ตอนที่แล้วDH บทที่ 6 - โชคดีได้เจอถ้ำ!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปDH บทที่ 8 - ซงเจียนหนาน

DH บทที่ 7 - เก็บสมุนไพร


DH บทที่ 7 - เก็บสมุนไพร

จากนิยายที่ติงโฮวเคยอ่าน เขาจำได้ว่า เมื่อใดที่พระเอกตกลงไปจากหน้าผา นั่นย่อมหมายความว่าคนคนนั้นจะต้องไปเจอกับคนบางคนหรือบางอย่างที่ไม่ธรรมดาที่ด้านล่างเสมอ ติงโฮวเองก็มักจะคิดอยู่บ่อย ๆ ว่าตัวเองเป็นคนโชคดี และเหตุการณ์วันนี้ก็ดันไปตรงกับสิ่งที่เขาเคยอ่านมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ดังนั้น นี่หมายความว่าติงโฮวอาจได้เจออาวุธหรือตำราลับในการฝึกดาบจากที่นี่ก็เป็นได้

รอบตัวติงโฮวตอนนี้มีเพียงโต๊ะและเก้าอี้วางอยู่เต็มไปหมด เขาแทบอยากจะพลิกแผ่นดินหาขุมทรัพย์ที่เขาคาดหวังว่าจะได้เจอ

“ข้าว่า โลภมากไปคงไม่ดีซะแล้ว หวังมากเกินไปก็มักจะแย่กับตัวเองเสมอ ข้าควรจะขอบคุณที่ยังมีชีวิตอยู่มากกว่า แล้วก็ของเหลวหนืด ๆ นั่นที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้! มันคืออะไรกันนะ แย่จริงที่ข้าเอามันไปด้วยไม่ได้”

ติงโฮวถอนหายใจแล้วหยุดการค้นหา

ในถ้ำแห่งนั้นไม่มีอาหารหรือน้ำเลย ถึงเวลาแล้วล่ะที่ติงโฮวต้องกลับบ้าน

เด็กชายออกเดินผ่านอุโมงค์เพื่อไปยังปากถ้ำซึ่งถัดออกไปนั้นเป็นเหวที่ลึกไม่มีที่สิ้นสุด ติงโฮวมองไปรอบ ๆ บริเวณนั้นมีเพียงหมอกสีดำและเสียงโหยหวนชวนเสียขวัญ และเมื่อติงโฮวเงยหน้าขึ้นมอง เขาสังเกตแสงประกายวิบวับของดวงดาวลอดผ่านหมอกสีดำเหล่านั้น ติงโฮวคงไม่ได้หมดสติไปนานมากนัก เพราะตอนนี้ยังคงเป็นเวลากลางคืนเหมือนดั่งตอนแรกที่เขามาถึงที่นี่ และการที่เขามองเห็นดวงดาวได้นั่นหมายความว่าติงโฮวไม่ได้อยู่ห่างจากหน้าผาด้านบนมากนัก เขาน่าจะสามารถปีนกลับขึ้นไปบนพื้นดินได้

“แปลกจัง ถ้าข้าตกลงมาจากผา แล้วข้าเขามาในถ้ำนี่ได้ไง ไหนจะของเหลวพวกนั้นที่ห่อตัวข้าไว้อีก”

ติงโฮวยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาก่อนหน้านี้

ที่บริเวณใกล้ปากถ้ำนั้น ติงโฮวออกกำลังกายด้วยกระบวนท่าเตรียมพร้อมแปดขั้นเพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการปีน เขาเก็บดาบไว้ที่ด้านหลังและห้อยตัวเองเข้ากับชะง่อนหินบนผา ก่อนที่ติงโฮวจะเริ่มปีนขึ้นไปอย่างระมัดระวัง

โชคดีที่ก่อนหน้านี้เขาเคยเข้าเรียนและร่วมกิจกรรมปีนผามาแล้ว ด้วยทักษะที่ได้เรียนรู้มาจึงทำให้ติงโฮวปีนขึ้นไปได้อย่างมั่นคง ตอนนี้เขาดูเหมือนตุ๊กแกไม่มีผิด ติงโฮวยืดขาและแขนออกแนบชิดกับผาและค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปช้า ๆ ทว่าเสียงโหยหวนและหมอกสีดำกำลังพยายามดึงตัวเขากลับลงไป ติงโฮวอาจตกไปในเหวอีกเมื่อไรก็ได้ นั่นทำให้การปีนผาครั้งนี้อันตรายเป็นอย่างมาก

หากติงโฮวพลาดลื่นเพียงนิดเดียว เขาก็อาจถูกลมที่ส่งเสียงโหยหวนนั้นพัดจนตกไปในผา ไม่มีวันได้กลับมาเยือนโลกใบนี้อีก ยิ่งไปกว่านั้น ณ จุดที่เขาอยู่นี้ แรงโน้มถ่วงดึงเขาลงด้วยแรงที่มากกว่าปกติ ติงโฮวในตอนนี้เหมือนกำลังเดินไต่เชือกอยู่ก็ว่าได้!

หลังจากปีนขึ้นมาได้ราว 20 เมตร ติงโฮวเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่กล้ามเนื้อทั้งร่างซึ่งมันอาจทำให้เขาอ่อนล้าจนหมดแรงได้ แต่ติงโฮวก็ต้องปีนต่อไป เด็กชายพยายามผูกเชือกให้แน่นขึ้นและปรับสมดุลของเท้าทั้งสองให้ดีกว่าเดิม

เม็ดเหงื่อผุดขึ้นทั่วร่างของติงโฮว

ไม่นานนัก ร่างของเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อนั้น ติงโฮวหายใจอย่างหนักและพยายามตั้งสมาธิปีนต่อไป

เขาปีนสูงขึ้นมาอีก 20 เมตร ติงโฮวหอบหายใจอย่างต่อเนื่อง เขารู้สึกเหมือนถูกมีดแทงไปทั่วร่างกายและไม่รู้สึกถึงแขนของตัวเองแล้ว

และทันใดนั้น ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น—

ติงโฮวรู้สึกถึงความร้อนจากบริเวณหน้าท้องแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขา เป็นความรู้สึกที่คล้ายกับการที่คนรักใช้มือลูบไล้หยอกล้อไปบนเรือนร่าง

และในที่สุด ความเจ็บปวดที่ติงโฮวรู้สึกก็หายไปในชั่วพริบตา กลับกลายเป็นความรู้สึกที่ถูกเติมเต็มและติงโฮวกลับมีพลังเรี่ยวแรงมากกว่าที่เคยมีมาทั้งชีวิต

และตอนนี้ติงโฮวก็พลันกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้นถึงสองเท่าอย่างไม่ทันตั้งตัว!

เทียบความแกร่งของติงโฮวในตอนนี้อย่างง่าย ๆ ขีดจำกัดของเด็กชายอยู่ที่ 200 กิโลกรัมก่อนหน้านี้ แต่ในตอนนี้เขากลับสามารถรับได้มากกว่า 500 กิโลกรัมเลยทีเดียว

พลังกายที่ไม่ทราบที่มานี้ทำให้ติงโฮวปีนขึ้นไปได้เร็วกว่าเดิมหลายเท่า

เมื่อเขาปีนขึ้นมาอีก 40 เมตรและหอบเหนื่อยอีกครั้ง เหตุการณ์แบบเดิมก็เกิดขึ้นซ้ำเป็นครั้งที่สอง

ติงโฮวรู็สึกร้อนวาบที่ท้องและความร้อนนั้นแผ่ไปทั่วร่าง

ติงโฮวได้รับพลังเพิ่มและความเจ็บปวดของเขาหายไปอีกครั้ง

เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเขาซ้ำ ๆ ถึง 6 ครั้ง จนตอนนี้ติงโฮวปีนอยู่ห่างจากพื้นดินด้านบนเพียงไม่ถึง 100 เมตรเท่านั้น!

จังหวะนั้นติงโฮวสังเกตเห็นประกายแสงสีแดงที่ข้างแง่งหินข้าง ๆ เขา

“นี่มัน...แสงสีแดง...มันคือ...ต้นกล้าหัวใจมังกร! ในที่สุดข้าก็เจอมันแล้ว!” เขาดีใจสุดชีวิตที่หาต้นกล้าพบในที่สุด

ติงโฮวไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาเอื้อมไปมือออกไปแล้วเก็บต้นกล้ารูปร่างคล้ายโสมขึ้นมาอย่างระมัดระวังและห่อมันเก็บไว้ในเสื้อของเขา

นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากทีเดียวที่ต้นกล้าทั้งหกต้นนี้มาขึ้นอยู่ที่ซอกดินที่กว้างเพียงสามเซนติเมตรบนแง่งกินขนาดเท่าฝ่ามือ แต่นี่เป็นเรื่องปกติของดินแดนแห่งนี้!

ติงโฮวตื่นเต้นอย่างมากเมื่อได้พบสมุนไพรสุดล้ำค่าที่ตามหา เขาออกปีนต่อไปอย่างง่ายดายและในที่สุดเด็กชายก็มาถึงพื้นดิน

“เห้อ ถึงซักที เกือบไม่รอดแล้วสิข้า ขอให้นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ต้องทำแบบนี้เถอะ”

ติงโฮวล้มตัวลงนอนหายใจหอบเหนื่อย เขาคงเสี่ยงชีวิตมากเกินไปจนตอนนี้เหตุการณ์พวกนั้นยังทำให้เขารู้สึกกลัวอยู่ ติงโฮวจึงตัดสินใจเลยว่าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว

ทว่าระหว่างที่ติงโฮวกำลังปีนผาอยู่นั้น ร่างกายของเขาได้พบกับการเปลี่ยนแปลงที่แสนจะประหลาดที่มันจะทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาลแล้ว ตามรูขุมขุนของติงโฮวจู่ ๆ ก็มีของเหลวบางอย่างถูกขับออกมาพร้อมเหงื่ออีกด้วย ปรากฏการณ์นี้ช่างเหมือนกันกับการแปลงร่างในตำนานที่เขาเคยได้ยินไม่มีผิด และเมื่อติงโฮวขยับตัว สารเหล่านั้นที่แข็งตัวแล้วก็ร่วงหล่นลงมาจากผิวหนังของเขา ซึ่งตอนนี้มันยืดหยุ่นและมีสีขาวราวกับหิมะ แม้แต่รัศมีที่เปล่งออกจากตัวเขาก็ยังเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ตอนนี้เขาเปล่งประกายราวกับว่าเขาเป็นอมตะ

ติงโฮวสังเกตเห็นท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป มันกำลังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาแล้ว

วันใหม่กำลังใกล้เข้ามา ลมเย็นสบายในตอนเช้าพัดผ่านเขาไป

ติงโฮวรู้สึกเย็นวาบที่ง่ามขา..

เขาก้มลงมองและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ตอนนี้เสื้อผ้าที่เขาใส่ รวมถึงเป้ากางเกงนั้นของเขานั้นขาดรุ่งริ่งไปหมดแล้ว และตอนนี้แก่นกายของเขากำลังแกว่งไปมาตามแรงลมนั้น โชคยังดีที่ต้นกล้าหัวใจมังกรทั้งหกนั้นยังอยู่รอดปลอดภัยในห่อผ้า ติงโฮวจึงม้วนเสื้อและกอดห่อนั้นไว้แน่นขึ้น

เขาทำจัดการกับเสื้อผ้าที่ขาดพวกนั้น ใช้บางส่วนปิดส่วนสำคัญของร่างกายเอาไว้แล้วออกเดิน ติงโฮวเดินไปในทางที่ไม่มีอากาศพิศและห่างไปจากโคลนติมริมป่าหิน มันเป็นทางกลับบ้านของเขา

“อะไรกันวะเนี่ย ทำไมข้าเดินเร็วขนาดนี้” ติงโฮวตกใจในความเร็วของตัวเองและรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างบอกไม่ถูก

เมื่อติงโฮวก้าวเท้า ตัวเขาก็ห่างออกไปจากจุดเดิมสามถึงสี่เมตรในชั่ววินาทีเท่านั้น เขารู้สึกตัวเบาราวกับปุยนุ่นราวกับว่าเขาได้เรียนรู้วิชาตัวเบาในตำนานมา!

ในพริบตาเดียว ติงโฮวก็มายืนอยู่ริมรั่วที่ลานหน้าบ้านแล้ว มันดูสงบและสวยงามท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้า

แต่แล้วติงโฮวก็ต้องขมวดคิ้ว

เขาได้กลิ่นอันตราย!