั้งสองนั้นกำลังทะเลาะอย่างไม่หยุดหย่อน มันดังอยู่ใกล้มากแต่กลับไม่ชัดเจน เป็นความรู้สึกที่ประหลาดเหลือเกินสำหรับติงโฮว เขารู้เพียงว่าเสียงนั้นกำลังปะทะคารมกัน แต่จับคำพูดไม่ได้เลยว่าเป็นการถกเถียงกันเรื่องอะไร

ความเจ็บปวดระลอกหนึ่งหลั่งไหลไปทั่วร่างกายของติงโฮวอย่างรวดเร็ว!

เขารู้สึกราวกับว่าตัวกำลังจมลงในน้ำกรด มันเจ็บปวดและแย่ยิ่งกว่าการตายเสียอีก เหมือนว่าของเหลวสีขาวที่ห่อหุ้มตัวเขาไว้นั้นมีฤทธิ์กัดกร่อนที่รุนแรงและกำลังกัดกินร่างกายของติงโฮวไปเรื่อย ๆ

ความเจ็บปวดนั้นมหาศาลสำหรับติงโฮวและไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ทั่วไปจะสามารถทนได้ด้วยซ้ำ ทว่ามันกลับเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเดียวเท่านั้น

“ข้า...ข้ายังตายไม่ได้...ข้าต้องหาติงเค่อเอ๋อ ข้าต้องหาน้องสาวให้พบ...ต้องหานางให้พบ”

ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ของติงโฮวนั้นแรงกล้ามาก รอยยิ้มของติงเค่อเอ๋อเป็นเหมือนตะเกียงที่ไม่มีวันดับท่ามกลางความมืดของมหาสมุทร ตะเกียงนั้นส่องแสงจาง ๆ ที่ทำให้ติงโฮวรวบรวมพลังที่จะอดทนกับความเจ็บปวดนั้นให้ได้อีกครั้ง

เด็กหนุ่มได้สติกลับมาอีกครั้ง เขากัดฟันและอดทนกับความเจ็บปวดที่โจมตีเขาอีกหลายต่อหลายครั้ง

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าอย่างหอยทากที่เดินอยู่ในโคลนตม ส่วนติงโฮวนั้นไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วเพราะเขากำลังเจ็บหนัก และในที่สุด...ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างก็เกิดขึ้น

อยู่ ๆ ติงโฮวก็รู้สึกว่าความเจ็บปวดนั้นค่อย ๆ เริ่มหายไป และในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายเกิดขึ้นในร่างกายของเขา มันแผ่ไปตามรยางค์ต่าง ๆ ไปที่กระดูก และทุกส่วนในร่างของติงโฮว พลังนั้นทำให้เขารู้สึกอุ่นและสบายเหมือนลอยอยู่ในก้อนเมฆไม่มีผิด

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ติงโฮวตั้งสติและควบคุมร่างกายตัวเองได้แล้วโดยที่เขาไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

“นี่ข้า...ข้าขยับได้แล้วเหรอ”

เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นในทันที เขาพยายามลุกขึ้นยืมโดยใช้มือทั้งสองพยุงร่างเอาไว้ แล้วติงโฮวก็ตั้งท่าเตรียมรับมือกับอันตรายอย่างรวดเร็ว เขามองไปรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่ารอบข้างนั้นปลอดภัยดี

ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะอยู่ในถ้ำโบราณแห่งหนึ่ง

ติงโฮวสังเกตเห็นผนังสีเทาอมเขียวรายล้อมรอบตัว พื้นผิวของมันเป็นธรรมชาติดูแห้งและขรุขระ บริเวณนั้นไม่มีร่องรอยของมนุษย์ปรากฏให้เห็นเลย แต่ที่ตรงกลางของถ้ำ มีโต๊ะหินโบราณตัวหนึ่งตั้งอยู่พร้อมกับเก้าอี้หินอีกสองตัว ของพวกนั้นมีฝุ่นจับหนาเตอะ เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครใช้งานมันมานานมากแล้ว

บนโต๊ะตัวนั้นปรากฏเส้นแนวตั้งและแนวนอนจำนวนมากที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างแน่นอน ดูเหมือนใครบางคนได้สลักเส้นพวกนี้เอาไว้

ทว่า มันถูกสลักไว้อย่างไม่เป็นระบบระเบียบ เส้นเหล่านั้นจึงดูไม่มีความหมายแต่อย่างใด เหมือนกับภาพวาดเล่นภาพหนึ่งเท่านั้น ติงโฮวมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มรู้สึกมึนหัวขึ้นมา เขาไม่รู้หรอกว่าเส้นพวกนั้นมันคืออะไร แต่เด็กหนุ่มรู้ว่ามันต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ

เขาเดาว่าคงมีใครบางคนเคยอาศัยอยู่ที่นี่เมื่อนานมาแล้ว และที่แห่งนี้ก็คงถูกทิ้งร้างมาไม่ต่ำกว่าร้อยปีเป็นแน่ ถ้ำนี้ว่างเปล่าและมีทางเดินที่ยาวออกไปข้างนอกเพียง 10 เมตรเท่านั้น

เสียงลมโหยหวนดังมาจากปากถ้ำที่มีหมอกสีดำจาง ๆ กระจายไปทั่ว ทว่ามันกลับไม่เคลื่อนเข้ามาในถ้ำแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าจะมีพลังประหลาดบางอย่างสกัดกั้นมันเอาไว้ด้านนอกนั้น

ติงโฮวยืนอยู่ในพื้นสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ยุบตัวลงไป มันกว้างราว 3 เมตรและลึกประมาณ 1 เมตร

หากมองครั้งแรก ที่ตรงนั้นดูเหมือนหลุมศพที่ขุดขึ้นมาเป็นพิเศษ รอยขุดนั้นดูเรียบสวยงามและรูปร่างของมันดูสมส่วนดีมาก หากจะบอกว่านี่ไม่ใช่ฝีมือการขุดของมนุษย์ คงยากที่เชื่อว่าหลุมนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

ของเหลวสีขาวที่ห่อหุ้มติงโฮวเมื่อครู่นี้คือสิ่งที่อยู่ในหลุมนี้นั่นเอง แต่ตอนนี้ สีของมันได้เปลี่ยนจากสีที่ขาวเหมือนน้ำนมเป็นสีดำสนิทเสียแล้ว

ของเหลวนั้นปล่อยกลิ่นประหลาดออกมาอย่างต่อเนื่องและปริมาณของมันก็ลดลงไปอย่างมากจากที่มีในตอนแรก ตอนนี้มันสามารถห่อหุ้มติงโฮวได้ถึงแค่ข้อเท้าของเขาเท่านั้น

เด็กหนุ่มกระโดดเบา ๆ ออกมาจากหลุม

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เงาดาบสองเล่ม...และของเหลวสีขาวนั่นที่เปลี่ยนเป็นสีดำไปแล้ว...แล้วร่างกายข้า แผลพวกนั้นตอนที่ข้าตกลงมาชนกับผา มันหายไปหมดแล้วเหรอนี่ ข้ารู้สึก...เหมือนมีบางอย่างเปลี่ยนไป”

ติงโฮวชูกำปั้นทำให้พลังกลับเข้าสู่ร่างของเขาอีกครั้ง

“ไม่ใช่แค่แผลที่หายไป พลังของข้าเหมือนจะแกร่งขึ้นหลายเท่าตัวแล้วด้วย! เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายข้ากันแน่…”

ติงโฮวรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายตัวเอง

ก่อนหน้านี้ที่เขาอยู่ในสภาวะกึ่งมีสติและหลับ ๆ ตื่น ๆ สลับกันนั้น เด็กหนุ่มเห็นเหงาของดาบโบราณคู่หนึ่งที่ดูธรรมดาแต่หนักแน่น พุ่งเข้าสู่ร่างของเขา แต่ติงโฮวไม่รู้เลยว่าตอนนี้มีอะไรที่ต่างไปจากเดิม เขารู้แค่ว่ามันแปลกมากจริง ๆ

เสื้อผ้าของเด็กหนุ่มฉีกขาดไปหมด แต่ดาบเปื้อนสนิมยังคงอยู่ที่เดิมบนหลังของเขา นั่นทำให้ติงโฮวดูน่าเวทนามากในตอนนี้ เขาพยายามทำให้ตัวเองใจเย็นลงแล้วจึงเริ่มสำรวจบริเวณในถ้ำ